แม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่เรายังจำวินาทีที่ได้ยินประโยค "สวรรค์ประทานพร ไร้สิ่งใดให้หวั่นเกรง" พร้อมกับเห็นรอยยิ้มบางๆ ของเซี่ยเหลียนครั้งแรกได้เสมอ เป็นชั่วขณะที่ทำให้ตัดสินใจจะอ่านเทียนกวานซื่อฝู จะว่านั่นเป็น 1 ในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตเราก็ไม่เกินจริง แต่ด้วยสถานการณ์ชีวิตใดๆ ที่ไม่ใช่เด็กน้อยวัยมหาลัยอีกต่อไป ทำให้กว่าจะอ่านเรื่องนี้จนจบก็ปาไปปี 2567 แล้ว ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าตัวเองอ่านจบช้ากว่าชาวบ้าน เทียนกวานก็ยังเป็นเรื่องที่ทำให้เราอยากลุกมาปัดฝุ่นแป้นพิมพ์ เขียนรีวิวให้อยู่ดี ก็ความรู้สึกหลังอ่านจบมันยังตกตะกอนไม่ยอมหายไปจากใจสักทีนี่นา u - u
ถึงจะเตรียมใจไว้ไม่น้อย แถมก็พอเดาเรื่องได้อยู่แล้ว ระหว่างที่อ่านก็ยังอินแบบดำดิ่งถึงที่สุดอยู่ดี ความรู้สึกตอนอ่านแต่ละเล่มแตกต่างกันชัดเจนมาก ตื่นเต้นไปกับเล่ม 1-2 พอถึงเล่ม 3 หม่นหมองจนนอนฝันร้ายหลายคืนติดกันเล่ม 4 คือสนุกสนานล้านเรื่องเข้าแทรก เล่ม 5-6 เต็มอิ่มกับความหวานฮวาเหลียน เล่ม 7 ทำเราหดหู่จนเหมือนจะตายซะให้ได้ แล้วเล่ม 8 ก็ชวนให้ใจวูบโหวงสุดๆ เพราะรู้อีกทีก็อ่านจบหมดแล้ว โดยสัตย์จริงคือยังรู้สึกไม่อิ่มเท่าไหร่ ให้อ่านมากกว่า 8 เล่มเราก็พร้อม
สำหรับเรา การอ่านเทียนกวานเหมือนได้เล่นรถไฟเหาะ ครบรสและทำให้เราฉุกคิดอะไรหลายอย่างมากมาย โดยเฉพาะเมื่อได้รีรี้ดรอบ 2 เพราะเหมือนได้อ่านในเวลาที่ถูกต้องที่สุด แม้จะทิ้งความรู้สึก "จบแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย" ไว้ไม่น้อย เวิ่นเว้อมาเยอะพอแล้ว เข้าพาร์ทรีวิวกันเลยดีกว่า!
เรื่องย่อ
เซี่ยเหลียนเคยเป็นองค์ไท่จื่อแห่งแคว้นเซียนเล่อ แต่โชคชะตาเล่นตลกให้ต้องประสบพบเจอเหตุการณ์พลิกผันสารพัดจนในที่สุดก็ตกต่ำมาเป็นเพียงเทพเก็บขยะที่ไร้สาวกบูชาอีกต่อไป ทว่าเขากลับบรรลุขึ้นสวรรค์ได้อีกเป็นครั้งที่ 3 และรอบนี้ เพื่อเป็นการส่ั่งสมแต้มบุญ เซี่ยเหลียนก็ได้รับมอบหมายให้ไปปฏิบัติภารกิจปลอมตัวเป็นเจ้าสาว ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้พบกับบุรุษชุดแดงลึกลับ ผู้ที่ต่อมาในภายหลังได้ทราบว่าเป็นถึง ฮวาเฉิง หรือ พิรุณโลหิตเชยบุปผา ราชาผีที่คนทั่วทั้งสวรรค์กลัวเกรง
เรื่องราวจะเน้นไปที่ปมเรื่องหลัก-ปมเรื่องย่อย การปฏิบัติภารกิจ รวมถึงปูมหลังอันซับซ้อนของแต่ละตัวละคร เล่าสลับกับอดีตอันขมขื่นของเซี่ยเหลียนผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นตัวตลกของทั้งสามภพ
