เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#kipuuNovelberkipuu_
04 : แกงเผ็ดเป็ดย่าง

  • ‘เพื่อนลากมากกินเป็ดย่างโฟร์ซีซั่น’ 
    ‘คิดถึงแกงเผ็ดเป็ดย่างที่เธอเคยทำให้กินเลยอะ’

    'รีบกลับมาสิ เดี๋ยวทำให้กิน'


    ,

    สิ่งแรกที่ผมได้ยินหลังจากออกมาจากห้องนอนคือเสียงจาม พอมองตรงไปที่ครัวก็เห็นเจ้าของเสียงกำลังเอามือถูจมูกฟุดฟิดแบบที่เดาได้ไม่ยากเลยว่าจามนี่ไม่ใช่เพราะว่ากำลังป่วยหรืออะไร แต่ฉุนกลิ่นเครื่องแกงที่เขาผัดอยู่ในกระทะ

    พอเดินเข้าไปใกล้ ผมก็โอบเอวแล้วก็เขย่งตัวขึ้นไปแตะริมฝีปากลงบนแก้มอีกคน พร้อมกับได้ยินเสียงทุ้มต่ำหัวเราะตามมา

    “นอนดึก ทำไมตื่นเช้าฮึ?”

    เพราะผมเพิ่งกลับมาจากประเทศอังกฤษเมื่อคืน กว่าจะถึงบ้านได้ เวลาก็ข้ามไปวันใหม่เรียบร้อยแล้ว งงตัวเองเหมือนกันว่าจะรีบตื่นมาทำไมตั้งแต่ 8 โมงเช้า ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันหยุด

    “หิวไง...ใครแกล้งเชฟอาหารญี่ปุ่นของเค้าเนี่ย?” 

    “สักคนที่เมินเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นสาขาต้นตำรับแล้วดันอยากกินแกงเผ็ดเป็ดอย่างแทน...” 

    เขาหันมาตอบจนผมต้องหัวเราะรับ หยิบมะเขือเทศราชินีที่ใช้สำหรับใส่ลงไปในแกงขึ้นมากินลูกนึง ก่อนจะเดินไปหน้าตู้เย็น เปิดแล้วหยิบกระป๋องน้ำอัดลมออกมา พร้อมกับที่ได้ยินเสียงกระแอมดังจากหน้าเตา 

    พอหันไปเห็นสายตาที่ส่งมา ผมก็เก็บสิ่งที่อยู่ในมือกลับเข้าไป หยิบเหยือกน้ำส้มคั้นออกมาแทน แล้วถามต่อ 

    “พอใจยัง?” 

    เขายิ้มรับแล้วหันกลับไปผัดเครื่องแกงที่อยู่ในกระทะ ส่วนผมดื่มน้ำส้มที่อีกฝ่ายคั้นไว้ให้ ก่อนจะกลับไปวุ่นวายเกาะไหล่อยู่หน้าเตาแล้วถาม

    “ใกล้ได้กินยัง?”

    “ใกล้แล้ว ไปตักข้าวเลย” 

    “โอเค”

    ผมรับคำ ตักข้าวใส่จานแล้วเอาไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะกลับมาดูอีกคนตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารไทยที่ตัวเองไม่ได้ถนัดแม้แต่น้อยแล้วก็เผลอยิ้มออกมา 

    ...นึกไปถึงวันแรกที่เราเจอกัน
    วันนั้นผมออกไปกินซูชิแบบ Omakase ที่เพื่อนจองคิวเอาไว้ล่วงหน้าตั้ง 1 เดือน 

    แล้วก็เพิ่งรู้ว่าไอ้การกินอาหารชื่อเรียกยากๆอันนี้เนี่ย มันคือการที่เราไม่สามารถเลือกได้เลยว่าจะกินอะไร เชฟจะเป็นคนเลือกเมนูทั้งหมด แถมยังมายืนทำให้ดูตรงหน้า พร้อมกับอธิบายเรื่องเมนูนี้ หรือวัตถุดิบที่ใช้ไปด้วยระหว่างทำ ตอนนั้นผมถามกลับไปว่า 

    “เลือกเมนูเองก็ไม่ได้แล้วยังต้องจ่ายแพงๆอีกเหรอ”

    ก็จริงนี่ ราคาที่ต้องจ่ายในวันนั้นน่าจะซื้อเป็ดย่างได้ทั้งฝูง

    เรานั่งกินซูชิกันแบบเหงาๆเพราะทั้งร้านมีแค่ 2 คน พร้อมกับก็ฟังเชฟพูดโน่นนี่ เรื่องความแน่นของเนื้อปลา ความสดของสี หรือแม้แต่หอยเม่นที่เลี้ยงให้โตมาอย่างออร์แกนิค แล้วก็พอจะรู้จากวิธีคุยว่าเพื่อนผมสนิทกับเชฟที่มายืนปั้นซูชิแล่ปลาให้เรากินพอสมควร 

    กินเสร็จ แบบยังไม่อิ่มด้วยซ้ำ พวกเราก็ต้องไปจ่ายเงิน รู้สึกเหมือนเป็นแขกระดับพรีเมี่ยมขึ้นมาทันทีที่เชฟมาส่งเราถึงหน้าร้าน พร้อมยื่นนามบัตรมาให้ 

    หลังจากออกจากร้านมาแล้วมผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่นระหว่างที่กำลังดูค่าเสียหายจากการกินมื้อเย็นพร้อมฟังบรรยายเรื่องหอยเม่นออร์แกนิค 

    “ที่ราคาแพงขนาดนี้เพราะหน้าตาคนทำด้วยปะ? สาบานเลย ฉันว่าเกินครึ่งของผู้หญิงที่มากินเนี่ย เพราะอยากเต๊าะเชฟ” 

    อีกฝ่ายดูดีจริงๆ ขาวตี๋อย่างคนเอเชียนี่แหละ แต่ก็มีอะไรดึงดูดมากพอจะทำให้ผมตั้งใจฟังเรื่องหอยเม่นออร์แกนิค แล้วก็ถามอะไรโน่นนี่กลับไปตั้งเยอะ ซึ่งก็มหัศจรรย์มากที่เชฟตอบทุกอย่างได้ราวกับรับจ็อบไปเลี้ยงหอยเม่นด้วยตัวเอง 

    “บ้าสิ เชฟเป็นเกย์เหอะ” 

    “ถามจริง...” 

