‘เพื่อนลากมากกินเป็ดย่างโฟร์ซีซั่น’
‘คิดถึงแกงเผ็ดเป็ดย่างที่เธอเคยทำให้กินเลยอะ’
'รีบกลับมาสิ เดี๋ยวทำให้กิน'
,
สิ่งแรกที่ผมได้ยินหลังจากออกมาจากห้องนอนคือเสียงจาม พอมองตรงไปที่ครัวก็เห็นเจ้าของเสียงกำลังเอามือถูจมูกฟุดฟิดแบบที่เดาได้ไม่ยากเลยว่าจามนี่ไม่ใช่เพราะว่ากำลังป่วยหรืออะไร แต่ฉุนกลิ่นเครื่องแกงที่เขาผัดอยู่ในกระทะ
พอเดินเข้าไปใกล้ ผมก็โอบเอวแล้วก็เขย่งตัวขึ้นไปแตะริมฝีปากลงบนแก้มอีกคน พร้อมกับได้ยินเสียงทุ้มต่ำหัวเราะตามมา
“นอนดึก ทำไมตื่นเช้าฮึ?”
เพราะผมเพิ่งกลับมาจากประเทศอังกฤษเมื่อคืน กว่าจะถึงบ้านได้ เวลาก็ข้ามไปวันใหม่เรียบร้อยแล้ว งงตัวเองเหมือนกันว่าจะรีบตื่นมาทำไมตั้งแต่ 8 โมงเช้า ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันหยุด
“หิวไง...ใครแกล้งเชฟอาหารญี่ปุ่นของเค้าเนี่ย?”
“สักคนที่เมินเป็ดย่างโฟร์ซีซั่นสาขาต้นตำรับแล้วดันอยากกินแกงเผ็ดเป็ดอย่างแทน...”
เขาหันมาตอบจนผมต้องหัวเราะรับ หยิบมะเขือเทศราชินีที่ใช้สำหรับใส่ลงไปในแกงขึ้นมากินลูกนึง ก่อนจะเดินไปหน้าตู้เย็น เปิดแล้วหยิบกระป๋องน้ำอัดลมออกมา พร้อมกับที่ได้ยินเสียงกระแอมดังจากหน้าเตา
พอหันไปเห็นสายตาที่ส่งมา ผมก็เก็บสิ่งที่อยู่ในมือกลับเข้าไป หยิบเหยือกน้ำส้มคั้นออกมาแทน แล้วถามต่อ
“พอใจยัง?”
เขายิ้มรับแล้วหันกลับไปผัดเครื่องแกงที่อยู่ในกระทะ ส่วนผมดื่มน้ำส้มที่อีกฝ่ายคั้นไว้ให้ ก่อนจะกลับไปวุ่นวายเกาะไหล่อยู่หน้าเตาแล้วถาม
“ใกล้ได้กินยัง?”
“ใกล้แล้ว ไปตักข้าวเลย”
“โอเค”
ผมรับคำ ตักข้าวใส่จานแล้วเอาไปวางบนโต๊ะ ก่อนจะกลับมาดูอีกคนตั้งหน้าตั้งตาทำอาหารไทยที่ตัวเองไม่ได้ถนัดแม้แต่น้อยแล้วก็เผลอยิ้มออกมา
...นึกไปถึงวันแรกที่เราเจอกัน
วันนั้นผมออกไปกินซูชิแบบ Omakase ที่เพื่อนจองคิวเอาไว้ล่วงหน้าตั้ง 1 เดือน
แล้วก็เพิ่งรู้ว่าไอ้การกินอาหารชื่อเรียกยากๆอันนี้เนี่ย มันคือการที่เราไม่สามารถเลือกได้เลยว่าจะกินอะไร เชฟจะเป็นคนเลือกเมนูทั้งหมด แถมยังมายืนทำให้ดูตรงหน้า พร้อมกับอธิบายเรื่องเมนูนี้ หรือวัตถุดิบที่ใช้ไปด้วยระหว่างทำ ตอนนั้นผมถามกลับไปว่า
“เลือกเมนูเองก็ไม่ได้แล้วยังต้องจ่ายแพงๆอีกเหรอ”
ก็จริงนี่ ราคาที่ต้องจ่ายในวันนั้นน่าจะซื้อเป็ดย่างได้ทั้งฝูง
เรานั่งกินซูชิกันแบบเหงาๆเพราะทั้งร้านมีแค่ 2 คน พร้อมกับก็ฟังเชฟพูดโน่นนี่ เรื่องความแน่นของเนื้อปลา ความสดของสี หรือแม้แต่หอยเม่นที่เลี้ยงให้โตมาอย่างออร์แกนิค แล้วก็พอจะรู้จากวิธีคุยว่าเพื่อนผมสนิทกับเชฟที่มายืนปั้นซูชิแล่ปลาให้เรากินพอสมควร
กินเสร็จ แบบยังไม่อิ่มด้วยซ้ำ พวกเราก็ต้องไปจ่ายเงิน รู้สึกเหมือนเป็นแขกระดับพรีเมี่ยมขึ้นมาทันทีที่เชฟมาส่งเราถึงหน้าร้าน พร้อมยื่นนามบัตรมาให้
หลังจากออกจากร้านมาแล้วมผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่นระหว่างที่กำลังดูค่าเสียหายจากการกินมื้อเย็นพร้อมฟังบรรยายเรื่องหอยเม่นออร์แกนิค
“ที่ราคาแพงขนาดนี้เพราะหน้าตาคนทำด้วยปะ? สาบานเลย ฉันว่าเกินครึ่งของผู้หญิงที่มากินเนี่ย เพราะอยากเต๊าะเชฟ”
อีกฝ่ายดูดีจริงๆ ขาวตี๋อย่างคนเอเชียนี่แหละ แต่ก็มีอะไรดึงดูดมากพอจะทำให้ผมตั้งใจฟังเรื่องหอยเม่นออร์แกนิค แล้วก็ถามอะไรโน่นนี่กลับไปตั้งเยอะ ซึ่งก็มหัศจรรย์มากที่เชฟตอบทุกอย่างได้ราวกับรับจ็อบไปเลี้ยงหอยเม่นด้วยตัวเอง
“บ้าสิ เชฟเป็นเกย์เหอะ”
“ถามจริง...”