ตัวละคร
ความโดดเด่นของเรื่องนี้สำหรับเราอยู่ที่การสร้างตัวละครที่ครองใจผู้อ่าน (เรา) แบบอยู่หมัด เซี่ยเหลียนเป็นตัวเอกที่แบกเรื่องไว้ตั้งแต่ต้นจนจบได้อย่างหมดจดงดงาม จริงๆ หลงรักเตี้ยนเซี่ยตั้งแต่เริ่มแรกเลย y - y สุภาพ อ่อนโยน ใจดี ตลกมีอารมณ์ขัน ทุกอย่างทำให้เตี้ยนเซี่ยเป็น main character ที่เราชอบมากที่สุดในบรรดาตัวหลักของนิยายแม่โม่เลย u _ u แต่ความปลงตกอ่อนโยนของเตี้ยนเซี่ยก็บ่มเพาะจากการผ่านอะไรมามากมายในช่วงเวลา 800 ปี เป็นตัวละครที่มีต้นสายปลายเหตุชัด มีพัฒนาการ มีมิติ สิ่งที่ชอบที่สุดคือการที่นักเขียนสามารถทำให้คนอ่านยังคงตกหลุมรักตัวละครนี้ทั้งที่ได้เห็นเตี้ยนเซี่ยในแบบฉบับที่ล้มลุกคลุกคลาน ล้มเหลว เละเทะ ชวนให้หมดศรัทธา แต่ยิ่งรู้จักด้านเหล่านี้ เรายิ่งรักเซี่ยเหลียนมากขึ้นไปอีก อาจเพราะเราเห็นตัวเองในเซี่ยเหลียน เห็นวันที่เราไม่รักและเคารพตัวเองเลยในตัวละครนี้ แต่ในเมื่อเซี่ยเหลียนยังยืนหยัดอยู่ได้ ทำไมเราจะทำไม่ได้ คิดไปคิดมา นี่แหละมั้งตัวเอกที่ทรงพลัง เป็นตัวเอกประเภทที่สามารถเป็นแรงผลักดันให้เรามีชีวิตต่อไปได้เลย
ฮวาเฉิงเองก็เป็นพระเอกที่มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน ไม่จางไม่จมไม่โดนกลืนหาย เป็นตัวละครที่ดูเผินๆ เหมือนจะเย็นชา แต่ว่ามีสีสัน ชอบความฝีปากแส้บ เหน็บแนมเก่ง คอยถอนหงอกบรรดาเทพเซียนอยู่เรื่อยๆ ๕๕๕๕๕ พูดประโยคไหนออกมาก็คมบาดใจ และยังเป็นเจ้าของโควทมากมายที่ทำให้เรานอนน้ำตาไหลซาบซึ้งในความรักของฮวาเหลียน ถือว่าเป็นพระเอกที่มีเอกลักษณ์ ความรักแบบฮวาเหลียนเองก็แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ หรืออย่างน้อยก็เราเองที่ยังไม่เคยเจอพระเอกที่ทุ่มเทเป็นสาวกอย่างจริงจัง รักและเทิดทูนเค้าแบบพระเจ้าจริงๆ มาก่อน ถึงแม้นิสัยคาร์นี้จะไม่ใช่ไทป์ที่เราชื่นชอบเป็นพิเศษ แต่ยิ่งอ่านไปก็ยิ่งตื้นตันและขอบคุณในการมีอยู่ของฟาฟา เพราะว่าเซี่ยเหลียนคู่ควรกับความรักที่ยิ่งใหญ่ ลึกซึ้ง ร้อนแรง รักจนเหมือนจะตายให้ได้แบบนี้เท่านั้น
*มีสปอยล์*
นอกจากนี้ ชอบที่ฮวาเฉิงเองก็มีหลายร่างไม่แพ้กัน เชื่อว่าทุกคนก็คงมีฮวาเฉิงเวอร์ชั่นที่ชอบที่สุด สำหรับเราแล้ว อินกับพาร์ทลูกไฟผีที่สุดในโลก u___u แค่พูดถึงก็อีโมแล้ว ลูกไฝผีดวงน้อยที่แสนอ่อนแอบอบบาง แต่ทั้งที่ทั้งร่างเหลือแค่นั้น ก็ขอแค่ให้ได้เคียงข้างเตี้ยนเซี่ย ให้ความอุ่นให้ความสว่างได้สักนิด ขอให้ได้แสดงความจงรักภักดี ให้ได้ปกป้องแม้จะมีพลังกระจ้อยร่อย นี่คือ the best form of love จริงๆ นะ ลูกไฟผีที่กรีดร้องใจสลายแทนเซี่ยเหลียนตอนที่แม้แต่เซี่ยเหลียนยังร้องไม่ออก ความรักที่ปวดใจ บาดใจ ทรมานใจแทนกันจนเกลียดชังตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้ นี่คงจะเป็น 'ความฮวาเหลียน' ที่เราชอบที่สุดแล้ว
