เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
กักขังตัวเอง
  • ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ฉันตื่นขึ้นมาเวลาประมาณเกือบ 9 โมงเช้าของอีกวันพร้อมอาการสะลึมสะลือฉันตัดสินใจโทรไปลางานอีกสักวันก่อนโทรไปหาแม่

                “ม้า...ลูกกินยาเกินขนาดเข้าไป”แม่ทำน้ำเสียงลุกลี้ลุกลนพูดแทบไม่เป็นศัพท์ก่อนวางสายไปและโทรหาลูกพี่ลูกน้องของฉันให้มารับฉันไปห้องฉุกเฉินทันที

                แต่คราวนี้มันไม่ได้รวดเร็วฉุกเฉินเหมือนครั้งที่ฉันกินยาฆ่าแมลงการไปห้องฉุกเฉินครั้งนี้ก็แค่แต่งตัวเดินสะลึมสะลือออกไปหน้าคอนโดให้พี่ยามเรียกแท็กซี่ให้ไปโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งที่ฉันไปหาหมอเป็นประจำเพราะที่นั่นมีทั้งห้องฉุกเฉินจิตเวชและห้องฉุกเฉินทั่วไปฉันไม่แน่ใจว่าวันนั้นฉันถูกพาเข้าไปในห้องฉุกเฉินแบบไหน

                “น้องกินยาหมดนี่เลยเหรอ”พนักงานที่อยู่หน้าห้องฉุกเฉินถามขึ้น

                “ค่ะไอ้กล่องนั้นความจริงแล้วสามกล่องส่วนกล่องเล็กๆมันคือหนึ่งกล่องกับอีกหนึ่งแผงค่ะ” ฉันตอบแบบงัวเงียงัวเงีย

                “โอเค ขึ้นรถเข็นเลย”

                ฉันถูกพาขึ้นรถเข็นและเข้าไปนอนอยู่ในนั้นไม่มีการล้างท้องใดๆเพราะพยาบาลบอกว่าน่าจะย่อยไปหมดแล้วเพียงแค่ให้น้ำเกลือและยาบางอย่างทางน้ำเกลือเท่านั้น แล้วฉันก็หลับๆ ตื่นๆ อีกหลายครั้งจนมีจิตแพทย์หญิงท่านหนึ่งเดินเข้าหาฉันและได้พูดคุยกัน

                “ที่ทำไปนี่คืออยากตายเลยรึเปล่าคะ”

                “เปล่าค่ะแค่ลองเฉยๆ ถ้าโชคดีก็ตายไป ถ้าโชคร้ายก็ตื่นขึ้นมา”

                “อย่างนั้นแสดงว่านี่คือโชคร้ายสำหรับคุณสินะคะ”

                “ก็...ค่ะ”

                “ทำไมถึงคิดว่ามันคือความโชคร้ายล่ะคะ”

                “ฉันไม่อยากใช้ชีวิตวนลูปเดิมๆแล้วค่ะ”คำตอบทุกอย่างเหมือนกับที่ฉันคอยพูดกับสมองตัวเองและสายด่วนสุขภาพจิตไม่มีผิดหมอถามอีกสี่ห้าประโยค และปลอบใจฉันด้วยวิธีพูดว่า อืม...หมอเข้าใจ ก่อนปล่อยให้ฉันนอนหลับอีกครั้ง

                อีกประมาณ 2-3 วันต่อมาหลังจากที่ฉันออกจากโรงพยาบาลฉันก็เกิดอาการขาดยาเนื่องจากหมอบอกเอาไว้ว่า “ช่วงนี้อย่าเพิ่งกินยาอะไรเข้าไปนะคะเพราะยายังขับออกมาไม่หมดมันจะเป็นพิษเพิ่มขึ้นนะ” อาการขาดยามันก็เหมือนลมแรงที่เริ่มก่อตัวกลางท้องทะเลพัดเอาคลื่นแห่งจินตนาภาพชั่วร้ายที่ควรจะสงบให้มันบ้าคลั่งขึ้นมาฉันเริ่มรู้สึกหดหู่ ไร้ค่า ไร้ความหมาย ไม่มีที่ยืนในสังคม ตายไปยังจะดีเสียกว่า

