ภายหลังจากที่หมอปรับยาให้ใหม่จัดชุดใหญ่ไฟกระพริบไปแล้วนั้นจินตนาภาพในหัวของฉันมันเริ่มว่านอนสอนง่ายมากขึ้นฉันสามารถกลับมาอ่านหนังสือเล็มเล็ก ๆ อย่างน้อย 2หน้าสั้น ๆ ได้อีกครั้ง หลังจากที่เมื่อก่อนแม้แต่ 2
รวมถึงฉันสามารถเพ่งสมาธิไปที่การทำงานได้มากขึ้นโดยที่ไม่ร้องไห้ไม่ต้องแกล้งหาวหรือขยี้ตาบ่อยๆเพื่อกลบเกลื่อนน้ำตาอีกต่อไปส่วนในรถไฟฟ้าฉันก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการหลับเพราะตอนกลางคืนฉันยังคงฝันร้ายและนอนไม่ค่อยหลับอยู่ดีมิชชั่นปักผ้าครอสติชล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะฉันไม่ต้องการใช้สมาธิไปกับเรื่องใดๆ หลังจากเวลางานอีกเพราะอย่างนั้นฉันยังคงใช้ปากกาเจาะเลือดเจาะต้นแขนตัวเองก่อนนอนทุกคืนเหมือนที่เคยทำ
ความฝันเรื่องหมอทิ้งคนไข้และความคิดที่ว่า โน่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้มันเหมือนคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวเงียบ ๆ ใต้ผืนทะเลสงบรอเวลาผงาดเป็นคลื่นยักษ์สึนามิลูกใหญ่เมื่อถึงเวลาขึ้นฝั่งในขณะที่ฉันกำลังคิดว่าตัวเองเริ่มมีอาการดีขึ้น ฉันเริ่มรู้สึกถึงความคิดฆ่าตัวตายรูปแบบใหม่ที่ก่อตัวภายใต้ทะเลแห่งจิตนาภาพชั่วร้ายในสมองในขณะที่พักสายตาบนรถไฟฟ้าภาพฉันตัดสินใจกระโดดตึกมันฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสมอง
ภาพเหล่านี้มันก่อตัวกลายเป็นไอเดียใหม่ๆ เหมือนฉันกำลังคิดโปรเจคใหญ่อะไรสักอย่างหนึ่ง ฉันเริ่มทำการเสิร์ชหาสถานที่ต่างๆ เพื่อสนองกรรมวิธีฆ่าตัวตายนั้น ไม่ว่าจะเป็นอาคารจอดรถ, ห้างสรรพสินค้า,ตึกร้างและเสิร์ชหาข่าวเกี่ยวกับคนกระโดดตึกพร้อมทั้งทำสถิติขึ้นมาว่าต้องกระโดดตึกจากชั้นที่เท่าไหร่ถึงจะได้ตายสมใจโดยไม่ต้องทุกข์ทรมานบนรถพยาบาลหรือในห้องฉุกเฉินก่อนสิ้นลมหายใจ
ในขณะที่โปรเจคกระโดดตึกของฉันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างความคิดเก่า ๆ เมื่อครั้งฆ่าตัวตายครั้งแรกมันก็เข้ามาหลอกหลอนกลิ่นยาฆ่าแมลงลอยเข้ามาในจมูกโดยไร้สาเหตุภาพเพดานในห้องสลัวในคืนนั้นเข้ามาหลอกหลอนในความฝัน ห้องตรวจหมายเลขห้าเริ่มเปลี่ยนสภาพไปทีละเล็กละน้อยจากความฝันที่หมอนั่งคุยกับฉันในห้องตรวจสีขาวสะอาดไร้กลิ่นกลายเป็นหมอมานั่งคุยกับฉันข้างฟูกที่นอนในห้องนอนเก่าที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นยาฆ่าแมลงและกลิ่นคาร์บอน
ฉันต้องหยุดวงโคจรบ้าๆ นี้เสียที
ในเมื่อโปรเจ็คใหญ่มันทำให้เป็นจริงได้ยากและต้องใช้เวลาตัดสินใจนานฉันจึงลงมือทำโปรเจ็คเล็ก ๆ นี้ให้สำเร็จเสียก่อน ฉันตัดสินใจโทรไปสายด่วยสุขภาพจิตทันทีหลังพักเที่ยง
“สวัสดีค่ะสายด่วนสุขภาพจิตมีอะไรให้ช่วยคะ”
“อยากทราบว่าว่า