*หมดสปอยล์*
ขอพูดถึงตัวละครอื่นๆ อีกสักเล็กน้อย ชอบทีี่แม่โม่สร้างตัวละครออกมาได้บันเทิงมากๆ และใช้ตัวละครคุ้มเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเฟิงซิ่น มู่ฉิง ชิงเสวียน เผยหมิง หลิงเหวิน อี้เจิน ฯลฯ ทุกคนล้วนมีบทบาท มีอิมแพ็คต่อจิตใจเรา รู้ตัวอีกทีก็ผูกพันกับแต่ละตัวละครไม่น้อยเลย แน่นอนว่ามีตัวละครที่เราไม่ชอบมากๆ ไม่ยินดียินร้ายแบบชีหรงด้วย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าก็ยังเป็นพาร์ทที่เติมเต็มเรื่องจนสมบูรณ์อยู่ ตัวละครพอดีๆ ไม่มากไป ไม่น้อยไป ไม่ชวนปวดหัว มีกิมมิคหรือเสน่ห์ให้เราจดจำได้ ที่สำคัญ ไดนามิกทุกคนอยู่ด้วยกันคือตลกมากกกก๕๕๕๕๕ ซีนขายขำนี่ช่วยแบ่งเบาเนื้อหาที่หนักหน่วงได้อย่างลงตัวพอดิบพอดีเลยทีเดียว
อยากอวยตัวละครที่เราคลั่งรักที่สุดรองมาจากเซี่ยเหลียน จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากซือชิงเสวียน u-u ชอบที่เซี่ยเหลียนบรรยายประมาณว่า เจ้าวายุเหมือนลมพัด พัดมาก็เอาความสบายใจมาให้ด้วย หรืออะไรแนวๆ นี้ เพราะว่าคนที่คอยสร้างบรรยากาศสดใสให้เรื่องมากที่สุดก็คือน้องลม >_< รู้ตัวอีกทีก็รักมากซะจนอยากกางปีกปกป้องน้องจากอันตรายทั้งปวงเลย t__t
จุดอ่อนหรือส่วนที่คิดว่ายังพัฒนาได้อีกในด้านตัวละคร คงเป็นเรื่องที่เปิดปมเรื่องทิ้งไว้เยอะจนไม่สามารถเก็บรายละเอียดได้ครบหมด ตัวละครต่างก็มีอาร์คหรือสตอรี่ของตัวเองที่ทำให้เราอยากรู้ทั้งความเป็นไปเป็นมาและเรื่องราวหลังจากนั้นอย่างละเอียด แต่คงเพราะเรื่องหลักเองก็แน่นมากแล้ว ทำให้เรื่องราวของบางตัวละครมีอันต้องเฉลยแบบงานเร่ง ไม่ก่็ทิ้งให้ค้างแบบครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งอาจจะไม่ได้ส่งผลต่อปมหลักใดๆ ก็จริง แต่เพราะเราชอบทุกตัวละครไปแล้ว ก็เลยอยากรู้อยากเห็นไปหมดซะทุกอย่าง ทำให้พออ่านจบแล้วมันยังรู้สึก "ฟินไม่สุด" ยังไม่ค่อยอิ่มเอิบ satisfied กับบทสรุปเท่าไหร่นัก
*มีสปอยล์*
