นิยายเล่มนี้ดึงดูดเราตั้งแต่พล็อตแล้ว ยิ่งรู้ว่านักเขียนเป็นคนเดียวกับที่เขียนเรื่อง All the bright places ที่ได้รับเสียงชื่นชมมาก เรายิ่งสนใจจะลองอ่านผลงานเธอดูสักครั้ง ตั้งแต่นิยายเล่มนี้ออกใหม่ๆ ถูกนักอ่านหัวร้อนบางคนให้คะแนนเรตติ้งต่ำมาก เพราะ Holding up the universe มุ่งตีแผ่ปัญหาที่คนอ้วนต้องเจอในวัยเรียน จนดูคลับคล้ายว่าจะเหยียดคนอ้วน เห็นได้ชัดว่านักอ่านเหล่านั้นยังไม่ได้อ่านงานจริงๆ เพราะสำหรับเรา เรื่องนี้คือนิยายชั้นดีที่ให้กำลังใจและให้ความสำคัญกับคุณค่ามนุษย์ทุกคน
เรื่องย่อ
Libby เด็กสาวที่เคยเป็น 'American's fattest teen' กลับมาเรียนอีกครั้ง หลังเข้ารับการรักษาทั้งทางร่างกายและทางสภาพจิตใจหลังเหตุการณ์ร้ายๆ น้ำหนักเธอเพิ่มมากขึ้นหลังแม่จากไปอย่างกะทันหัน บวกกับโดนเพื่อนที่โรงเรียนรังแกเพราะน้ำหนักของเธอ ทำให้ Libby ขังตัวเองอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว เด็กสาวหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่ากลับไปที่โรงเรียนครั้งนี้จะพาเพื่อนดีๆและแฟนหนุ่มแสนน่ารักมาหาเธอ และยังหวังจะได้เข้าร่วมทีมเต้นของโรงเรียน ซึ่งเป็นความฝันของเธอมาโดยตลอด ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อได้เจอกับ Jack เด็กหนุ่มสุดฮอต ที่บอกความลับตัวเองให้ Libby ล่วงรู้--Jack เป็นโรค Prosopagnosia (ภาวะไม่รู้ใบหน้า) เขาไม่สามารถจำหน้าใครได้เลย Jack กลัวว่าถ้าคนอื่นๆรู้เข้า เขาจะกลายเป็นตัวตลก เลยพยายามทำตัวเองให้เป็นที่รักอยู่ตลอดเวลา
ตัวละคร
“We're all weird and damaged in our own way. You're not the only one.”
ตัวละครในเรื่องนี้คือเด็กไฮสคูลทั้งหมด เน้นไปที่การพยายามปรับตัวเข้ากับสังคม การค้นหาและยอมรับตัวเอง การไล่ตามความฝัน และการก้าวผ่านความเจ็บปวดและปัญหาในชีวิต นิยายเรื่องนี้จึงถือเป็นนิยาย Coming-of-age ดีๆนี่เอง เราจะเห็นพัฒนาการทางความคิดความรู้สึกของตัวละครตลอดเรื่อง นักเขียนก็วางคาแรกเตอร์ได้ดีมาก ชัดเจน มีความหลากหลาย และสมจริง
สำหรับ Libby เธอเป็นตัวละครที่น่าสงสารที่สุดในเรื่อง เราไม่เคยโดน bully แต่เราเข้าใจสิ่งที่เหยื่อเผชิญได้ดีมากขึ้น อาจเพราะนักเขียนเองก็ถูก bully เพราะอ้วน เลยถ่ายทอดความรู้สึกผ่านตัวละครได้ค่อนข้างดี Libby แทนทั้งภาพของคนที่อ่อนแอและคนที่เข้มแข็ง ตอนแรกเธอตัดขาดจากโลกภายนอก แม้แต่หนังสือที่เธออ่าน (We have always lived in the castle) ยัง represents ความโดดเดี่ยวและอ่อนแอในจิตใจของตัวละคร เราชอบที่นักเขียนละเอียดลออกับประเด็นนี้
มีสปอยล์
