หมอ : ครั้งนี้อาจารย์หมอบอกว่าต้องช๊อตไฟฟ้านะคะ
ฉัน : !! ทำไมล่ะคะ เมื่อก่อนฉันเคยช๊อตไปแล้ว 12 ครั้ง ไม่เห็นจะมีผลดีอะไรเลย แถมความทรงจำก็หายไปอีกต่างหาก
ฉันนึกไปถึงหนังเรื่อง Avenger End Game ที่ฉันอาจจะเคยดูในโรง แต่ความทรงจำเกี่ยวกับมันแทบจะไม่มีเลย
หมอ : ยังไงก็ลองก่อนนะ หมอประชุมกับทีมแล้ว ได้ข้อสรุปมาอย่างนี้จริงๆ
ฉันพยักหน้าน้ำตาร่วงเผาะลงบนพื้น หมอกุลีกุจอหยิบกระดาษทิชชู่ให้ฉัน อีกสองวันต่อมาฉันก็ต้องนั่งรถเข็นจากวอร์ดจิตเวชภายในไปช๊อตไฟฟ้าที่วอร์ดจิตเวชภายนอก เข็มที่เปิดเส้นบนมือของฉันสั่นไหวตามจังหวะล้อรถเข็น ฉันเลือกไปช๊อตไฟฟ้าคนสุดท้าย สิ่งเดียวที่ดีที่สุดสำหรับวันนั้นคือหมอ J เป็นคนช๊อตไฟฟ้าให้ฉัน
หมอ J : ขอเช็ดเย็นๆหน่อยนะครับ
ฉันรู้สึกถึงสำลีชุบน้ำเกลือเย็นๆถูกเช็ดที่หน้าผากและหลังใบหูทั้งสองข้าง จากนั้นจึงติดอุปกรณ์ช๊อตไฟฟ้าเข้าไป
หมอ : หายใจเข้าลึกๆนะคะ
วิสัญญีแพทย์เอายาสลบมาจ่อที่จมูกฉัน แต่ครั้งนี้ใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะหลับ ฉันเพิ่งมารู้ทีหลังว่าก่อนจะหลับฉันได้คุยกับหมอ J ด้วย แต่จำไม่ได้เสียแล้วว่าคุยอะไรกัน
หลังจากกลับเข้ามาในวอร์ดผู้ป่วยในฉันรีบวิ่งไปหาหมอหัวหน้าวอร์ดแล้วโวยวายเรื่องที่ฉันสูญเสียความทรงจำ น้ำตา น้ำเสียง และท่าทางของฉันมันใช้ได้ผล ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ยังถูกช๊อตไฟฟ้าอยู่ดี เพียงแต่อีก 4 ครั้งต่อมาฉันถูกช๊อตไฟฟ้าแค่สมองข้างขวาข้างเดียว ทำให้ไม่มีผลอะไรกับสมองส่วนความทรงจำ ถึงอย่างนั้นฉันก็เกลียดการช๊อตไฟฟ้ามาก สิ่งเดียวที่ทำให้ฉันยังกระตือรือร้นไปช๊อตไฟฟ้าบนวิร์ดผู้ป่วยนอกคือ ฉันอาจได้เจอหมอ J ไม่วันใดก็วันหนึ่ง นั่นคือความสุขเล็กๆของฉัน
การเข้าวอร์ดครั้งนี้ของฉันสนุกแตกต่างออกไปจากครั้งก่อนๆมาก ฉันมีเพื่อนที่คอยเข้าใจกัน พูดคุยกัน เล่นด้วยกัน และบางครั้งถึงขั้นแอบเอาโลหะมากรีดแขนด้วยกันก็มี วันหนึ่งในวันที่อากาศร้อนเพื่อนคนหนึ่งของฉันกำลังต่อเลโก้เป็นรูปปราสาทดิสนีย์ ส่วนอีกสองคนกำลังต่อเป็นรูปตัวการ์ตูนที่ชอบ ฉันจึงขอซื้อเลโก้ที่ยังไม่ได้ต่อมานั่งต่อด้วยกัน ตั้งแต่นั้นมากิจวัตรประจำวันของพวกเราคือการตื่นเช้ามาต่อเลโก้ กินข้าวเช้า ต่อเลโก้ กินข้าวกลางวัน ต่อเลโก้ กินข้าวเย็น อาบน้ำ ใช้มือถือ ต่อเลโก้ และเข้านอน บางวันที่หัวหน้าพยาบาลไม่อยู่เช่นวันเสาร์-อาทิตย์พวกเราก็หันเก้าอี้ยาวริมระเบียงออกไปทางด้านสวนสวยนอกกระจกหนาและนั่งต่อเลโก้กันท่ามกลางสีเขียวของธรรมชาติตรงหน้า เปิดเพลงที่ชอบฟังไปเรื่อยๆ เลโก้ที่ฉันต่อเป็นตัวแรกคือทอมแอนด์เจอร์รี่ โดยฉันเก็บเจ้าตัวเจอร์รี่ไว้กับตัวและฝากพี่หมอหัวหน้าวอร์ดให้เอาตัวทอมไปให้หมอ J โดยแนบจดหมายน้อยไปด้วย มันเป็นความโรคจิตของฉันเองที่คิดว่าแค่นี้เราสองคนก็มีอะไร.