สำหรับเราแล้ว ช่องโหว่ที่ใหญ่สุดก็คือการที่เราเหมือนจะได้รู้จักฮวาเฉิงแค่ผิวเผินเท่านั้น ฮวาเฉิงดูมีปูมหลังอะไรมากมายที่ไม่สามารถเก็บตกได้จากแค่คำอธิบายของราชครู ตอนอ่านตอนพิเศษก็แอบคาดหวังจะได้อ่านเรื่องราวของฮวาเฉิงตั้งแต่เป็นหงหงเอ๋อร์จนกลายเป็นราชาผี แต่กลายเป็นว่าเรื่องไปโฟกัสฮวาเหลียนแทนจนจบ จุดนี้น่าเสียดายมากๆ เพราะฮวาเฉิงเองก็เป็นตัวละครหลักอีกคน แต่เหมือนสปอตไลท์ส่องไม่ถึง เรายังมีคำถามและความค้างคาใจมากมายเกี่ยวกับตัวละครนี้ แต่คงไม่ได้รับคำตอบแล้ว
อีกจุดหนึ่งที่ยังอยากเข้าใจมากกว่านี้ก็คือความสัมพันธ์ xianle trio ของเซี่ยเหลียน เฟิงซิ่น มู่ฉิง อาจจะเพราะคาดหวังมากไปหน่อยว่าเรื่องที่ถกเถียงกันบนภูเขาหิมะคืออะไร มู่ฉิงมีเรื่องอะไรคับแค้นใจ แล้วไหนจะเส้นเรื่องเฟิงซิ่น-มู่ฉิง-เจี้ยนหลานอีก พอเฉลยออกมาง่ายๆ ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า เท่านี้เองเหรอ ไม่ได้เล่าละเอียดหรือพีคสุดๆ แบบที่เรื่องเหมือนจะปูมาในทางนั้น มันเลยทิ้งให้เรารู้สึกซับซ้อนข้องใจแปลกๆ กับมู่ฉิง ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าชอบหรือไม่ชอบตัวละครนี้ จะเห็นใจหรือหมั่นไส้ดีก็ยังเลือกไม่ถูก แต่ถ้าถามว่าชอบ xianle trio ไหม ก็ค่อนข้างจะผูกพันมาก ท้ายที่สุดก็เป็นแก๊งที่โตมาด้วยกันนี่นะ u_u และชอบมิติความสัมพันธที่มีทั้งการแตกหัก ทรยศ ทอดทิ้ง ซึ่งเป็นที่เข้าใจได้ทั้งหมดเลย ยิ่งทำให้ตัวละครในเรื่องนี้สมจริงเข้าไปอีก
*หมดสปอยล์*
เนื้อเรื่อง
ขอสรุปการเดินเรื่องและปมอันยิบย่อยซับซ้อนของเทียนกวานไว้ด้วยคำๆ เดียวว่า "สนุก! มาก!" เป็นเรื่องแรกที่ทำให้เราติดงอมแงม ทำสถิติอ่านจบ 1 เล่มไวสุดในเวลาแค่ 2 วัน (ปกติเป็นคนอ่านช้าแล้วแต่มู้ด) เราชอบที่แม่โม่เล่าเรื่องสลับ อดีต-ปัจจุบัน แต่ไม่ได้ต่อเนื่อง ไม่งั้นถ้าย้อนอดีตรวดเดียว เราคงขาดใจตายก่อนพอดี t__t การดำเนินเรื่องค่อนข้างรวดเร็ว จุดที่ควรขยี้ก็ขยี้ มีปริศนาและกลิ่นอายความลึกลับให้ขบคิดระหว่างทาง ฉากบู๊เต็มอิ่ม บทจะขำก็ขำ บทจะขมก็ขม บางทีร้องไห้อยู่ก็หัวเราะเพราะตัวละครน่ารัก ทำให้เทียนกวานเหมือนจะหนักหน่วงแต่ไม่หนักไป แทรกด้วยซีนหวานๆ แบบค่อนข้างกลมกล่อมลงตัว
นอกจากนั้น สิ่งที่ทำให้เทียนกวานโดดเด่นจากแนวเทพเซียนเรื่องอื่นๆ ก็คือเซ็ตติ้งนี่แหละ world-building ของเทียนกวานเจ๋งมากในความรู้สึกเรา ทั้งการได้เจอเทพเซียนสารพัด การลงไปช่วยเหลือสาวก การอวตารแบ่งภาค การแบ่งภพผี การกำเนิดราชาผี เครือข่ายกระแสจิต ไปจนถึงการสั่งสมแต้มบุญหรือประเพณีธรรมเนียมสนุกๆ บนเซียนจิงที่น่าจะผ่านการรีเสิร์ชมาไม่น้อยถึงได้ไอเดียมาขนาดนี้ เรารู้สึกว่าเทียนกวานมีเวิร์สเป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์ เป็นอะไรที่เท่มากและคงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการวางโครงสร้างเซ็ตติ้งอย่างมากมาย จุดนี้ก็คือก้มกราบแม่โม่ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ
