เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Dustman : ไอ้ธุลีดินผงผงาดค้ำจุนโลกHacker Dewdie
ตอนที่ 3 : ก่อนความโหดร้ายจะมาเยือน
  •           ผมเปิดผ้าม่านทีี่อยู่ในห้องนอน แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับพื้นห้องและสะท้อนกระจัดกระจายไปตามผนังต่างๆ ปรับห้องให้สว่าง ผมมองผ่านหน้าต่างใหญ่ มองไปไกลยิ่งกว่าต้นฉำฉาที่ยืนโดดเดีียวข้างขอบคันนา มองผ่านท้องนาทีี่ว่างเปล่า เพื่อเตรียมฤดูกาลปลูกข้าวในครั้งถัดไป มองไปลิบถึงภูเขาจางๆ ทีี่ตั้งตระง่านตรงเส้นขอบฟ้า หมอกสีดินยังคงปกคลุมโดยรอบๆ ไม่ต่างอะไรกับวันที่ผ่านมา ผมอยู่ในพื้นที่บ้านจัดสรรทีี่อยู่แถบชานเมือง แต่ก็พอมีความเจริญรุ่งเรืองอยู่บ้าง ถือว่าอยู่ในช่วงกึ่งกลางของความเป็นเมืองและชนบท 


              ในขณะที่ชมวิวทิวทัศน์  ผมคิดคำนึงถึงเรื่องเมื่อคืนที่ผ่านมา มันเป็นความฝันหรือความจริง หรือสิ่งที่ผมตื่นขึ้นมาอยู่ในตอนนี้มันคือความฝัน ผมละสายตาจากวิวทิวทัศน์จากนอกหน้าต่าง เดินไปหยิบนาฬิกาปลุกที่ตั้งอยู่หัวเตีียง มันแสดงตัวเลขฐานสอง ผมคิดคำนวณเพื่อหาคำตอบจากนาฬิกานั้น แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบ ผมวางมันลงที่เดิม และมองนาฬิากาฝาผนังที่อยู่ตรงปลายเตียง ก็ทราบว่าตอนนี้เวลาใกล้เกือบ 7 โมงครึ่งแล้ว ผมรับรู้ได้ทันทีว่าขณะนีี้ผมอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง 


              ผมเดินลงจากชั้นสอง เปิดประตูรับแสงในยามเช้า เดินออกไปยังลานหน้าบ้าน หยิบกระบวยตักน้ำในโอ่งจิ้งจก รดน้ำต้นไม้ ดอกไม้ ผมสังเกตเห็นว่าดอกกล้วยไม้ผลิดอกสีีม่วงออกมาสร้างสีสันสวยงาม  ต้อนรับยามเช้า ราวกับการส่งรูปภาพกล้วยไม้และข้อความสวัสดีในแอพลิเคชั่นแห่งหนึ่ง


              "พีท"


              "ไงแมรี่ หมู่นีี่เธอเป็นอย่างไรบ้างนะ"


              "ฉันทนแฟนของฉันไม่ไหว ล่าสุดมันเอาแฟนเข้าบ้านของฉัน ฉันยื่นคำขาดขอเลิกกับเขา ฉันไม่ยอมเป็นน้ำใต้ศอกของใคร ไม่อยากให้ชาวบ้านดูถูกและหาว่าฉันดูแลแฟนของฉันไม่ดีี"


              "น่าเกลียดมากๆ เลยอ่ะ เอาคนนอกมากเย้ยกันแบบนี้ไม่น่าอภัยเลย"


              "ตอนนี้ฉันคงรู้สึกบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก ไม่รู้จะทำยังไงดี  แต่ก่อนอ่ะนะมันก็มีความรู้สึกเสีียใจ ร้องไห้อยู่บ้าง ที่ฉันจับได้ว่ามีีการไปคุยกับคนอื่นๆ  แต่ตอนนี้ดูสิ แค่คนๆ หนึ่งที่คบกันมา 7 ปีี ทำหัวใจฉันพัง น้ำตาที่ไหลก็แทบจะไม่มีีเลยสักหยด"


              "........."


