เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#kipuuNovelberkipuu_
03 : SWEET
  • “อืม กินข้าวเย็นอยู่ที่หอเนี่ย 

    “...”

    “เฮียอะ เลิกงานยัง?”

    “...”

    “โอเค พักผ่อนเยอะๆนะ บ๊ายบาย” 


    ,


    “พี่กับแฟนคุยกันโคตรไม่เหมือนแฟนเลย” 

    นั่นคือสิ่งที่น้องคนนึงทักขึ้นมาหลังจากผมคุยโทรศัพท์กับเฮียเสร็จ ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปมองคนพูด เลิกคิ้วใส่ แล้วถามกลับ

    “เหรอ?” 

    คำถามนี้ส่งไปถึงเพื่อนสนิทที่ยังคงนั่งกินมื้อเย็นร่วมกับพวกผมอยู่ด้วย พอเห็นเพื่อนพยักหน้ารับ ผมก็ต้องกลับมาทบทวนตัวเอง... เป็นงั้นจริงดิ?

    ตอนนี้ผมเรียนแฟชั่นดีไซน์อยู่ที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งก็เข้าปีที่ 2 แล้ว อีก 3 เดือนเราก็จะจบหลักสูตรทั้งหมดและได้กลับไทยสักที ซึ่งกว่าจะกลับได้ก็ต้องส่งโปรเจ็คจบและสอบให้ผ่านซะก่อน 

    คราวนี้กลับมาที่เรื่องเฮีย...
    เราคุยกันไม่เหมือนแฟนจริงดิ? แล้วถ้าจะให้เหมือนแฟนต้องคุยยังไง?
    คบกันมาตั้งสามปี ก็คุยอย่างนี้มาตลอด แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแปลกอะไร...

    “ฉันคุยกับเฮียไม่เหมือนแฟนตรงไหนอะ?

    คราวนี้เพื่อนผมวางช้อนในมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมาตอบจริงจัง

    “ก็แทบทุกตรง”

    “จริงดิ?”

    “เออ... ก็ดูไม่ค่อยสวีตกันอะไรประมาณนั้น แต่ฉันก็ไม่แปลกใจแบบน้องมันนะ ชินแล้วมั้ง”

    “แต่ก็สวีตอยู่นะ” 

    “จริงดิ ตอนไหนวะ? ฉันได้ยินแกคุยกับเฮียบ่อยๆก็อือๆ เออๆ นอนแล้วนะ ทำงานแล้วนะ แล้วก็วาง แค่นั้นตลอด”

    พอได้ยินอย่างนั้น รุ่นน้องผู้ชายอีกคนที่แชร์บ้านพักกับพวกผมก็พยักหน้ารับแรงๆ แบบเห็นด้วยสุดๆ

    “ก็อย่างเช่นเมื่อวานซืน” 

    “หืม...? ยังไง ไหนว่ามาดิ๊”

    “ก็...ฉันเตือนให้เฮียพาคุณนายไปฉีดวัคซีนประจำปี แล้วก็ให้ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าด้วย เห็นข่าวว่ามันระบาดอยู่ในไทย” 

    “โห...​เปิดมาก็ไม่ใช่แล้ว! อะไรคือสวีตด้วยการคุยเรื่องพิษสุนัขบ้า!”

    “ฟังก่อนดิอย่าเพิ่งขัด!” 




    วันนั้นผมนั่นทำงานอยู่ในห้องนอน แล้วก็เป็นวันหยุดของเฮียพอดี เราก็เลยวีดีโอคอลคุยกัน อันที่จริงก็เหมือนไม่ได้คุยอะไรหรอก ผมก็ทำงานของผม ส่วนเฮียก็ทำงานของเฮีย โดยมียัยอ้วนกระโดดขึ้นมากวนบนโต๊ะอยู่เรื่อยๆ

    สักพักผมก็นึกขึ้นมาได้ตอนเห็นคุณนายเดินเข้ากล้องมาอีกรอบ ว่าคุณเธอใกล้จะครบกำหนดฉีดวัคซีนประจำปีอีกแล้ว เลยเตือนซะหน่อย

    “เฮีย ช่วงนี้ที่ไทยโรคพิษสุนัขบ้ามันระบาดอยู่เหรอ?”