แต่ส่ิ่งที่เราคิดว่าเป็นจุดแข็งที่สุดของเทียนกวานคือเมสเสจ เป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์เทพ ศาสนา ความเชื่อ ชนชั้น ชาติพันธุ์ อัตตา ความชายเป็นใหญ่ และอีกสารพัดอย่างชัดเจน เรื่องยังสะท้อนให้เห็นการเลือกปฏิบัติระหว่างชนชั้น สงครามเมืองหลวงและเมืองด้านนอก การมองคนเป็นหนึ่งเดียวกันและแปลกแยก เรื่องตั้งคำถามกับ 'สมดุล' ที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งคงอยู่ได้มากกว่าที่จะช่วยให้โลกนี้สงบสุข เมื่ออ่านจนจบ จะเห็นได้ว่าชนชั้นนั้นมีส่วนอย่างมากในการปลูกฝังให้เซี่ยเหลียนเป็นเซี่ยเหลียน ทั้งการมองโลกในแง่ดีหรือการหยิ่งในศักดิ์ศรี ล้วนเป็นผลมาจากที่ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบนั้น อยู่ท่ามกลางสิ่งสวยงามและเป็นที่รัก ทำให้มีความ "ใสซื่อ" ไม่มองโลกตามความจริง พอล้มลงมาอยู่ในจุดต่ำสุดถึงได้ทรมานกว่าคนทั่วไป ในขณะที่ตัวละครอย่างมู่ฉิงนั้นถูกดูถูกเหยียดหยาม ถูกกีดกัน ต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีตั้งแต่ไหนแต่ไร จึงสามารถตั้งตัวได้ไวกว่า เข้าใจโลกกว่า และเป็นบทเรียนให้เซี่ยเหลียนได้ไม่น้อย แค่พ้อยท์นี้พ้อยท์เดียวก็ทำให้เรารู้สึกว่าเทียนกวานมีอะไรให้ตกผลึกกับตัวเองเยอะมากๆ แล้ว
อีกจุดที่ชอบก็คือการเล่นล้อกับศาสนา อาจจะไม่ถึงขั้นเสียดสีโต้งๆ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเทพที่คนเคารพบูชาใช่ว่าจะน่าเลื่อมใสร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็เหมือนมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดานี่แหละ มีรักโลภโกรธหลงอิจฉาคับแค้น อ่านๆ ไปแล้วก็ร้ายกาจเหลือจะเชื่อยิ่งกว่าภพผีอีก ถึงจะเป็นเรื่องแต่ง แต่เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกปลงตกในโลกอันน่ารังเกียจใบนี้มากๆ ได้แต่นั่งคิดว่าถ้าเราถูกบีบให้ไม่เหลือทางรอด เราจะเป็นเหมือนคนในเรื่องนี้หรือไม่ เนื้อแท้เราจะเลวร้ายแค่ไหนกันนะ สมแล้วที่เรื่องนี้มีวรรคทองอันน่ากลัวจะเป็นสัจธรรมว่า "ยามที่กายอยู่ ณ แดนโลกันตร์ ใจหรือจะอยู่ที่ธารท้อได้"
*มีสปอยล์*