              "ปวดหัวว่ะ แม่ม.. เจอผู้ชายเจ้าชู้แบบนีี้ น่าจะไล่มันออกไปพ้นๆ ชีวิตตั้งแต่วันแรกเสียดีีกว่า"


               "ใจเย็นๆ เธอก็เพิ่งไล่ออกไปแล้วนี่นา...ตอนนี้เธอเป็นอิสระแล้ว"


               "............"  เธอนิ่งเงียบไปสักครู่หนึ่ง "แล้วจากนี่ฉันทำยังไงต่อล่ะ...ฉันเพิ่งรู้นะว่าบ้านของฉันมันใหญ่แค่ไหน เตียงของฉันมันกว้างแค่ไหน ฉันพยายามเลิกคิดถึงเขา พยายามตัดใจให้ขาด แต่มันก็มีอะไรหลายอย่างทีี่แว่บเขามาในหัวฉันตลอด ฉันไม่รู้จะทำยังไงดี"


              "เธอก็ลองหากิจกรรมบ้างสิ กิจกรรมทีี่ทำให้ความคิดไม่ฟุ้งซ่านนะ"


              "อืมนะ....."  เธอตกลงด้วยคำนี้อีีกครั้ง ราวกับว่าเป็นคำทีี่ประโยคจบลงแบบเดิมๆ "เธออยู่บ้านคนเดียวไม่เหงาบ้างเหรอ....เอางี้  ตอนบ่ายไปดูหนังเป็นเพื่อนฉันได้ไหมล่ะ" 


              หลังจากที่ผมรดน้ำต้นไม้เสร็จเรียบร้อย ผมเคาะรองเท้าให้ดินที่ติดรองเท้าหลุดออก และเดินเข้ามาในตัวบ้าน ในหัวของผมเต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคเพียงไม่กี่ประโยค มันมีพลังรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง จนอยากให้เดลจิต้าวัดพลังของคลื่นนี้เป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว


              เที่ยงวันของวันเสาร์นี้ ไม่มีีจะเลิศหรูและเพอร์เฟคดีีไปกว่าการได้มาออกมาดูหนังกับผู้หญิงคนหนึ่งแบบสองต่อสอง ในสายตาหลายคนจะคิดว่าเราทั้งสองดูหนังโรแมนติกกัน แต่เปล่าเลย....เธอต้องการดูหนังผีเรื่อง กระสือปะทะแดร็กคูล่า โดยตัวหนังกล่าวถึงเรื่องของแดร็กกูล่าผู้เป็นผีีทีี่มีีชาติตระกูล มีีความสูงศักดิ์ ซึ่งต่างกับกระสือทีี่ชอบกินของดิบๆ ของคาวๆ และของเสีย นั้นเป็นทำให้ผีีทั้งสองมาเจอกัน และทำสงครามใส่กัน โดยมีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังคือชาวเน็ตทีี่ชื่อลูซิเฟอร์ เมื่อแผนการทีี่ลูซิเฟอร์ล้มเหลว ลูซิเฟอร์จึงปล่อยดูมมาจาเล่ดูม เป็นสัตว์ประหลาดที่ตัดต่อดีเอ็นเอมาต่อสู้ กระสือกับแดร็กกูล่าจึงร่วมมือกันต่อสู้ จนดูมมาจาเล่ดูมตาย ส่วนแดร็กกูล่าก็บาดเจ็บ เสียเลือดมาก ก็ตายเช่นกัน



  •           "เธอคิดว่า อากาศจะดีีขึ้นไหมล่ะ"  แมรีี่พูดขึ้น หลังจากที่เธอนั่งสไลด์โซเชี่ยลเน็ตเวิร์คไปเรื่อยๆ ในร้านไอติมของห้างแห่งนี้ 


              "ไม่รู้สินะ...." ผมพูดด้วยเสียงอ่อนๆ "เราก็ไม่รู้นะว่าทางรัฐบาลจะใช้มาตรการใดในการแก้ปัญหากับสิ่งที่เกิดขึ้น เท่าทีี่เห็นอยู่ในตอนนี้ทีมงานของเขาก็เต็มที่กับงานปัดกวาดบ้านเมือง เช็ดล้างถนนนะ อีีก 2-3 เดือนก็คงจะหายไปแล้ว ก็เข้าใจว่า มันเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้นๆ แบบขอไปทีก่อน แต่ถ้าแก้ปัญหาในระยะยาวนี่สิ...มันน่าคิดยิ่งกว่านั้น"