“ทำไมคุณถึงอยากรู้เรื่องยาตัวนี้คะ”น้ำเสียงของสายด่วนสุขภาพจิตทำให้ฉันจับได้ว่าเขาเริ่มจับทางฉันถูก “คือความจริงแล้วนะคะไม่ว่ายาตัวไหนก็ตามดิฉันไม่แนะนำให้กินคู่กับแอลกอฮอล์นะคะเพราะมันจะส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพถูกไหม”
“แล้วถ้าลองกินยาเกินขนาดล่ะคะอาการมันจะเป็นยังไง” เสียงเริ่มสั่นและน้ำตาคลอ
“ขอถามหน่อยได้ไหมคะว่าทำไมคุณถึงได้ยาตัวนี้มา”
“ฉันเป็น
ฉันคุยกับสายด่วนสุขภาพจิตนานเท่าที่ไม่เคยนานมาก่อนเนื้อหาหลัก ๆ ก็จะเป็นพวกความโดดเดี่ยวในชีวิตที่ฉันเจอ และคำพูดของพนักงานคนหนึ่งในบริษัท
“พนักงานคนนั้นคือคนที่ให้เงินเดือนคุณหรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ”
“ถ้าคุณเป็นโรคนี้แล้วจะส่งผลเสียอะไรต่อพนักงานคนนั้นหรือเปล่าคะ”
“ก็...ไม่นะคะ”
“นั่นน่ะสิคะแล้วคุณจะไปสนใจคำพูดของเขาทำไม ในเมื่อคุณไม่ได้ทำให้เขาเดือดร้อนเลยไม่ว่าจะในด้านการทำงานและด้านจิตใจ”
สายด่วนสุขภาพจิตจะเน้นให้ฉันปรับทัศนคติที่มีต่อตัวฉันเองและคนรอบข้างเสียมากกว่าจนฉันตัดสินใจเดินไปบอกหัวหน้างานว่าขอลางานครึ่งวันทั้งน้ำตาเพราะรู้สึกไม่สบายใจดูเหมือนพนักงานคนอื่นที่พบเห็นฉันจะตกใจมาก
ฉันร้องไห้มาตลอดทางบนรถไฟฟ้าจนคนรอบข้างหลีกหนีฉันไปหมดนอกจากนี้ฉันยังแวะซื้อยาแก้แพ้ CPM (Clopheneramineมีฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน) ระหว่างเปลี่ยนสถานีอีกด้วยหลังจากกลับถึงคอนโดสีเขียวขี้ม้าที่แสนหดหู่ของฉันก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็นแล้วฉันยังนั่งร่างจดหมายลาตายถึงหมออยู่เลย และใช้เวลาแกะยาแต่ละเม็ดออกมาจากแผงประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงเพราะยาพวกนั้นเป็นยาที่หมอจัดให้สำหรับ 5 อาทิตย์ระหว่างที่ฉันนั่งแกะยาไปเรื่อยๆความลังเลบางอย่างมันก็เกิดขึ้น
ทำอย่างนี้มันดีแล้วหรือมันเปลืองนะ ค่ายาทั้งหมดนี้ตั้งสามพัน ฉันจะกินครั้งเดียวหมดไปเลยหรือ แต่ถ้าไม่ตื่นขึ้นมันก็คุ้มค่าที่จะลองนะ
ฉันมองไปที่กองยาที่ฉันแกะออกมาแล้ว2 กล่อง
เอาวะ
ก่อนกินยาทั้งหมดที่แกะออกมาฉันเขียนจดหมายและส่งไปให้หมอที่รักษาฉันอยู่สรุปแล้ววันนั้นฉันใช้เวลากินยาทั้งหมดกว่า 300
เรียน หมอ
ฉันผู้ป่วย
ทุกอย่างเกือบไปได้สวยค่ะถึงหมอจะเปลี่ยนทัศนคติของฉันไม่ได้ (แทบไม่ได้เลยไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะโรคหรือเพราะฉันคิดลบจนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว)แต่ยาของหมอมันก็ได้ผล ฉันเคยบอกหมอว่าฉันชอบอ่านหนังสือ ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนาๆจบได้ภายในเวลา1-2 วัน แต่ก่อนที่จะมาหาหมอประมาณ 4 เดือนฉันเริ่มอ่านหนังสือไม่ได้เลยไม่ใช่ว่าอ่านไม่ออก แต่ภาพในหัวมันมารบกวนฉันมากขึ้นจนอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแต่หลังจากที่หาหมอครั้งที่ 6 (17 มีนาคม 2019) ฉันก็กลับมาอ่านหนังสือเล่มเล็กได้ตั้ง2 หน้าติดเรื่องนี้น่าจะเป็นตัวที่บอกได้ดีว่าการรักษาของหมอพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นมากแค่ไหน
