“ยิ้มไรนักหนาไอ้บี๋ ขนลุกว่ะ”แชงมองเพื่อนด้วยแววตาหวาดระแวง เมื่อวานทำหน้าอย่ากะหมาหงอยไหงวันนี้กลายเป็นคนบ้าไปได้
“เพื่อนมึงแม่งเพี้ยนไปแล้ว”จีกระซิบข้างหู
“มันก็เพื่อนมึงด้วยแหละสัส!”
“เมื่อวานเกิดไรขึ้นวะไอ้ปั้น”จีลูบหัวหลังโดนแชงตบกบาลเข้าให้
ปั้นเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้แชงกับจีฟังก่อนจะทุบอกดังอั้กด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “เป็นไงล่ะ ฝีมือกู”
“มิน่า” จีมองไปหาบี๋ที่เอาแต่นั่งยิ้มเล็กยิ้มน้อย จนอยากจะเอาน้ำมาสาดสักทีสองที
“รำคาญลูกกะตาว่ะ” แชงผลักหัวของคนอยู่ในภวังค์จนแทบจะทิ่มโต๊ะ
บี๋หันขวับจ้องเขม็งไปหาตัวต้นเหตุด้วยสายตาอาฆาต “อย่าขัดขวางคนกำลังมีความรักได้ป่ะ” ก่อนจะกลับมาพร่ำเพ้ออีกรอบ
.
.
.
หลังจากนั้นบี๋ได้ยินว่าลีอยู่ที่ไหน ก็แทบบินไปตรงนั้นทุกทีโบกมือทักทายอีกฝ่ายเสมือนเป็นเรื่องบังเอิญ ทั้งทั้งที่เกิดจากความตั้งใจล้วนๆ
“ลียิ้มให้เราอ่ะแก” บี๋เอามือปิดหน้า ก่อนจะเอาอีกข้างทุบหลังแชงด้วยความเขิน
“เว็บนะโว้ย” แชงทำหน้าทรมานตัวนิดเดียวแต่แรงควายชิบ “มันก็ยิ้มให้กูเหอะอย่าเพ้อเจ้อให้มันมาก”
“เค้ายิ้มให้ชั้นคนเดียวย่ะ”บี๋แทบจะหุบยิ้มไม่ทัน มองเพื่อนตัวเองด้วยสายตารำคาญ
“เมื่อวานพวกกูก็เล่นบาสด้วยกัน”แชงยักคิ้ว “ว้าย คนนอก” ก่อนชี้หน้าบี๋ ด้วยจริตชวนถีบ
“เอ้า แล้วทำไมไม่บอกอ่ะ”
“บอกทำไม”
“เอ้า” บี๋นึกเหตุผลไม่ออก“เออ ไม่บอกก็ไม่บอก” ก่อนจะทำหน้าหงอยแชงเหลือบมองคนกำลังงอนไม่เข้าเรื่อง
“ชอบมันนัก ก็จีบดิ” แชงเสนอ
คนฟังสะดุ้งเฮือก “เฮ้ยยย ไม่เอา” บี๋หน้าแดง “เราไม่กล้า”
แชงบึนปากดูอาการของคนไม่กล้าเวลาเจอลีฉีกยิ้มจนถึงหู เวลาเจอก็แทบจะโดดขี่คออีกฝ่าย “จ้า ไม่กล้าเลย ไม่กล้าซักนิด”
“โหหห น้ำเสียง ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ” ก่อนจะสะบัดหน้าเดินหนี
.
.
.
เลิกเรียนปุ๊บบี๋มองซ้ายมองขวาตรงป้ายรถเมล์ ลางสังหรณ์มันบอกว่าวันนี้เธอจะได้เจอลีที่นี้ ฉะนั้นเธอจึงได้รีบบึ่ง หยิบกระจกจิ๋วขึ้นส่องก่อนจะใช้มือปาดผมข้างหน้าให้เข้าที่ ทาลิบมันเปลี่ยนสีเพื่อให้หน้าดูมีสีสัน ก่อนจะยิ้มให้ตัวเองในกระจกด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
มองซ้ายแลขวาอีกทีสิบนาทีผ่านไป จากที่ยืนรอ ก็เริ่มหาที่นั่ง ยี่สิบนาทีต่อมาเริ่มคุยกับคนข้างๆที่กำลังรอรถเมล์กลับบ้าน สามสิบนาทีผ่านไปจากคนเยอะๆก็ยืนหัวโด่อยู่คนเดียว
โว้ย ไม่รงไม่รอมันแล้ว!