              "ฉันคิดว่านะ ประชาชนอย่างเราๆ เองก็หวังแต่พึ่งรัฐบาลมากเกินไปหรือเปล่า ทั้งๆ ทีี่ฝุ่นทีี่เกิดขึ้นเหล่านีี้มันก็มาจากฝีีมือของพวกประชาชนทั้งนั้นเองแหละ ไม่ว่ามาจากการเผาในทีี่โล่ง หรือมาจากคมนาคมการขนส่ง หรือจากภาคอุตสาหกรรม ฉันคิดว่าประชาชนก็สามารถร่วมด้วยช่วยกันก็ได้นะ" 


              "อืม..นะ ประเทศไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นผู้คน เราต้องช่วยกัน"


              "ไปกันต่อเถอะ"


  •           หลังจากนั้น ผมและแมรี่เดินเข้าโซนเล่นเกม เราทั้งสองคนได้เล่นเกมตู้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเกมเพรสซิเด้นอีวิล เกมแข่งรถบั้มพ์ เกมชู้ตบาส ฯลฯ  เราทั้งสองสนุกกันมากเลยทีเดียว หลังจากนั้นจึงเดินออกจากห้างด้วยความสนุกทีี่ไม่จางหาย


              "พีท..พีท" แมรี่เขย่าแขนผม "ฉันขอดูดวงแปบนึงนะ"


              "อ่อ..อ่อ ได้"


              เธอนั่งบนเก้าอี้ของหมอดูดวงทีี่ตั้งโต๊ะอยู่หน้าประตูทางเข้าของห้าง  หมอดูคนนี้สวมฮู้ดคลุมหัวสีดำ บนโต๊ะมีไพ่ 1 สำรับ มีรูปปั้นที่อยู่ในอิริยาบถยืน มือหนึ่งข้างซ้ายยกขึ้นเสมออก ตั้งฝ่ามือยื่นออกไปข้างหน้าเป็นกิริยาห้าม และมีพวงมาลัยคล้องที่ฐาน เมื่อผมมองพิจารณาแม่หมอคนนี้อีกครั้ง เธอยายแก่คนหนึ่ง ที่มีผมสีขาว ใบหน้าเหี่ยวย่น และผิวหมองคล้ำ


              "หนูมีเรื่องทุกข์ร้อนเกีี่ยวกับความรักเหรอ"


              "ยายรู้ได้ไง"


              "ยายรู้เพราะเจ้านี้มันบอกกับยายมา" ยายก้มตัวลงด้านข้างโต๊ะและหยิบถุงดำใบใหญ่ขึ่้นมา เธอควานหาของบางอย่างในถุงดำ หลังจากนั้นไม่นาน เธอหยิบหมวกทรงสูงยอดแหลมออกมา หมวกนั้นมีรอยยับย่นเป็นรูปตา มีรอยแยกที่ฉีกออกเหมือนปาก  


              "เอาล่ะ...หนูต้องการอยากหมวกนีี้ช่วยเรื่องอะไร ก็สื่อสารกับหมวกนี้นะ"


               เธอหลับตาลง ยายแก่เอาหมวกทรงสูงวางบนหัวของเธออย่างช้าๆ ผมมองใบหน้าของเธอ เธอเริ่มขมวดคคิ้ว สักครู่หนึ่งเธอเอามือกอดอกตัวเอง และสั่นเล็กน้อย หลังจากนั้นเธอยกคิ้วตัวเองขึ้นสูง เธออ้าปากว้าง หน้าแดง หายใจเร็ว หอบฟืดฟาด และลืมตาอย่างรวดเร็ว ยายแก่ยกหมวกออกจากหัวของเธอ เธอเอามือกุมหน้าอกตัวเอง และพยายามหายใจเข้าหายใจออกช้าลึกๆ 


               "เธอคงได้คำตอบแล้วใช่ไหม" 


               "แฮ่ก แฮ่ก....." เธอหายใจเข้าอีกครั้ง แล้วพยายามตั้งสติก่อนตอบยายไป "หนูคิดว่าหนูค้นพบแล้ว แต่หนูไม่มั่นใจ"