“โสดด้วยจ้า”
ระหว่างที่พูดอยู่นี่เพื่อนผมก็กดปลดล็อครถแล้วเปิดประตู ส่วนผมก็เดินอ้อมไปอีกฝั่งนึง ในขณะที่มือก็พลิกนามบัตรที่ได้มาเพื่อดูแบบไม่คิดอะไร แต่ดันเจอตัวหนังสือเขียนไว้ที่ด้านหลัง
‘Surreal, but nice’
คืออะไร?
ผมรีบเก็บนามบัตรใส่กระเป๋าพร้อมกับความสงสัยแล้วกลับมานั่งเสิร์ชกูเกิ้ลด้วยมือถือที่คอนโด ก่อนจะพบว่ามันเป็นประโยคนึงในหนังฝรั่งยอดฮิตตลอดกาล
นี่คือหลอกด่าว่าเรื่องเยอะหรือว่าจะจีบกันแน่?
,
อันที่จริงเพื่อนผมกับเชฟเป็นเพื่อนกัน
เพราะอาชีพลูกเรือ หรือสจ๊วตกับแอร์โอสเตสของเราสองคน มันทำให้เพื่อนผมสามารถให้คำแนะนำกับเขาเรื่องการจัดส่งวัตถุดิบจากต่างประเทศได้ ที่จองคิวแค่ 1 เดือนก็ได้กินแล้วนั่นก็กรณีพิเศษ เพราะปกติเค้าจองกันเป็นสามสี่เดือน แถมราคาที่เราจ่ายก็ลดไปตั้ง 30% ... นั่นขนาดลดราคาแล้วนะเนี่ย?
ผมเจอกับเขาอีกครั้งหลังจากนั้นประมาณ 3 เดือน ในงานวันเกิดของเพื่อนผม เพราะรายนั้นชวนคนที่ผมไม่รู้จักมาเยอะแยะไปหมด เราเลยได้คุยกัน แลกเบอร์ แลกไลน์ แล้วก็เริ่มสานความสัมพันธ์
ใครๆก็บอกว่าผมเป็นคนเรื่องมากกับอาหาร ไม่รู้สิ... แต่ถ้ากินอะไรเข้าไปแล้วไม่อร่อย มันก็เป็นปกติไม่ใช่เหรอ ที่จะไม่อยากกินต่อ เพราะฉะนั้นเพื่อนผมเลยดีใจจนเกินเหตุตอนที่รู้ว่าเราคบกัน แถมยังบอกทิ้งท้ายว่า นิสัยอย่างผมเนี่ย ถ้าปล่อยให้ชีชีวิตด้วยตัวเองจะต้องเลือกกินจนอดตายเข้าสักวัน
ถามจริง?
ถ้าจะเลือกกินจนปล่อยให้ตัวเองอดตายก็แย่แล้ว...
วันนั้นแกงเผ็ดเป็ดย่างกับไข่เจียวนุ่มๆฝีมือเชฟอาหารญี่ปุ่นทำให้ผมกินข้าวได้ 2 จานแบบที่พ่อแม่มาเห็นคงอยากร้องไห้
กินเสร็จ เก็บล้างทุกอย่างเราก็ใช้เวลาในวันหยุดกันอยู่ที่บ้าน เขาเอนตัวอยู่บนโซฟาดูซีรี่ส์เกาหลีเกี่ยวกับความรักกุ๊กกิ๊กแบบที่ไม่เข้ากับเจ้าตัวสักนิด ส่วนผมนั่งอยู่ข้างๆ ดูซีรี่ส์บ้าง เล่นโทรศัพท์มือถือบ้าง ระหว่างนั้น สายตาก็ไปสะดุดกับรูปภาพรูปนึงที่ถูกโพสไว้ใน Pinterest
Ways to my heart:
1.Buy me food
2. Make me food
3. Be food
เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนที่นั่งไหล่เกยกันอยู่นี่
Buy me food คงเป็นตอนที่อีกฝ่ายซื้ออะไรมาให้แล้วผมก็เอาแต่บ่นว่าไม่อร่อยสักอย่าง
Make me food คงเป็นตอนที่คนเป็นเชฟอาหารญี่ปุ่นเลิกคิดจะซื้ออาหารมาให้ผม แล้วเริ่มลงมือหัดตำเครื่องแกงแบบไทยด้วยตัวเอง เพราะรู้ว่าสิ่งที่ผมชอบที่สุดคืออาหารไทย โดยเฉพาะอาหารรสจัด
ส่วนข้อสุดท้าย...
ผมพลิกตัว หันไปเห็นต้นคอขาวๆอยู่ตรงหน้าแล้วก็ตัดสินใจอ้าปากงับเข้าให้ คนโดนกัดร้องทันทีเพราะถูกขัดจังหวะดูซีรี่ส์แล้วหันมาถาม
“เฮ้ย เป็นอะไร?”
“เปล่า...”
ผมตอบกลับพร้อมเสียงหัวเราะ แล้วคิดต่อในใจ
แค่นี้ก็ครบสามข้อแล้ว
‘Be food’
end
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in