บี๋เอามือปาดเหงื่อออกอย่างอารมณ์เสีย ร้อนก็ร้อน สวรรค์บ้าบอก็ไม่ยอมให้ลางสังหรณ์ของเธอเป็นจริงสุดท้ายจากที่คิดว่าจะทำเป็นเรื่องบังเอิญกลับบ้านพร้อมกัน จะได้หาเรื่องคุยและสุดท้ายก็พัฒนาความสัมพันธ์เป็นแฟน ก็ต้องจบเห่ เพราะเรื่องบังเอิญไม่มีจริง
ได้! ต่อไปฉันจะไม่หวังพึ่งอะไรทั้งนั้นฉันจะพึ่งแค่ตัวเอง ฉันนี้แหละคือพระเจ้า!
ใช่แล้วพระเจ้าอย่างเธอก็ต้องรอรถเมล์ รอนานจนเริ่มใจเดือดปุดๆทั้งอากาศที่ร้อนบรรลัย ไหนจะความหวังที่ได้กลับบ้านพร้อมลีก็พังไม่เป็นท่า อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจ อยากจะประชดด้วยการเดินกลับบ้าน ไม่งงไม่ง้อมันแล้วไอ้รถเวร แต่พอคำนวณระยะทางก็พอจะดึงสติของบี๋ได้ดีพอสมควร
ในที่สุดรถก็มาบี๋หอบสังขารตัวเอง เริ่มมองหาที่นั่งทันที
ไม่มี อืม ให้ตายเถอะ
“โอ้ย!” เหมือนมีเหล็กทับตีน บี๋สะดุ้งโหยงนี้มันวันอะไรกันวะเนี้ย ก่อนจะตวัดสายตาดูว่าใครบังอาจมาเหยียบเท้าของเธอ
“ขอโทษครับ”
“ลี” แทบจะเปลี่ยนน้ำเสียงไม่ทัน
“บี๋เองหรอ เฮ้ย ขอโทษที่เหยียบเท้าเจ็บไหม” ลีตกใจมองรองเท้านักเรียนสีดำของบี๋ที่ตอนนี้มีพื้นรองเท้าของเขาประทับตราอยู่
“ไม่เจ็บๆ” บี๋ส่ายหน้า“สบายมาก” ก่อนจะยิ้มแฉ่งให้ลี
“เฮ้ย ขอโทษจริงๆนะ ไม่ได้ตั้งใจ”บี๋โบกมือไปมาเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร เพราะใจตอนนี้เต้นโครมครามและกลัวตัวเองพูดอะไรแปลกๆออกไป เช่น เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชา จนสมอุราจนสาแก่จายยยเจ็บกว่านี้ก็ทนไหวค่า
“ลีกลับบ้านสายนี้หรอ” บี๋พึ่งรู้สึกว่าพอยืนข้างๆแบบนี้ถึงรู้ว่าลีสูงมากกกแทบจะเท่าไอ้ปั้นอยู่แล้ว แต่แบบมันเรียกว่าเปรต ส่วนลีเรียกว่านายแบบ อิอิ ความลำเอียงนี้
“ใช่” ลีหันมอง“เธอก็กลับสายนี้หรอ ทำไมไม่เคยเจอเลยล่ะ”
“ใช่ สงสัยคลาดกันตลอด” บี๋ตอบยิ้มๆ พอแอบชอบปุ๊บถึงรู้ว่ากลับบ้านสายเดียวกัน นี้ฉันไปอยู่ไหนมาฮืออ
หลังจากนั้นก็ต้องบอกว่าเห็นตลอดแอบมองประจำ แต่เธออายจนไม่กล้าที่จะอยู่ใกล้เขาต่างหาก พอเห็นว่าลีขึ้นรถมาแล้วยืนข้างๆ บี๋ก็จะกระเถิบไปยืนตรงอื่นทันทีเพราะใจมันเต้นแรงจนนึกว่ามันจะวายตายแน่ๆ ถ้าเธอยังอยู่ใกล้เขาแบบนี้
“วันนี้ไม่เล่นบาสกับพวกปั้นหรอ”บี๋ทำลายความเงียบ และใช้โอกาสนี้ใกล้ชิด พิชิตใจเธอให้ได้
“พอดีแม่บอกให้รีบกลับบ้านน่ะ”
แล้วก็เงียบ
มันต้องไม่ใช่แบบนี้ดิ
“ลีสนิทกับปั้นหรอ”
“ก็สนิทนะ เล่นบาสด้วยกันประจำ”
เงียบ
“หรอ เราสนิทกับปั้นรู้จักเพื่อนปั้นทุกคน ไม่ยักเห็นลีซักที”