สวรรค์ประทานพรเขียนแบบเปิดเปลือยเปลือกนอกมนุษย์ออกมาหมดสิ้น หลายๆ ฉากก็เขียนได้ดิบเถื่อน โหดเหี้ยม ชวนหดหู่ทดท้อใจ โดยเฉพาะฉากร้อยกระบี่ทะลวงใจที่บีบใจจนเราน้ำตาร่วงเผาะๆ อยากตะโกน (แต่ก็พูดไม่ออก) ว่าปล่อยให้เตี้ยนเซี่ยตายไปยังจะดีกว่า ทำให้เรารู้สึกว่ามนุษย์มันช่างน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง แต่ก็ต้องทำใจยอมรับว่าในความเป็นจริง มันก็คงเป็นแบบนั้น มีท้ั้งคนที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรอด และคนที่มีคุณธรรมจิตสำนึกปะปนกันไป
ถึงจะขมขื่นแบบนั้น แต่เมสเสจจริงๆ กลับงดงามมาก ชอบที่เตี้ยนเซี่ยเวอร์ชั่นองค์ชายตกอับนั้นโคตรจะ raw แบบไร้การปรุงแต่ง เป็นคนที่เต็มไปด้วยอัตตา ยึดมั่นถืิอมั่นกับสถานะ ชนชั้น สิ่งที่เคยมี ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น รับตัวเองไม่ได้ เพราะไม่ยอมปล่อยวางศักดิ์ศรีสักที แต่สุดท้าย ก่อนจะเทิร์นดาร์กไปอย่างเต็มตัว กลับเป็นแค่ความหวังเล็กๆ น้อยๆ บนโลกนี้ที่ทำให้เตี้ยนเซี่ย stay soft ได้ ตราบใดที่โลกนี้ยังมีความหวัง มีสิ่งดีๆ แม้แค่เรื่องเดียว ก็อาจจะเพียงพอให้เราอยู่ต่อได้แล้ว และการที่เตี้ยนเซี่ยมีความเชื่อมั่นในวิถีและความคิดตนเองอย่างแรงกล้าว่าผู้คนยังคงควรคู่ให้ช่วยเหลือ จะว่าคลิเช่ก็คลิเช่ จะว่าคลาสสิกก็ classic as gold สวยงามแบบนี้เลย
ชอบที่เตี้ยนเซี่ยยังคงอ่อนโยน ไม่สิ อ่อนโยนกว่าเดิมอีกเมื่อเข้าใจโลกมากขึ้น แต่ก็เศร้าที่เตี้ยนเซี่ยรักและเห็นคุณค่าตัวเองน้อยลงมากด้วย จะเซี่ยเหลียนในวัย 17 หรือวัย 800 ปีก็สุดโต่งไปคนละแบบ กลายเป็นว่าชินชากับความเจ็บปวดจนคิดว่าตัวเองเจ็บไม่ได้อีก u - u จึงต้องมีคนแบบฮวาเฉิงมาย้ำเตือนซ้ำๆ ว่าเซี่ยเหลียนยังเจ็บเป็นยังกลัวเป็นนะ ยังเหมาะกับความรักทั้งหมดทั้งปวงบนโลกใบนี้นะ ฮือออออ .กอดลูก
เพราะแบบนี้ล่ะมั้งเรื่องเลยได้ชื่อว่า "สวรรค์ประทานพร" เตี้ยนเซี่ยหรือเราต่างก็ได้รับบททดสอบชีวิตนับไม่ถ้วน เหมือนถูกคลื่นซัดลูกแล้วลูกเล่า แต่ท้ายที่สุด หากเรากล้ำกลืนฝืนทนจนผ่านมันไปได้ แม้แต่วันคืนที่แย่ที่สุดก็อาจจะถือว่าเป็น "พร" ที่นำมาซึ่งสิ่งดีๆ หรือความสุขบางอย่างหลังจากที่ผ่านความเจ็บปวดไปแล้ว เซี่ยเหลียนทั้งเติบโต เข้าใจตัวเอง และในที่สุดก็ได้พบฮวาเฉิง ในแง่หนึ่ง ชื่อเรื่องมันก็ช่าง ironic ว่าความเจ็บปวดพวกนี้จะเรียกว่าพรบ้าบออะไรกัน แต่ในอีกแง่ การใช้ชีวิตด้วยความหวังมันก็เป็นแรงขับเคลื่อนมากกว่าจมอยู่กับความทุกข์ในโชคชะตาจริงๆ ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมอีกเมื่อคิดว่า ชีวิตก็มีขึ้นลง สุขทุกข์ปนกันไป ดังนั้น จึงไร้สิ่งใดให้หวั่นเกรง พอเห็นเซี่ยเหลียนยังคมยิ้มได้อย่างอบอุ่น เราก็รู้สึกเหมือนได้กำลังใจในการก้าวผ่านอุปสรรคในชีวิตตอนนี้จริงๆ