    “อืม...เห็นข่าวอยู่เหมือนกัน”

    “งั้นก็อย่าลืมพาที่รักเฮียไปกระตุ้นวัคซีนประจำปีนะ ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าไปด้วยก็ได้”

    “ใคร...​มึงเหรอ?” 

    คนพูดตอบกลับแล้วหันมาสบตาผมในกล้องพร้อมส่งยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วให้
    ส่วนผมกำลังไม่แน่ใจว่าต้องทำยังไงดี? 

    โวยวายที่อีกฝ่ายจะจับผมไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า 
    หรือเขินที่โดนจัดไปอยู่ในสิ่งมีชีวิตประเภท ‘ที่รัก’ 

    “คุณนายมั้ยล่ะ!” 

    ผมตอบกลับไปอย่างนั้นพร้อมรอยยิ้ม ส่วนอีกคนก็หลุดขำออกมานิดหน่อยแล้วรับคำ 

    “เออ เดี๋ยววันหยุดอาทิตย์หน้าพาไป”

    “เอารถเราไปเลยนะ อย่าให้ยัยอ้วนนั่งมอเตอร์ไซค์อีกล่ะ!” 

    “ไม่เห็นเป็นไรเลย นั่งมอ’ไซสนุกจะตายเนอะคุณนาย”

    สิ่งที่ผมเห็นคือแมวอ้วนกับหน้าบึ้งสนิท ไม่มีตรงไหนที่ใกล้เคียงคำว่า ‘สนุก’ ด้วยซ้ำ 

    ตอนที่ต้องมาเรียนที่นี่และตัดสินใจฝากคุณนายไว้กับเฮีย ผมไว้ใจว่าอีกฝ่ายจะต้องดูแลคุณนายได้อยู่แล้ว แต่ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องกังวลเป็นสิบๆเรื่องเพราะเฮียไม่เคยเลี้ยงแมวเป็นจริงเป็นจังมาก่อน 

    แต่ในความกังวลที่มีเป็นสิบๆเรื่องนั้น... ก็ไม่มีสักเรื่องที่ผมจะคิดไปถึงว่าเฮียจะพาคุณนายนั่งรถมอเตอร์ไซค์ 

    และเรื่องนั้นก็เป็นเรื่องแรกที่เกิดขึ้นหลังจากผมมาถึงญี่ปุ่นได้ไม่เกิน 1 สัปดาห์ เฮียซื้อกระเป๋าเป้ซึ่งมีที่ครอบใสๆเหมือนหมวกนักบินอวกาศสำหรับใส่แมวมาจากในเน็ต ซื้อมาปุ๊บก็จับคุณนายใส่กระเป๋าพาขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปแว๊นด้วยกันทันที แถมยังมีหน้าถ่ายรูปมาอวดกันอีก 

    และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเลยว่า ควรจะหาโอกาสกลับไทยให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
    ก่อนที่เฮียจะพาคุณนายไปต่อยมวยหรือเล่นเวทด้วยกันที่ยิม...

    ,


    “นี่คือสวีตแล้ว?” 

    รุ่นน้องที่นั่งอยู่ถามขึ้นมาด้วยเสียงสูงผิดปกติ ส่วนผมก็พยักหน้ารับ 
    ทำไมอะ? ไม่สวีตตรงไหน? 

    “แฟนพี่จะพาพี่ไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าเนี่ยนะ?” 

    “แต่มองอีกมุมเค้าก็เรียกพี่ว่าที่รักไง”

    “แน่ใจเหรอพี่? เค้าไม่ได้แอบด่าว่าพี่เป็นบ้าใช่ปะ?”

    คราวนี้เพื่อนผมหลุดขำ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร... 
    ได้ยินอย่างนั้นผมก็นิ่งไปพักนึง คิดทบทวนถึงบทสนทนาในวันนั้นอีกครั้ง 

    เฮ้ย! หรือเฮียจะหลอกด่าว่าผมบ้าจริงๆ! 


    END 




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in