แต่ขณะเดียวกัน Libby ก็เติบโตขึ้น เห็นได้ชัดก็ตรงที่เธอไม่ทนการโดน bully อีกต่อไป บ้าบิ่นดีที่จู่ๆก็ใส่บิกินี่สีม่วงไปยืนโพสอยู่ต่อคนทั้งโรงเรียน๕๕๕๕ แต่ชอบใบปลิว 'You are wanted' ของ Libby มาก มันอธิบายแก่นเรื่องของ Holding up the universe ได้ทั้งหมด นั่นคือการรู้จักคุณค่าตนเองและผู้อื่น (ทำให้เรานึกถึงปรัชญา Menschlichkeit ที่เพิ่งเรียนมา เกี่ยวกับการยอมรับความหลากหลายและคุณค่าของมนุษย์ทุกคน ที่ว่ากันว่าเป็นแนวคิดสำคัญของอารยธรรมตะวันตก) ในส่วนของมิติของตัวก็ครบเครื่อง มีทั้งแง่มุมสุข เศร้า อ่อนแอ เข้มแข็ง ไม่ว่าจะอ้วนสูงผอมเตี้ย ดำหรือขาว straight หรือ gay มนุษย์ทุกคนต่างก็มีแง่มุมเหล่านี้เหมือนๆกัน
แม้ว่าเรื่องจะเน้น Libby มากกว่า แต่ก็ไม่ได้ละเลย Jack เด็กคนนี้สะท้อนเด็กที่มีปัญหาครอบครัว, low self-esteem, และย้ำประเด็น imperfections ในตัวคนทุกคน แม้แต่คนที่ดูสมบูรณ์แบบที่สุดอย่าง Jack จะเห็นว่าตอนแรก Jack พยายาม please ทุกคน กลัวไม่ได้รับความรัก เลือกที่จะเก็บปัญหาไว้กับตัว ดังนั้น ชีวิตที่ดูเผินๆมีความสุข กลายเป็นไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง และ Libby ได้สอนให้เค้ารู้ว่า การ 'มองเห็น' ใครสักคนจริงๆน่ะเป็นยังไง
เราคิดว่าไม่ใช่การมองเห็น Libby หรอกที่สำคัญ การมองเห็นตัวเองของ Jack เองต่างหาก
Jack เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเมื่ออยู่กับ Libby เขากล้าท่ี่จะเล่าปัญหาครอบครัวและปัญหาตัวเองให้เธอฟัง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงไปสู่การยอมรับตัวตน ยอมรับความจริง กล้าเผชิญหน้ากับปัญหา เรื่องของ Jack และ Libby ประกอบกัน จึงจะได้แก่นเรื่องและสัจธรรมชีวิตที่คนเขียนพยายามสอดแทรกในทุกๆหน้ากระดาษ
นอกจากนี้ กว่าตัวละครทั้งหลายจะแก้ปัญหาตนเองได้ ก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่บีบคั้นถึงที่สุดเสียก่อน เรื่องนี้จึงแอบสอนว่า bad days ก็เป็นสิ่งจำเป็น
สรุปแล้ว ตัวละครเอกปูมาดี เคมีดี ตัวละครอื่นๆแม้จะถูกโฟกัสน้อย แต่ฉลาดเลือกมา present ปัญหาชีวิตที่ต่างกันไป เราชอบน้องชายคนเล็กของ Jack มากๆ ;_; สงสารนางที่โดน bully ตั้งแต่ยังเด็กแค่เพราะเป็นเกย์ แล้วก็หมั่นไส้ยัย Caroline ที่ข้างนอกทำเป็นเข้มแข็ง ข้างในอ่อนแอ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าสุดท้ายเด็กๆก็จะเปลี่ยนแปลงตนเองต่อไป เรียนรู้ต่อไป แม้แต่ Caroline ที่ว่าร้าย ยังมีมุมอ่อนไหว ที่สักวันเธอคงจะยอมรับมัน และนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เราอ่านหนังสือแล้วไม่ได้มีอิมเมจเป็นตัวเอกสวยหล่อ เออเนอะ ได้อ่านเรื่องราวของตัวละครที่หน้าตาธรรมดาๆบ้าง รู้สึกเป็นธรรมชาติดี
เนื้อเรื่อง
“อ่านง่าย อ่านเรื่อย อ่านเพลิน สอนเรื่องลึกซึ้งได้แบบไม่ซับซ้อน”
ที่จริงผิดหวังนิดหน่อยที่พล็อตไม่มีความพลิกล็อคอะไรทั้งสิ้น รู้เรื่องย่อก็เหมือนรู้ทั้งเล่มแล้ว แต่ให้อภัยเพราะเนื้อเรื่องก็ไม่ได้น่าเบื่อ กระชับ ดำเนินรวดเร็ว แบ่งเป็นสองส่วนเพราะใช้ทั้ง Libby และ Jack เป็น POV สลับกันไป ภาษาสบายๆ เหมาะกับเป็นเด็กไฮสคูล สำนวนอเมริกันแต่ Slang ไม่เยอะ จัดว่าอ่านไม่ยาก