                ฉันตัดสินใจไปหาหมอในเวลาราชการของโรงพยาบาลเดิมหวังว่าจะช่วยให้ยาหรืออะไรสักอย่างกับฉันได้ครั้งนี้ฉันไม่ได้ฉายเดี่ยวเหมือนเคย แต่มีแม่ตามมาประกบไม่ห่างตาการจัดการลำดับการตรวจคนไข้ไม่ได้ยาวนานอย่างที่ฉันคิดไว้ เพียงแค่ 2 ชั่วโมงหมอก็เรียกฉันไปในห้องตรวจ

                “เชิญคุณ L ที่ห้องตรวจหมายเลขห้าค่ะ”

                ห้องตรวจหมายเลขห้าอีกแล้ว

                แต่คราวนี้ไม่ใช่หมายเลขห้าที่เดิมมันคือห้องตรวจหมายเลขห้าที่ใหม่ จากผนังสีครีมสดใสกลายเป็นสีเทา จากห้องแคบๆที่เปรียบเสมือนที่ปลอดภัยของฉันกลายมาเป็นห้องใหญ่กว้างขวางดูใหญ่และอ้างว้างเกินไปเสียด้วยซ้ำจากหมอผู้ชายเสียงนุ่มกลายเป็นหมอผู้หญิงอ่อนวัยเสียงค่อนข้างกระด้าง

                “ช่วยด้วยค่ะหมอ ตอนนี้กำลังคิดฆ่าตัวตาย”

                “ทำไมคุณถึงอยากตายล่ะคะ”

                “ฉันไม่อยากใช้ชีวิตวนลูปซ้ำเดิมๆ อีกแล้ว ชีวิตของฉันเหมือนไม่มีค่าเลย ฉันไม่ควรจะเกิดมาตั้งแต่แรกฉันไม่ควรเป็นไอ้โรคบ้า ๆ นี่ตั้งแต่แรก”

                “คุณวางแผนไว้หรือยังคะ”

                “วางแผนไว้แล้วค่ะทั้งเวลาสถานที่ จดหมายลาตายก็เขียนไว้พร้อมแล้วด้วย”

                “อืม...เคสของคุณนี่มันเสี่ยงมากเลยนะแต่โชคร้ายที่ตอนนี้ที่นี่เตียงเต็ม”

                แผนกจิตเวชเนี่ยนะเตียงเต็ม! คนเรามันจะทุกข์ใจกันมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ

                “เอาอย่างนี้แล้วกันหมอต้องส่งตัวคุณไปที่โรงพยาบาลจิตเวชเฉพาะทางคุณสามารถเลือกได้เลยว่าจะไปที่ไหน

                ฉันเลือกขังตัวเองไว้ในโรงพยาบาลเฉพาะทางจิตเวชชื่อดังแห่งหนึ่งของนนทบุรี

                ก้าวแรกของฉันในโรงพยาบาลไม่ค่อยจะดีนักไม่รู้ว่าเป็นอาการหรือนิสัยกันแน่ที่ทำให้ฉันอารมณ์ร้อนง่าย และปากปีจอมากด้วยเหตุการณ์มันเริ่มมาจากตอนที่พนักงานคัดกรองมัวแต่พูดคุยกันเอง กินขนมกรุบกรอบและไม่ค่อยทำงานทั้ง ๆ ที่คนไข้ที่จะต้องคัดกรองมีแค่ 2-3 คน ถ้าตั้งใจทำงานกันก็คงจะเสร็จไปตั้งนานแล้ว

                “นี่เขาจะคัดกรองกันไหมเนี่ยหรือต้องรอให้เขากินขนมกันให้เสร็จก่อน” ฉันพูดกับแม่ด้วยความอารมณ์เสียจนแม่ต้องไปจัดการพูดคุยให้และได้คัดกรองสมใจ

                “เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปห้องตรวจเลยนะคะ”พยาบาลคัดกรองบอกมาอย่างนี้ ฉันและแม่ไม่รอช้ารีบเดินไปตามที่ทางที่พยาบาลบอกทันที