ักอย่างเชื่อมโยงกันและกันแล้ว ทั้งๆที่หมอ J อาจจะโยนเจ้าทอมทิ้งไปก็ได้ หลายวันต่อมาฉันสั่งซื้อเลโก้รูปมิกกี้และมินนี่มาต่อ แน่นอนว่าตัวมิกกี้ฉันจะมอบให้หมอ J ส่วนตัวมินนี่ฉันจะเก็บเอาไว้เอง ฉันตั้งใจต่อตัวมิกกี้และเอาใส่ถุงหูหิ้วขึ้นไปบนวอร์ดผู้ป่วยนอกในวันที่ต้องไปช๊อตไฟฟ้า วันนั้นฉันไม่เห็นหมอ J เดินผ่านไปมาเลย แต่ก่อนที่เตียงที่ฉันนอนจะถูกเข็นเข้าไปในห้องช๊อตไฟฟ้า ฉันก็เห็นด้านหลังของหมอ J อยู่ไกลๆ ฉันหยุดพนักงานเข็นเตียงไม่ทัน
พยาบาล : อ้าว ตื่นแล้วหรอ อย่าเพิ่งเอาเครื่องช่วยหายใจออกนะ
ฉันปลดเครื่องช่วยหายใจออกจากหน้าและร้องไห้ออกมาสุดเสียง
ฉัน : ฉันต้องไปหาหมอ
ฉันพูดวนๆซ้ำๆอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย ถึงอย่างนั้นฉันก็ไปหาหมอ J ไม่ได้อย่างที่หวังเพราะห้องมันหมุนเคว้งคว้างไปเสียหมด ฤทธิ์ยาสลบยังคงอยู่ วันนั้นพยาบาลต้องมาช่วยกันปลอบฉันและขันอาสาจะเอามิกกี้ไปให้หมอ J แทนฉัน ทุกครั้งที่ไปแผนกผู้ป่วยนอกเพื่อช๊อตไฟฟ้าฉันมักจะเห็นหมอ J เดินไปมาผ่านหน้าห้องไปบ้าง เข้ามาคุยกับพยาบาลบ้าง ตามแต่โอกาสจะอำนวย
หมอ : พรุ่งนี้คุณกลับบ้านได้แล้วนะครับ
ฉัน : จริงหรอคะหมอ
ฉันถามด้วยความแปลกใจ เมื่อฉันช๊อตไฟฟ้าครบ 6 ครั้ง หมอก็บอกให้ฉันออกจากวอร์ดได้เพื่อเคลียเตียงให้คนไข้คนอื่นเข้ามารักษาตัวต่อ แต่ฉันยังต้องทำเคตามีนต่อจากนั้นอีก 6 ครั้งในฐานะผู้ป่วยนอก
ฉัน : หมอคะ ในโลกนี้มันมียาที่กินเพื่อลดสารโดพามีนในสมองมั้ยคะ (สารโดพามีน คือสารแห่งความสุขที่หลั่งออกมาเมื่อเราชอบหรือพอใจอะไรซักอย่างหนึ่ง)
หมอ R : มันก็มีนะคุณ แต่คุณจะกินไปทำไม
ฉัน : ฉันชอบผู้ชายอยู่คนหนึ่งค่ะ แต่มันเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่อยากคิดถึงเค้าคนนั้นอีกแล้วค่ะ
หมอ R : โห ถ้ามียาวิเศษขนาดนั้นคนทั้งโลกก็ไม่อกหักแล้ว
หมอลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียงให้ยาเคตามีนไปนั่งที่หน้าคอมฯและพิมพ์อะไรบางอย่างดังต๊อกแต๊กๆ
หมอ R : ที่จริงยาที่คุณกินอยู่ก็มีฤทธิ์ลดโดพามีนอยู่นิดหน่อยนะ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าต่อให้ลดสารโดพามีนในหัวสมอง แต่ใจฉันก็ยังรักและคิดถึงเขาอยู่ดี
หมอ R : คนที่คุณชอบนี่คือหมอ J ใช่มั้ย?