               "ทำตามความรู้สึกของใจนะ อย่าลังเลเลย" ยายแก่คนนั้นกล่าวเอาไว้


               เธอไหว้หมอดูคนนั้น แล้วหลังจากนั้นก็ลุกจากเก้าอี้ เดินมาหาผม เธอมองของผมแล้วก็ยิ้มให้ผม เอามือจับแขนของผมเอาไว้
     

               "เดี๋ยวก่อน  หนุ่มคนนั้นนะ" ผมได้ยินเสียงจากยายแก่คนนี้อีกครั้ง "ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนมีีอะไรมาติดหลังอยู่หรือเปล่า"


               ผมเอามือไปแตะข้างหลัง รวมให้แมรี่ช่วยตรวจดูหลังของผม ก็พบเจอสิ่งผิดปกติอย่างไร  "ก็ไม่นิครับ ไม่เห็นจะมีีอะไรเลย"


               "เธอมองมันไม่เห็น แต่ฉันเห็นมัน" ยายแก่พูดขึ้น "สัตว์ประหลาดตัวนั้นเกาะอยู่ข้างหลังเธอ มันค่อยกัดกินแผ่นหลังของเธอ"


               "ยายพูดเรื่องอะไร"


               "นี่เธออยู่มาขนาดนี้แล้ว เธอยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวของเธอเองหรอกเหรอ" ยายเว้นจังหวะ "ฉันมาที่นี่เพราะเธอเป็นคนเรียกฉันมาเองนะ"


               "เรียกผมเเหรอ ยายพูดให้ผมงงนะ"


               "งั้นเธอลองสื่อสารกับหมวกนี้เองสิ" ยายแก่ชี้ไปยังทีี่หมวก ผมมองที่หมวกนั้น และหันมาสบตามองกับแมรี่ เธอยิ้มและพยักหน้าให้กับผม ผมเข้าใจในอวัจนะของสิ่งทีี่เธอสื่อสารออกมา ผมจึงเดินเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ ยายแก่ถือหมวกวางไว้บนหัวของผม


               "ไม่ต้องกลัวนะหนุ่มน้อย ฉันถูกฝึกมาให้เข้าใจภาษาไทยโดยชำนาญแล้ว ไม่เหมือนตอนแรกๆ"


               "คุณเป็นใคร ทำไมคุณสื่อสารกับผมได้"


               "ผมคือผู้หยั่งรู้ ผู้พยาการณ์โชคชะตา ผมเคยทำงานอยู่ในออกปอดเป็นเวลา 60 ปีจนเกษียณ จึงมารับจ๊อบหารายได้พิเศษอยู่ตอนนี้ เอาเป็นว่าอย่ารู้ข้อมูลประวัติฉันเลย สิ่งทีี่คุณควรรู้ในตอนนี้คือสิ่งที่อยู่คุณต้องเผชิญหน้ากับมันต่างหาก"


               "ผมเหรอ ผมต้องเจอกับอะไร"


               "ในเที่ยงคืนเมื่อคืนวานนี้ คุณเดินทางไปที่ไหนมา" 


               "ผมเหรอ...ผมไม่ได้ไปไหน ผมก็นอนหลับอยู่บนเตียงนอนนี่นา"


               "โกหก!!!" เจ้าหมวกตะคอกเสียงดังจนผมสะดุ้งง "ผมรู้ ผมเห็น คุณเดินทางไปยังขอบกาแล็คซี่มา แล้วคุณรู้แล้วใช่ไหม ว่าจะเกิดอะไรขึ้น"


               "14 กุมภา"


               "ใช่แล้ว ถูกต้อง"


               "โอ้วไม่นะ....ไม่ "  ผมเอามือป้องปากตัวเอง แล้วก็รู้สึกวิตกกังวลเป็นอย่างมาก "เหลืออีก 12 วันแล้ว แล้ว แล้ว.....มันจะเป็นอย่างไรต่อ"


               "งั้นก็ดูตามนี้สิ"