“ส่วนใหญ่ก็เจอกันตอนเล่นบาสน่ะ”
เงียบ
“ได้ยินว่าเจ็บเท้า หายยังอ่ะ”
“เกือบๆจะหายสนิทแล้ว”
“ไปทำไรมาหรอ”
“ข้อเท้าฉีกน่ะ”
แล้วก็เงียบ
โว้ยยย มันต้องไม่ใช่แบบนี้ดิ มันก็ดีอยู่หรอกที่อย่างน้อยลียังตอบคำถาม แต่ไอ้ตอบคำแต่ไม่ถามสักคำนี้คืออะไร๊ ฉันกลายเป็นพญานกแล้วหรอ กลายเป็นว่าบี๋ชวนคุยอยู่คนเดียว กลายเป็นยัยพูดมาก พูดอยู่คนเดียว ถึงเรื่องจริงจะเป็นคนแบบนั้นจริงก็เถอะ
“ลีรำคาญไหมเราพูดมากเกินไปหรือเปล่า” บี๋ถามตรงๆ เอาวะเป็นไงเป็นกัน
ลีหันมองก่อนจะยกยิ้มมุมปากบางๆ “ไม่นิ”
“เรากลัวลีรำคาญที่เราถามมากไป”บี๋ถามด้วยท่าทางเจี๋ยมเจี้ยม จนคนมองหัวเราะเบาๆด้วยความเอ็นดู
“ไม่หรอก ฉันซะอีกที่ต้องขอโทษเธอฉันไม่พูดค่อยเก่งน่ะ กลัวเธอจะอึดอัดซะอีก”
“ไม่เล้ย” บี๋ปฏิเสธเสียงหลงส่ายหัวเป็นพัลวัน “ไม่อึดอัดสักนิด”
ลีหัวเราะกับท่าทางของบี๋“ฉันก็ไม่ได้รำคาญอะไรอยากถาม หรือคุยอะไรก็ได้ ฉันพูดไม่เก่ง แต่เป็นผู้ฟังที่ดีนะ”
“เฮ้อ โล่งอก” บี๋ถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมเอามือทาบอก “เรานึกว่าที่ลีเงียบเพราะรำคาญเรา ไม่อยากคุยซะอีก”
ลีมองความเล่นใหญ่ของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกแปลก ตลก หรือน่าเอ็นดูกันแน่
“ถ้างั้นเราถามอะไรที่เราอยากรู้ก็ได้ใช่ป่ะ”
“ได้สิ” ลีพยักหน้าก่อนจะมองไปนอกหน้าต่าง
“ลี... มีแฟนยังอ่ะ”
ลีหันกลับมามองหน้าคนถามแม้จะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า แต่สายตากลับบ่งบอกถึงความคาดหวังในคำตอบที่ได้รับเขารู้ว่าถ้าคำตอบที่เขาให้ไป ไม่ใช่สิ่งที่คนตรงหน้าหวังไว้
“มีแล้วครับ” ต้องเจอกลับสายตาที่สั่นไหวแน่นอนเหมือนกับที่เขาได้เห็นอยู่ในตอนนี้
“เหรอ” บี๋ยิ้มตอบก่อนจะหันไปทางอื่น เพราะรู้ว่าตัวเองบังคับสีหน้าไม่ได้แน่นอน “โห น่าอิจฉาอ่ะ” พยายามบอกตัวเองว่าต้องยิ้มห้ามทำหน้าเศร้าต่อหน้าลีเด็ดขาด “คบกันนานแล้วหรือยัง”
“สัก... สามปีได้” ลีนึกไปด้วย
ถามเองก็เจ็บเองแต่ก็ยังฝืนยิ้มให้อีกฝ่ายอยู่ดี เฮ้อ ทำไมใจมันหน่วงงี้
“แต่…” บี๋เงยหน้ามอง เพราะดูเหมือนลีจะพูดอะไรต่อ “เปล่า ไม่มีไรหรอก” ลีมองบี๋ ก่อนจะส่งยิ้มให้
“อ่ะ ถึงป้ายที่ต้องลงแล้ว” ลีว่า ไม่นานรถก็ค่อยๆชะลอจอด “ไว้เจอกันที่โรงเรียนนะ”
บี๋พยักหน้ายิ้มก่อนจะโบกมือลาอีกฝ่าย พอพ้นหลังของลีไป บี๋ก็เริ่มฝืนยิ้มไม่ไหว
“ไม่น่าถามเลย” ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง "ไม่น่าอยากรู้เลย"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in