    “โสดด้วยจ้า”

    ระหว่างที่พูดอยู่นี่เพื่อนผมก็กดปลดล็อครถแล้วเปิดประตู ส่วนผมก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งนึง ในขณะที่มือก็พลิกนามบัตรที่ได้มาเพื่อดูแบบไม่คิดอะไร แต่ดันเจอตัวหนังสือเขียนไว้ที่ด้านหลัง

    ‘Surreal, but nice’ 

    คืออะไร? 

    ผมรีบเก็บนามบัตรใส่กระเป๋าพร้อมกับความสงสัยแล้วกลับมานั่งเสิร์ชกูเกิ้ลด้วยมือถือที่คอนโด ก่อนจะพบว่ามันเป็นประโยคนึงในหนังฝรั่งยอดฮิตตลอดกาล 

    นี่คือหลอกด่าว่าเรื่องเยอะหรือว่าจะจีบกันแน่? 


    อันที่จริงเพื่อนผมกับเชฟเป็นเพื่อนกัน 

    เพราะอาชีพลูกเรือ หรือสจ๊วตกับแอร์โอสเตสของเราสองคน มันทำให้เพื่อนผมสามารถให้คำแนะนำกับเขาเรื่องการจัดส่งวัตถุดิบจากต่างประเทศได้ ที่จองคิวแค่ 1 เดือนก็ได้กินแล้วนั่นก็กรณีพิเศษ​ เพราะปกติเค้าจองกันเป็นสามสี่เดือน แถมราคาที่เราจ่ายก็ลดไปตั้ง 30% ... นั่นขนาดลดราคาแล้วนะเนี่ย? 

    ผมเจอกับเขาอีกครั้งหลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน ในงานวันเกิดของเพื่อนผม เพราะรายนั้นชวนคนที่ผมไม่รู้จักมาเยอะแยะไปหมด เราเลยได้คุยกัน แลกเบอร์ แลกไลน์ แล้วก็เริ่มสานความสัมพันธ์ 

    ใครๆก็บอกว่าผมเป็นคนเรื่องมากกับอาหาร ไม่รู้สิ... แต่ถ้ากินอะไรเข้าไปแล้วไม่อร่อย มันก็เป็นปกติไม่ใช่เหรอ ที่จะไม่อยากกินต่อ เพราะฉะนั้นเพื่อนผมเลยดีใจจนเกินเหตุตอนที่รู้ว่าเราคบกัน แถมยังบอกทิ้งท้ายว่า นิสัยอย่างผมเนี่ย ถ้าปล่อยให้ชีชีวิตด้วยตัวเองจะต้องเลือกกินจนอดตายเข้าสักวัน 

    ถามจริง?
    ถ้าจะเลือกกินจนปล่อยให้ตัวเองอดตายก็แย่แล้ว...

    วันนั้นแกงเผ็ดเป็ดย่างกับไข่เจียวนุ่มๆฝีมือเชฟอาหารญี่ปุ่นทำให้ผมกินข้าวได้ 2 จานแบบที่พ่อแม่มาเห็นคงอยากร้องไห้ 

    กินเสร็จ เก็บล้างทุกอย่างเราก็ใช้เวลาในวันหยุดกันอยู่ที่บ้าน เขาเอนตัวอยู่บนโซฟาดูซีรี่ส์เกาหลีเกี่ยวกับความรักกุ๊กกิ๊กแบบที่ไม่เข้ากับเจ้าตัวสักนิด ส่วนผมนั่งอยู่ข้างๆ ดูซีรี่ส์บ้าง เล่นโทรศัพท์มือถือบ้าง ระหว่างนั้น สายตาก็ไปสะดุดกับรูปภาพรูปนึงที่ถูกโพสไว้ใน Pinterest 

    Ways to my heart: 
    1.Buy me food 
    2. Make me food 
    3. Be food 

    เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนที่นั่งไหล่เกยกันอยู่นี่ 

    Buy me food คงเป็นตอนที่อีกฝ่ายซื้ออะไรมาให้แล้วผมก็เอาแต่บ่นว่าไม่อร่อยสักอย่าง 
    Make me food คงเป็นตอนที่คนเป็นเชฟอาหารญี่ปุ่นเลิกคิดจะซื้ออาหารมาให้ผม แล้วเริ่มลงมือหัดตำเครื่องแกงแบบไทยด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าสิ่งที่ผมชอบที่สุดคืออาหารไทย โดยเฉพาะอาหารรสจัด
    ส่วนข้อสุดท้าย... 

    ผมพลิกตัว หันไปเห็นต้นคอขาวๆอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตัดสินใจอ้าปากงับเข้าให้ คนโดนกัดร้องทันทีเพราะถูกขัดจังหวะดูซีรี่ส์แล้วหันมาถาม

    “เฮ้ย เป็นอะไร?” 

    “เปล่า...”

    ผมตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ แล้วคิดต่อในใจ 

    แค่นี้ก็ครบสามข้อแล้ว
    ‘Be food’ 




    end




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in