               ผมอยู่ในห้องแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยพื้นและผนังสีดำ หลังจากนั้นฉากรอบตัวค่อยๆ แสดงออกมา ผมยืนอยู่บนกองซากปรักหัก มองไปรอบๆ เห็นตึกถล่ม ไฟไหม้ ฝุ่น กลุ่มควัน คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ หมอกสีดินปกคคลุมหนา มองได้ในระยะ 200 เมตร ต้นไม้ต้นเล็กต้นน้อยล้มลงมา ถนนแตกเป็นคลื่น รถยนต์หลายคันจอดบนท้องถนนในสภาพทีี่ไม่สามารถขับขีี่ได้ บางคันไฟลุกโชน มีคนนอนล้มตายพาดกระจกด้านหน้ารถ เสาไฟฟ้าล้มลงมาหลายต้น เสียงปืนดังสนั่นไม่ขาดสาย ประชาชนวิ่งหนีกันแตกตื่น  สักครู่หนึ่งผมได้ยินระเบิดจากฟ้า และหลังจากนั้นเห็นวัตถุขนาดใหญ่ตกลงมา พุ่งผ่านเหนือศีรษะของผม มันตกลงกระแทกพื้นและลื่นไถลไปกับพื้นถนน ชนกับอาการก่อสร้างสูง 10 ชั้น ผมหันมองวัตถุนั้น มันคือจรวดกริพเพ่น ที่จอดแน่นิ่งในลักษณะหงายขึ้น พิงกับอาการก่อสร้าง  ผมได้ยินวัตถุบินด้วยความเร็วอีีกครั้ง มีีวัตถุหลายกลุ่มก้อนที่ผมไม่สามารถนิยามได้ บินเหนือศรีษะไปอย่างรวดเร็ว และจากนั้นผมได้ยินเสียงฝีเท้าของกลุ่มคนเดินเข้ามาใกล้ๆ


               "พีท.."  ผมได้ยินชื่อเรียกผม ผมหันไปหาทีี่มาของเสียงนั้น


               "แมรีี่!!!"  ผมตกใจเป็นอยากมากที่เห็นเป็นเธอ เธอมีสภาพใบหน้าหมองคล้ำ เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อและเปื้อนฝุ่นไปทั้งร่างกาย "ช่วยฉันด้วย ช่วยฉัน....ฮึกกกกก"


               หลังจากทีี่เธอพูดจบ เธอรู้สึกตกใจชั่วขณะ แล้วสักครู่หนึ่งมีเลือดไหลออกมาจากปากของเธอ เธอก้มลงมองทีี่ท้องของเธอเอง พบของแหลมคมเสียบทะลุช่องท้องของเธอ ทำให้เธอแน่นิ่งไป หลังจากนั้นของมีคมนั้นถูกชักออก เธอล้มตัวนอนลงบนพื้น หมดสติ ไม่มีลมหายใจ ผมตกใจเป็นอย่างมาก ผมรีบวิ่งเข้าไปหาเธอ 


               แต่แล้ว ผมก็เห็นสัตว์ประหลาด ปรากฏกายออกมาจากกลุ่มหมอกควัน มันเป็นปีศาจทีี่มีใบหน้าเหมือนปลาดุก มีหนวดยาว มีเมือกปกคลุมใบหน้า มีดวงตาเล็กดำ มีสองแขน มีมือสองนิ้ว มือข้างซ้ายถือหอกด้านยาว ส่วนมืออีกข้างถือกรงจักร ทีี่ลำตัวของมันมีรยางค์ยืนออกมา 2 ข้างเหมือนหนวด ทีี่ปลายหนวดของมันเป็นกลีีบคล้ายกาบหอยแครง แต่ภายในกาบนั้นเต็มไปด้วยฟันแหลมซี่เล็กมากมาย  ขาท่อนล่างของมัน มีตาหลายตา มองดูเหมือนฝักดอกบัว มันเดินด้วยขา 2 ขา ผมเห็นดังนั้นจึงหยุดนิ่ง และมองไปดูรอบ ปรากฏว่าผมตกอยู่ในวงของสัตว์ประหลาดเหล่านี้


               "เอาล่ะ นิทานจบแล้วนะ ลุกออกเถอะ อย่ามัวเสียเวลาดูเอนเครดิตเลย" ยายแก่ยกหมวกออกจากศัีรษะผม 


               "เอ้ย ยาย...รีบเอาออกทำไมละ"