                “เหยียบอึค่ะระวังเหยียบอึค่ะ!” เสียงแม่บ้านตะโกนและชี้โบ้ชี้เบ้มาทางเราสองคนแม่ลูกเมื่อก้มลงมองก็เห็นก้อนอุจจาระของใครก็ไม่รู้หล่นตามทางตั้งแต่หน้าห้องน้ำไปจนถึงทางเดิน(ขอประทานโทษผู้ที่กำลังกินข้าวอยู่ด้วย) โชคดีที่ฉันไม่ทันได้เหยียบอะไรเราสองแม่ลูกเลยเดินกันต่อไปรอหน้าห้องตรวจ

                “เชิญคุณ L ครับ”นี่คือเสียงผู้ชายหน้าห้องตรวจหมายเลขสิบห้าหลังจากฉันหลับไปได้สองตื่น

                หมอที่ฉันเข้าพบคือหมอคนเดียวกับที่ฉันมาขอความเห็นที่สองทางการแพทย์หลังจากหมออ่านใบส่งตัวไม่นานก็ซักประวัติของฉันเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยก่อนจะส่งฉันไปนอนรวมกับตึกผู้สูงอายุหญิงเนื่องจากตึกผู้หญิงธรรมดานั้นเตียงเต็ม

                หลังจากเข้าแอดมิทได้ไม่นานฉันก็เริ่มคิดถึงวิธีทำร้ายตัวเองรูปแบบต่าง ๆ อีกหลายครั้งไม่ว่าจะเป็นการนำเศษมุ้งลวดมากรีดข้อมือตัวเองและอุปกรณ์อื่น ๆ อีกมากมายแต่ก็ไม่ได้ทำอย่างที่ใจต้องการ เนื่องจากที่โรงพยาบาลนี้เข้มงวดมากเรื่องสถานที่และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆที่น่าจะเป็นภัยแก่ผู้ป่วยทุกคนห้องนอนเตียงรวมจึงสะอาดสะอ้าน หน้าต่างทุกบานปิดสนิท มุ้งลวดทุกเส้นถูกจัดเอาไว้อย่างดี

                ผนังสีขาวสะอาดตัดกับสีฟ้าของชุดผู้ป่วยแต่กลมกลืนกับชุดของพยาบาลที่ห้องรวมของผู้ป่วยสูงอายุไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากเตียงนอนที่เรียงกันเป็นตับประมาณ 10 เตียงต่อหนึ่งห้อง จำนวน 4ห้องแบ่งตามความรุนแรงของผู้ป่วยผู้ป่วยที่มีความคิดสุ่มเสี่ยงต่อการทำร้ายร่างกายหรืออาจจะมีอาการคลุ้มคลั่งบ่อยครั้งจะถูกจัดให้นอนที่ห้องที่ 2 หรือ 3 เนื่องจากเป็นห้องที่อยู่ตรงข้ามห้องพักของพยาบาลพอดีและแน่ล่ะ ฉันต้องนอนเตียงใดเตียงหนึ่งในห้องที่ 3 นี้ส่วนห้องที่ 1 และ 4 คือผู้ป่วยที่มีความคิดสุ่มเสี่ยงน้อยรึไม่มีเลยและบางคนที่กำลังจะได้กลับบ้านเนื่องจากอาการดีขึ้นแล้วจะได้นอนในห้องเหล่านี้

                ภาพจำของผู้ป่วยโรคจิตเวชที่เห็นในละครสมัยก่อนถูกกลบด้วยภาพของคุณป้าคุณยายนั่งคุยกันสนิทสนมคุณยายบางท่านก็มาชวนฉันคุย บางท่านก็คุยหัวเราะคิกคักกับพยาบาลถ้าใครกำลังนึกถึงภาพของผู้ป่วยจิตเวชที่เดี๋ยวก็หัวเราะสักพักก็ร้องไห้คลุ้มคลั่งกรี๊ดไปมา หรือคนที่ยืนคุยกับต้นไม้ใบหญ้าขอบอกได้เลยว่าภาพเหล่านั้นไม่เกิดขึ้นเลยในสถานที่แห่งนี้ผู้ป่วยทุกคนภายนอกดูปกติดีทุกอย่างแต่ฉันรู้ว่าภายในจิตใจของพวกเขาเหล่านั้นคงเต็มไปด้วยอารมณ์และความคิดต่าง ๆ ที่ยากจะคาดเดารวมไปถึงตัวฉันเองด้วยที่ภายนอกดูเป็นผู้หญิงจืด ๆ คนหนึ่ง แต่ภายในใจอบอวลไปด้วยความหดหู่สิ้นหวัง ท้อแท้ และจินตนาภาพเลวร้ายไม่สิ้นสุด