ฉัน : ไม่รู้ค่ะ
หมอ R : ถ้างั้นก็ใช่ เพราะไม่งั้นคุณคงปฏิเสธไปแล้ว
ปรากฏว่าเรื่องความในใจของฉันอาจจะไม่ได้อยู่เพียงแค่ในใจอีกต่อไป หมอทั้งชั้นปีคงรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว
เพื่อน : มึงยังเพ้อหาหมอไม่หยุดอีกเหรอวะ
เพื่อนของฉันทักขึ้นมาหลังจากเห็น IG Story ของฉัน ซึ่งฉันมักลงรูปหรือข้อความชวนอ้วกไปด้วยความรักและความคิดถึง
เพื่อน : มึงกำลังทำให้เค้าผิดจรรยาบรรณแพทย์อยู่นะเว่ย
น้ำตาเอ่อล้นจนกลบตาและไหลลงมาเงียบๆเบาๆ ฉันรู้ดีเรื่องจรรยาบรรณแพทย์ ฉันรู้ว่าความรักของฉันมันเป็นไปไม่ได้ ยังไงเสียหมอก็ไม่ได้ตอบรับความรักของฉัน ถึงแม้จะตอบรับหมอก็เป็นฝ่ายทำผิดจรรยาบรรณแพทย์อยู่ดี และอาจถูกยึดใบ Doctor Certificate ไปแล้วประกอบอาชีพไม่ได้ ฉันรู้ดีว่าเพ้อเท่าไหร่ความรักนี้มันก็ถูกทิ้งให้หยากใย่ขึ้นเหมือนบ้านร้าง ถึงอย่างนั้นขอฉันจินตนาการในโลกของฉันต่อไปเถอะ หลังจากคิดอย่างนั้นฉันก็กด Hide เพื่อนสนิทของฉันไปจาก IG Story ทันที
อย่างน้อย...
เราก็เคยเป็น "กาลครั้งหนึ่ง"
ของกันและกัน
กาลครั้งนั้น เป็นช่วงหนึ่งที่ดีที่สุด
ช่วงเวลาที่แสนดี
ช่วงเวลาที่อบอุ่น
ช่วงเวลาที่สุขใจ
ช่วงเวลาที่มีความสุข
การคบกันมันมีปัจจัยหลายๆอย่าง
มากกว่า "ความรัก"
เป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมจำนน
บางความสัมพันธ์คงต้อง"ยอมรับ"
ถ้าเรื่องราวอาจจะไม่ได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
เหมือนเจ้าชายเจ้าหญิงในนิยาย
ต่างคนต่างมีเรื่องราวนิทานชีวิตของตัวเอง
ถึงมันจะผ่านไปแล้ว
ถึงจะย้อนเวลากลับไปไม่ได้แล้วก็ตาม
ไม่รู้ว่าการจากกันในครั้งนั้น
เราจะได้เจอกันอีกไหม
แต่ไม่ว่าจะนานแค่ไหน
สถานะนั้น จนตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
สถานะ : กาลครั้งหนึ่งของกันและกัน
- ดัดแปลงจาก กาลครั้งหนึ่งแค่คิดถึงอยู่ในใจ -
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in