               "มันจบลงแล้ว นี่คือหมวกฟ้าแลบนะ ที่สามารถสื่อสารกับมันภายในเวลา 1 นาทีี ถ้าหมดเวลาแล้วก็จะไม่มีสิทธิ์สื่อสารกับมัน"


               "แต่ยาย มันยังจบไม่เลยนิครับ ขอผมลองอีกครั้งได้เปล่า"


               "มันหมดแบตแล้วนะหนุ่มน้อย" ยายคนนั้นตอบกลับมาและเขย่าหมวกขึ้นๆ ลงๆ เอามือปิดเปิดสวิตซ์ไฟที่อยู่ข้างหลังหมวก "ยายต้องเอาไปชาร์ตแบตเตอร์รี่ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณ 10 ชั่วโมง มันถึงจะเต็มและกลับมาทำงานต่อได้นะ"


                "............"


               "ว่าแต่เมื่อกี้ เทคโนโลยี VR ของหมวกเป็นยังไงบ้าง"


               "แย่" ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ "กลับบ้านกันเถอะแมรี่...อย่าเสียเวลาเลย"




  •            "เอาไหม" 
               ผมสะดุ้งตื่นจากความคิดทีี่ฟุ้งซ่าน ในตอนเย็นของวันศุกร์ ผมเห็นไอติมโคนรสสตอว์เบอร์รี่อยู่ข้างหน้าผม ผมหันไปมองคนที่ยื่นมา นั่นคือแมรีี่ ผมรับไว้ไอติมโคนนั้น เลียไอติม แล้วนั่งมองดูสายน้ำที่อยู่ข้างหน้า ส่วนแมรีี่นั่งอยู่ข้างๆ ของผม ใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง


               "นีี่เธอชวนฉันมาในสวนสาธารณะที่ริมน้ำอย่างนีี้ เธอคิดยังไงกันแน่"


               "ก็จะชวนเธอรับบรรยากาศความสดชื่นทีี่ปราศจากความวุ่นวายในเมืองบ้าง มองดูสายน้ำ มองดูทิวทัศน์ เผื่อจะทำให้สุขสงบยิ่งขึ้นนะ"


               "เธอนี่ช่างโรแมนติกดีจัง" แมรี่ชมผม "นี่ๆ เธอวางแผนในอนาคตอย่างไรบ้างอ่ะ"


               ผมมองหน้าแมรี่สักครู่หนึ่ง เกิดความรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมเปิดประเด็นเรื่องแบบนี้ หลังจากนั้นก็พร้อมบอกเธอไป


               "ผมอยากตั้งโรงงานผลิตรถไฟฟ้าจากพลังงานโซล่าร์เซลล์นะ โดยจะใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ชาร์จเก็บไว้ในแบตเตอร์รีี่ให้เต็ม แล้วจะให้รถขับเคลื่อนด้วยระบบพลังงานไฟฟ้า ซึ่งนับว่าเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งทีี่ช่วยลดมลพิษ ลดควันไอเสีย และช่วยปกป้องโลกของเราให้ยั่งยืน คนเราจะไม่ต้องสูดอากาศ ของเสียในบรรยากาศเหมือนทกวันนี้นะ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดตรงนั้นได้ ผมคงต้องสะสมทุนไว้ก่อนนะ"


               "เป็นความคิดทีี่เยีี่ยมไปเลยล่ะ..."


               "แล้วเธอล่ะ"


               "ฉันอยากก้าวหน้าในตำแหน่งงาน อยากมั่นคงในการทำงาน จะได้อยู่ดีีกินดีีและอุดมสมบูรณ์ อยากมีครอบครัวเล็กๆ ที่อบอุ่น มีพ่อมีแม่มีลูกอยู่ด้วยกัน นั่งคุยด้วยกัน"


               "แต่เธอเพิ่งอกหักมาจากสัปดาห์ทีี่แล้วเองนี่"


               "โอ้ย บ้า...." แมรีี่ตบทีี่ไหล่ของผม "ถ้าฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ ฉันจะเลือกอยู่เป็นโสดตลอดชีพ ให้ผู้ชายเสียดายเล่น"
               