                ที่โรงพยาบาลแห่งนี้มีอาหารพร้อมเสิร์ฟวันละ3 มื้อเหมือนโรงพยาบาลทั่วไปอาหารที่ได้กินตอนเช้าจะเป็นโจ๊กหรือข้าวต้มตอนเที่ยงและเย็นจะมีอาหารที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันไปพร้อมด้วยขนมหวาน 1 อย่างเสิร์ฟมาในถาดหลุม ที่นี่ไม่ได้คาดหวังให้ผู้ป่วยต้องกินอาหารให้หมดเพราะพยาบาลรู้ดีว่ายาทางจิตเวชโดยเฉพาะกลุ่มยา SSRIs (Selective SerotoninReuptake Inhibitor) อันเป็นยารักษาโรคทางจิตเวชที่หมอนิยมสั่งให้คนไข้นั้นมีผลข้างเคียงทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เบื่ออาหารฉันจำได้ว่าตอนที่หมอสั่งยามาให้ฉันครั้งแรกนั้นฉันถึงกับกินบะหมี่ถุงเดียวใช้เวลาทั้งวันก็ไม่หมดตอนที่ฉันอยู่ที่โรงพยาบาลก็เช่นเดียวกัน ฉันสังเกตว่าทั้งฉันและคุณป้าคุณยายท่านอื่นๆ อาหารแทบไม่พร่องไปจากถาดหลุมเลย

                ทุกมื้อหลังจากกินอาหารเสร็จแล้วพยาบาลจะเรียกทุกคนมาพร้อมกันที่หน้าห้องพยาบาลผู้ป่วยต้องหยิบแก้วที่เตรียมไว้ให้และไปกดน้ำมาถือไว้คนละ 1 แก้วเพื่อกินยาผู้ป่วยทุกคนจะมายืนต่อแถวอย่างเรียบร้อยข้างรถเข็นใส่ยาและบอกหมายเลขของตัวเองเมื่อถึงคิวพยาบาลจะส่งยาบรรจุในถุงพลาสติกใสเล็ก ๆ มาให้และผู้ป่วยต้องกินยาและกินน้ำตามพร้อมกับอ้าปากให้พยาบาลดูว่าได้กินยาเข้าไปแล้วจริงๆ เนื่องจากมีผู้ป่วยบางคนที่ต้องการหยุดยาเองเนื่องจากทนผลข้างเคียงของยาไม่ไหว

                หลังจากนั้นทุกเช้าหลังกินยาจะมีนักเรียนพยาบาลมาทำกิจกรรมนันทนาการร่วมกับผู้ป่วยทั้งให้ความรู้เรื่องการดูแลสภาพจิตใจ ออกกำลังกายเบา ๆ  ร้องเพลงและทำกิจกรรมบำบัดกลุ่มกิจกรรมบำบัดกลุ่มนี้เป็นกิจกรรมที่ทุกคนในตึกต่างรอคอยให้ถึงคิวตัวเองมากเนื่องจากใครมีคิวทำกิจกรรมกลุ่มบ่อยเท่าไหร่ถือว่าใกล้จะได้กลับบ้านมากขึ้นเท่านั้น เท่าที่จำได้ฉันเข้าไปบำบัดกลุ่มประมาณ 3 ครั้งก่อนจะได้กลับบ้าน ในช่วงกิจกรรมประกอบนักเรียนพยาบาลประมาณ3-4 คนและผู้ป่วยอีก 4-5 คนจัดว่าเป็นการบำบัดกลุ่มขนาดเล็กในแต่ละวันนักเรียนพยาบาลจะมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้ทำ เช่นประดิษฐ์การ์ดจากดอกไม้กระดาษ, ทำการบูรดับกลิ่นและมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกันในหัวข้อที่นักเรียนพยาบาลกำหนดขึ้นมาในแต่ละวัน ฉันยังจำได้ว่าการบูรที่ฉันประดิษฐ์มาให้พ่อยังแขวนอยู่ที่หน้าพัดลมในห้องนอนของพ่อถึงแม้กลิ่นจะหายไปแล้วก็ตาม