อีกจุดเล็กๆ ที่ชอบเป็นพิิเศษก็คือคอสตูมและอาวุธของเซี่ยเหลียน ชอบที่ทุกชิ้นมีความทรงจำและความเป็นเซี่ยเหลียนแฝงไว้ แพรขาวรั่วเหยียสื่อถึงช่วงเวลาอันมืดมนที่สุดในชีวิตเซี่ยเหลียน ตรวนสาปสื่อถึงช่วงเวลาที่เคยเกือบจะสูญเสียตัวตน จมไปกับความเคียดแค้น เส้นหนึ่งสะกดพลังเวท อีกเส้นดับโชควาสนา สำหรับเราเป็นอะไรที่ genius และขมในอกมากๆ แต่ถึงกระน้ั้น เซี่ยเหลียนก็ยังมีหมวกฟาง สัญลักษณ์ของความหวังที่ทำให้เซี่ยเหลียนยังคงความเป็นตนเองไว้ได้ ทั้งหมดนี้ร้อยเรียงได้อย่างดีและขออวยรอบที่ล้านว่า ช่างสวยงามจริงๆ
*หมดสปอยล์*
ส่วนข้อเสียของเทียนกวานคือการเฉลยปมแบบรวบรัดตัดบทไปหน่อย บิ๊วมายิ่งใหญ่แต่จบง่ายไปนิด เหมือนพีคไม่สุด ค่อนข้างจะเป็นไปตามที่คาดเดา แล้วก็อดรู้สึกว่าตรรกะตัวร้ายมันไร้น้ำหนัก เลื่อนลอยกว่าที่คิด กลายเป็นว่าช่วงที่สนุกและน่าสนใจสุดสำหรับเราคืออาร์คน้ำดำเสียอย่างนั้น แย่งซีนฉากไคลแมกซ์ใดๆ ไปหมด เป็นจุดที่น่าเสียดายมากจริงๆ และตอนพิเศษเองก็โฟกัสคู่หลักซะส่วนใหญ่ แต่เรากลับโหยหาตอนที่โฟกัสที่มาที่ไปของตัวละครอื่นๆ แม้แต่ฮวาเฉิง เราก็คิดว่ามีอีกหลายอย่างที่เราอยากรู้จักเกี่ยวกับตัวละครนี้ ยังไม่นับเฮ่อเสวียน หรือตัวละครอื่นๆ ที่บทน้อยกว่าด้วย
ความคิดเห็นส่วนตัว
ถึงจะมีทั้งจุดที่ทำได้ดีมากและจุดที่ยังปรับปรุงได้ แต่เราก็รักเทียนกวานจัง u - u สมแล้วที่ทุกคนไฮป์กันอย่างหนัก เป็นเรื่องที่สนุกเข้มข้นครบรสตั้งแต่ต้นจนจบ มีตัวละครที่ lovable และน่าสนใจเต็มไปหมด รวมถึงมีคอนเซ็ปต์และเมสเสจที่ thought-provoking กระตุ้นให้คิดตามตลอดเวลา รักเซี่ยเหลียนที่สุดในโลก อยากปกป้องได้จัง แต่ไม่เป็นไรเพราะมีฟาฟามาปกป้องให้แล้ว <3 เทียนกวานเป็นเรื่องที่ดีใจอย่างยิ่งที่ตัวเองเลือกอ่าน เป็นเหมือนพรที่สวรรค์ประทานให้เลย และคงจะประทับตราตรึงในใจเราไปอีกนาน เก็บลงกรุในหมวด recommended ที่พร้อมป้ายยาให้ทุกคนมาหวีดด้วย อ้อ ในท้ายๆ เรื่องที่พูดถึงการบูชาเทพกับผีคู่กัน น่ารักมาก! พร้อมจะเป็นสาวกอีกคนที่จงรักภักดีกับเตี้ยนเซี่ยตลอดกาลแล้ว ฟาฟาหลบไป /โดนเอ้อมิ่งฟาด สุดท้ายนี้ หวังอย่างยิ่งว่าทุกตัวละครที่เรารักจะได้พบแต่ความสุข ก็ซัฟเฟอร์กันมาแล้วทั้งเรื่องนี่เนอะ y - y
ปล. เฉวียนอิ่นจงเจริญ สาววายสมองไหลหนักมาก ยกให้เป็นคู่ non-canon ที่ชอบที่สุดในเรื่องเลยได้ไหม
ปล. 2 สวรรค์ประทานพร ไร้สิ่งใดให้หวั่นเกรง
ilysm.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in