               หลังจากที่แมรีี่พูดจบ เธอกับผมขำๆ เล็ก


               "พูดเรื่องแบบนี้แล้ว....เธอไม่มีคนของเธอบ้างเหรอ"


               จากเหตุการณ์ทีี่สนุกเมื่อตะกี้ เข้าสู่โหมดอารมณ์ตึงๆ อีกครั้ง ผมมองที่หน้าของเธอ เธอมีสีหน้าอยากรู้ควาามจริงจากผมเป็นอย่างมาก ผมใช้สติคิดบ้างเล็กน้อย และตัดสินใจพูดออกไป


               "เรื่องนี้ก็ยังไม่มีีเลยนะ และผมก็ยังไม่รู้เลยนะว่าจะเริ่มต้นอย่างไร"


               "......"


               "ในตอนที่เรีียนอยู่ชั้น ม.ต้น ปวช ก็อยากความรักแบบป๊อปปี้เลิฟอยู่บ้างแหละ มีการส่งนู้น ส่งนี้ไปให้ ส่งดอกไม้ โทรศัพท์ไปหาดีเจช่วยเปิดเพลงให้เขาฟัง ส่งเมสเสสบอกรักฝันดีีก่อนนอน แต่พอขึ้นมหาลัยสายงานทางด้านวิศวกรรมแล้ว มันเหมือนกับรู้สึกว่าผู้หญิงที่ผมสนใจด้วยก็เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเท่านั้น  ผู้หญิงทีี่สนใจในทางด้านสายงานวิศกรรมนี้มีอยู่น้อยจนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติิของภาค ผู้หญิงประเภทนีี้มักจะถึก บึกบึน และแข็งแรง ซึ่งก็เป็นจุดเด่นของพวกเธอ แต่บ่อยครั้งที่พวกรุ่นพี่จะมาเลือกรุ่นน้อง หรือมีการเลือกกันเอง หรือคนจากภาคอื่นๆ แย่งไป  พอโตขึ้นมาอีีกในวัยทำงาน นับได้ว่า มีีเวลาแทบจะเจอผู้หญิงในสังคมน้อยมาก"


               "ในแต่ละวัน ผมต้องออกเดินทางไปดู ไปควบคุมงาน ตามสถานทีี่ต่างๆ  สิ่งที่เจอในแต่ละวันก็เจอแต่ผู้ชายทำงานกันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งจับ ฉาบ ก่อ ตัด ขัด หรืออาจจะได้ไปเจอแรงงานต่างด้าว กลับมาในออฟฟิศ ก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกับใครเป็นพิเศษ ชีวิตประจำวันก็มีแค่ตื่นนอน ไปทำงาน ควบคุมงาน ตกเย็นก็กลับมาบ้าน พักผ่อน เพื่อมีแรงไปทำงานวันพรุ่งนี้อีกวันหนึ่ง เลยวนลูปกันไปเป็นอย่างนี้นี่แหละ"


               "ไม่แน่นะ เดีี๋ยวเธอจะคนจะเจอคนใช่ จะมาวันที่ใช่เองแหละ"


               "ขอบใจนะ" ผมกล่าวขอบคุณกับเธอ "เออนี่....เอานีี่ไหม"


               ผมหยิบกระเป๋าสะพายหลังออกมา เปิดซิป หยิบถุงพลาสติกออกมา


               "หน้ากาก N95 .....ช่วงนี้่มันเป็นช่วงทีี่หน้ากากหายากมากนะ ผมซื้อกักตุนไว้หลายอันเลย ผมก็เลยอยากให้เธอ"


               "เหรอ เหรอ ขอบใจจังเลยเลย"

               
               "มาๆ เดี๋ยวผมสวมให้"


               ผมลุกขึ้นโค้งตัวและนั่งด้านหลังของเธอ เอามือจับหูหน้ากาก เธอเอามือรวบผมยาวกลางหลัง เผยให้เห็นต้นคอ และใบหูที่ดูขาว งดงามเป็นอย่างมาก มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นความงดงามจากเธอมาก่อน ผมค่อยเอามือสวมหน้ากากด้วยความสั่น เกี่ยวที่ใบหูของเธอ แล้วเธอก็ปล่อยผม สะบัดผมไปมา พลิกตัวหันหน้ากลับมา และมองผม