มีสิ่งหนึ่งที่ฉันไม่ได้บอกหมอเลยแต่ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการของฉันมันย่ำแย่จนต้องไปพบจิตแพทย์อย่างทุกวันนี้คือเมื่อประมาณ 4 เดือนก่อนที่ฉันจะพบหมอฉันมีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ค่ะฉันเลิกคบเพื่อนที่สนิทมากๆคนหนึ่งไป เพราะเขาไม่เข้าใจในความคิดของฉันและตำหนิฉันทุกครั้งเวลาที่ฉันมีความคิดด้านลบตั้งแต่ฉันตัดสินใจตัดเขาออกไปจากชีวิตภาพในหัวต่างๆมันก็จู่โจมเข้ามาไม่เลือกเวลาเลยค่ะ มันรบกวนฉันทั้งวันจนฉันต้องพาสังขารตัวเองไปพบจิตแพทย์สมมติว่าตอนนี้ถ้าฉันยังคบเพื่อนสนิทคนนั้นอยู่ ฉันคงไม่รู้ว่าตลอดมาฉันเป็นโรค
ฉันตัดสินใจส่งข้อความนี้นอกจากเพื่อขอบคุณหมอแล้ว ฉันยังเขียนเผื่อไว้ถ้าสิ่งที่ฉันทำมันได้ผลขึ้นมาฉันอยากลองกินยา overdoze ดูค่ะเท่าที่รู้มาการกินยา overdoze มันไม่ทำให้ตายได้อย่างมากก็ไตพัง และส่งผลต่อไปอีกในระยะยาว แต่ฉันอยากลองดู ว่าถ้ากิน Diazepam,Apalife, Esidep ทั้งหมดที่หมอให้มาพร้อมกัน เหตุการณ์มันจะเป็นยังไงฉันจะยังตื่นขึ้นมาอีกไหม คราวนี้ไม่มีใครคอยช่วยเหลือฉันได้แล้วค่ะไม่เหมือนครั้งก่อนที่กินยาฆ่าแมลง ฉันทำไม่สำเร็จเพราะอยู่ที่บ้านและมีพ่อแม่คอยพาไปโรงพยาบาล แต่คราวนี้ฉันอยู่คนเดียวแล้วขอความช่วยเหลือจากใครไม่ได้แล้วค่ะ ฉันอาจจะตายก็ได้ ใครจะไปรู้
น่าเสียดายนะคะที่อาการของฉันเหมือนจะพัฒนาขึ้นไปในทางที่ดีแล้วแต่ฉันยังมีความคิดอยากตายอยู่ หมอเคยบอกฉันว่าหมอเห็นด้วยกับเรื่อง
ฉันไม่อยากใช้ชีวิตวนลูปไปกับการกินยาไปตลอดชีวิตค่ะฉันเข้าใจดีว่าไม่มีใครอยากเป็นโรคอะไรเลย ไม่ว่าจะทางกายหรือทางใจโรคของฉันมันก็คงเหมือนโรคความดันสูงของพ่อแม่ ที่ต้องกินยาความดันไปตลอดชีวิตไม่มีทางหาย แค่ประคับประคองกันไปเท่านั้นแต่อายุอย่างฉันไม่ควรจะต้องกินยาไปตลอดชีวิตอย่างนี้อีกอย่างฉันรู้สึกโดดเดี่ยวมากค่ะ เหมือนทั้งโลกนี้มีหมอเข้าใจฉันอยู่คนเดียวฉันเหนื่อยกับการต้องปกปิดเรื่องพวกนี้กับคนรอบข้างแล้วค่ะ มันน่าอึดอัด
ฉันขอโทษนะคะหมอที่ฉันทำให้ความพยายามรักษาของหมอเหมือนไม่มีความหมายขอบคุณสำหรับทุกคำแนะนำดีๆที่ผ่านมาค่ะถ้าสมมติว่าฉันตื่นขึ้นมาแล้วไปหาหมอตามนัดครั้งต่อไปได้ฉันจะไปขอโทษหมอด้วยตัวเอง
ด้วยความเคารพ
และฉันก็หลับไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in