                หลังจากที่ฉันนอนในตึกผู้ป่วยสูงอายุหญิงได้เพียง1 คืน ฉันก็ถูกย้ายไปที่ตึกผู้ป่วยหญิงธรรมดาเพราะเตียงว่างพอดีที่ตึกนี้ไม่ต่างอะไรกับตึกผู้ป่วยสูงอายุเลยเพียงแต่คนไข้ของที่นี่เป็นวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นเสียส่วนใหญ่บรรยากาศจึงสดใสสดชื่นมากกว่าที่ตึกผู้สูงอายุมาก แต่อย่างที่ได้บอกไปถึงแม้ภายนอกจะดูสดใสเพียงใด ฉันก็รู้ดีว่าภายในจิตใจของแต่ละคนกลับตรงข้ามกัน

                ระเบียบปฏิบัติของที่นี่เหมือนกับตึกผู้ป่วยสูงอายุทุกอย่างทุกคนต้องกินข้าว, กินยาและดื่มน้ำให้เพียงพอไม่อนุญาตให้ออกไปนอกตึกเด็ดขาดยกเว้นมีครอบครัวมาเยี่ยมจึงได้ออกไปสัมผัสผืนหญ้าต้นไม้ใบไม้นอกตึกสักครั้งหนึ่งมีอยู่อย่างเดียวที่ตึกผู้ป่วยหญิงจะเข้มงวดมากกว่าตึกผู้ป่วยสูงอายุคือต้องคอยสอดส่องดูแลผู้ป่วยที่ใกล้จะได้กลับบ้านอย่างดีไม่ให้ผู้ป่วยจดหรือแลกเปลี่ยนที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่ออื่นๆเช่น เฟสบุ๊ค, ไลน์, ทวิตเตอร์เด็ดขาด พยาบาลจะตรวจของใช้ส่วนตัวทุกอย่างก่อนผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลแม้กระทั่งเปิดหนังสือดูทุกหน้าว่ามีใครแอบจดเบอร์มือถือหรือไอดีไลน์เอาไว้รึไม่

                ถึงแม้ว่ากฎระเบียบที่นี่จะเข้มงวดมากเพียงใดฉันก็ฝ่าฝืนกฎแทบทุกข้อที่มี ฉันนั่งคิดนอนคิดเรื่องการพยายามทำร้ายตัวเองและหาอุปกรณ์อยู่ทุกวันจนค้นพบว่าเหล็กที่ติดป้ายชื่อผู้ป่วยมีความคมระดับหนึ่งฉันจึงใช้มันกรีดข้อมือตัวเองซ้ำไปซ้ำมาตอนนอนจนเลือดไหลออกมาเปื้อนที่นอนพยาบาลจึงรู้ว่าฉันทำร้ายตัวเองและยึดป้ายชื่อของฉันไปตอนกินยาก่อนนอนฉันก็แอบเอายาเม็ดหนึ่งซ่อนไว้ในกำมือ และกินยาก่อนนอนเพียงเม็ดเดียวจากปกติ2 เม็ดแต่ถึงอย่างนั้นฉันก็โดนจับได้อยู่ดี

                เรื่องไอดีไลน์ก็เช่นเดียวกันตอนที่ฉันอาศัยอยู่ในโรงพยาบาลฉันได้รู้จักเพื่อนใหม่หลายคน เราแทบจะตัวติดกัน ปรับทุกข์กันและร้องรำทำเพลงด้วยกันตลอดเวลาฉันและเพื่อนร่วมแก๊งแอบท่องจำไอดีไลน์ของคนในกลุ่มเพื่อที่ว่าตอนออกจากโรงพยาบาลแล้วจะได้ติดต่อกันน่าเสียดายที่ไอดีไลน์ที่ท่องจำกันมาใช้ไม่ได้ฉันพยายามหาอย่างสุดความสามารถก็หาไม่เจอทำให้เราต่างลืมเลือนกันและกันจนความทรงจำในโรงพยาบาลกลายเป็นเพียงฝุ่นผงที่ถูกพัดผ่านไป

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in