               "เป็นไงบ้างล่ะ" เธอถาม


               "เธอนี่"  ผมคิดเล็กน้อย "เหมือนอยู่ในขบวนการเรนเจอร์มากนะ เหอะๆๆ"


               ผมกล่าวจบ เธอตบไหล่ผมปิดท้าย 


  •            ตกเย็นของวันอาทิตย์สุดสัปดาห์นี้ หลังจากทีี่ผมใช้พลังของผมช่วยเหลืือลูกหมาตกน้ำ ตามหาลูกเศรษฐีทีี่หายตัวไป และปิดคดีแก๊งค์ยากูซ่าทีี่ขโมยอมยิ้มของเด็กเรียบร้อยร้อยแล้วนั้น ผมอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น เปิดประตูหน้าบ้าน เดินออกมาพรวนดิน รดน้ำต้นไม้ ฮัมเพลงไปเรื่อยๆ  ชะโงกหน้าเหลือบมองไปที่หน้าบ้านแมรี่เหมือนเดิม แต่วันนี้ผมเห็นรถเก๋งสีขาวทีี่ผมคุ้นตา สักครู่หนึ่งมีผู้ชายเปิดประตูบ้านแมรีี่ออกมา นั่งสวมรองเท้าหนังที่วางอยู่หน้าบ้าน


               ผมเริ่มไม่ไว้ใจในเหตุการณ์ที่ผมเห็น ผู้ชายคนนี้คุ้นตาเป็นอย่างมาก ผมใช้พลังของตัวเอง จางหายจนไม่มีใครสามารถมองเห็นผม และเฝ้าดูในเหตุการณ์เหล่านั้น 


               สักครู่หนึ่ง แมรี่เดินออกมาในสภาพชุดราตรี แต่งหน้า ทำผม สวยงามมาก เธอใส่กุญแจประตูหน้าบ้าน และสวมรองเท้าส้นสูง


               "พร้อมแล้วหรือยังคะ"


               "พร้อมแล้วจ๊ะ" แม่รี่มองหน้าผู้ชายคนนั้น


               ผู้ชายคนนั้นโค้งตัวลงก้มลงมา เอาปากหอมทีี่แก้มของแมรีี่ สักครู่หนึ่งเขาค่อยดึงหน้าออกมา กลับหลังหัน ในระหว่างทีี่เขาหันอยู่นั้น ทำให้ผมเห็นใบหน้าของเขาชัดเจนมาก 

               
               ผู้ชายคนนีี้คือแฟนเก่าของแมรีี่ ที่แมรี่เพิ่งบอกเลิกกันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง แฟนของแมรี่จูงมือแมรีี่ขึ้นรถเก๋งคันสีขาวเงาวับวาว เขาเปิดประตูให้แมรี่ขึ้นก่อน แล้วเขาปิดประตูรั้ว ขึ้นฝั่งทีี่นั่งคนขับ และก็ขับรถเก๋งคันสีขาวออกไป ส่วนผมยืนตัวตรงนิ่งเหมือนต้นฉำฉาทีี่ตั้งอยู่หลังบ้าน ในมือถือส้อมพรวนดินสีีส้ม  


               สภาพผมในตอนนี้น่าเวทนายิ่งนัก 
               

                ผมมันเหมือนฝุ่นไม่มีีผิด 
              

               เป็นฝุ่นที่เธอไม่เคยมองเห็นว่ามีใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ เป็นฝุ่นที่ไม่มมีความรู้สึก ทีี่ผ่านมาผมก็เป็นฝ่ายที่แอบชอบเขาข้างเดีียวไปตลอด จนไม่กีี่วันที่ผ่านมาก็เผลอทึกทักไปเองว่าเธอมีใจ 


                ก็ได้แต่ท่องเอาในใจ มันไม่เป็นไร...มันไม่เป็นไรจริงๆ  พยายามปลอบใจตัวเองเอาไว้ ถ้าเธอเลือกคนที่ดีที่เข้าใจเธออยู่แล้ว ผมก็พร้อมจะไป






    ***
    ปล. กดสับตะไคร้ไว้นะ แล้วมาติดตามชมกันอีกครั้งในวันที่ 14 กุมภาฯ ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายแล้ว

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in