แต่ผลของเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยมีอะไรก็คือมันไม่ได้ตราตรึง เวลาน้ำตาซึม น้ำตาซึมเพราะโควทมากกว่าไม่ใช่เพราะเนื้อเรื่องบีบคั้น (เรื่องนี้จัดว่าโควทดีๆเยอะ ทำให้เรารู้สึกว่า I'm wanted ขึ้นมาเลย ไม่ก็สงสารและไม่เข้าใจว่าทำไมโลกถึงโหดร้ายกับ Libby จัง) เรื่องนี้ให้อารมณ์เราแบบครึ่งๆกลางๆ น่าจะยังไปได้สุดมากกว่านี้
ความดีงามอยู่ที่ Holding up the universe เป็นกระบอกเสียงอย่างดีเยี่ยมให้เด็กๆที่โดน bully หรือรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เด็กเหล่านี้ไม่ควรให้คนอื่นมากำหนดค่าให้ เพราะ 'คุณมีค่าตั้งแต่ที่คุณเกิดมาแล้ว' (อาจารย์ท่านหนึ่ง,2017) เรื่องนี้ตีแผ่ความดาร์ก ความโหดร้ายที่เด็กวัยรุ่นทำต่อกัน จนถึงกับสิ้นหวังในสังคมไปเลย หดหู่ และสุดท้ายมันจะไม่หายไปไหน คนเรายังมีความสุขกับการกดคนอื่นให้ต่ำเสมอ แต่มันจะดีขึ้น ถ้าเราแก้ไขปัญหานั้นที่ทัศนคติของเราเองด้วย อย่างที่ Libby บอกว่า รู้สึกสงสารพวกที่พ่นข้อความหยาบคายใส่เธอ พวกเขาไม่ได้เอาเวลาไปไล่ตามความฝันตัวเองเลย มัวแต่ใช้เวลาดูถูกคนอื่น เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น / ดังนั้นจะดีแค่ไหน ถ้าเราทำให้ตัวเองรู้สึกดีได้โดยไม่ต้องไปเหยียดคนอื่น?
ไม่ใช่แค่ปัญหาเด็กๆ แต่ปัญหาซับซ้อนอย่างปัญหาครอบครัว ก็สะท้อนให้เห็นในเรื่องนี้ เช่น ปัญหาพ่อแม่แยกทาง ปัญหาสูญเสียแม่ ปัญหาความไม่พอใจ ปิดบังกัน ระหว่างพ่อลูก ฯลฯ หนังสือเรื่องนี้สนับสนุนสายใยรักในครอบครัวมาก สวยๆ ถึงบอกว่านิยายเรื่องนี้ทั้งฟีลกู้ดไง
ความรู้สึกส่วนตัว
เป็น Young Adult Fiction อีกเรื่องที่ควรอ่าน ด้วยความที่นิยายโฟกัสประเด็นใหม่ๆอย่างคนอ้วน หรือโรคจำหน้าไม่ได้ (ซึ่งส่วนนี้ช่วยเพิ่มความสนุกมาก เราไม่เคยรู้จักโรคนี้มาก่อนไง) ซึ่งคนเขียนก็ทำการบ้านมาดี ถ่ายทอดประเด็นต่างๆได้เข้าใจง่าย ถี่ถ้วน มีพัฒนาการตัวละครชัดเจน เรื่องมีเอกลักษณ์ ไม่ได้คลิเช่มาก
อย่างไรก็ตาม นิยายเรื่องนี้สบายๆเพลินๆเกินไปสำหรับเรา เราอยากได้อะไรที่หนักหน่วงกว่านี้ อยากได้ช่วงพีค ช่วงที่ทำให้เรารู้สึก โอ้โหหหหห ซึ่งหาไม่เจอเลย ดังนั้นจะเรียกว่าประทับใจก็คงไม่ใช่ แค่อยู่ในหมวดอ่านได้ อ่านรอบสองได้ และคุ้มค่าที่จะอ่าน
อ้อออออ ความหวานมุ้งมิ้งนั้นเต็มดีกรีมาก เราเผลอยิ้มด้วย Jack โคตรปากหวาน บรรยายฉากจูบได้ละมุนนุ่มนวล ชอบที่ในเรื่องสกินชิพไม่เยอะ กำลังดีเลยทีเดียว ถ้าใครไม่ชอบนิยายเลี่ยนเกิน ชอบแบบ puppy love เบาๆ เรื่องนี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
รับรองว่าอ่านแล้วจะรู้สึกมีค่าและรักตัวเองกว่าเดิม
-ilysm.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in