หากใครเคยดูหนังเรื่อง Before Midnight ภาคจบของ Before Trilogy ที่แต่ละภาคใช้นักแสดงนำคนเดิม และถ่ายห่างกันเรื่องละ 9 ปี ผลงานผู้กำกับ Richard Linklater
(เจ้าของเดียวกับ Boyhood และ Everybody Wants Some!!) คงจำประโยคนี้ได้ดี...
"Like sunlight, sunset, we appear, we disappear.
We are so important to some, but we are just passing through."
เหมือนดังเช่นแสงแดดและพระอาทิตย์ตก เราปรากฎตัวและเลือนหายไป
เราอาจสำคัญอย่างมากต่อใครบางคน แต่สุดท้ายแล้วเราก็แค่โคจรเคลื่อนผ่านกัน
ถ้าให้ลิสต์ประโยคจากหนังที่ฟังแล้วเศร้าที่สุด ประโยคนี้คงติดอันดับต้นๆแน่นอน แต่โลกความจริงมันก็เป็นอย่างนั้นเสมอ เพราะสุดท้ายต่อให้รั้งแรงเหวี่ยงของโลกไว้สักเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครรั้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโลกนี้ถึงเต็มไปด้วยคำพูดจูงใจประเภท 'จงอยู่กับปัจจุบัน' เอื้อมมือคว้าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้สุดแรง ก่อนที่มันจะหายลับไป เหมือนเช่นดังใครสักคนหนึ่งที่สำคัญต่อคุณมากๆในช่วงจังหวะหนึ่งของชีวิต ที่สุดท้ายแล้วก็จะเคลื่อนผ่านจากกันไปเช่นกัน...ช่างไม่ต่างอะไรกับแสงแดดและพระอาทิตย์ตกเลย เพียงแต่สองสิ่งนี้เรายังรู้ว่ามันจะกลับมาอีกครั้งในเช้าวันใหม่ ตราบใดที่โลกยังหมุนรอบตัวเองและโคจรในระบบสุริยะ แต่สำหรับบางสิ่งก็อาจไม่เคยกลับมาอีกเลย หรือในอีกแง่หนึ่ง 'เราเองอาจเลือกที่จะไม่กลับไปหามันอีกแล้ว' มากกว่าต่างหาก
'เจสซี่' และ 'เซลีน' เป็นตัวละครที่เรารักมากที่สุด เพราะทั้งคู่เป็นตัวละครที่มีความเป็นมนุษย์ และไม่ได้สมบูรณ์แบบ แม้ว่าเซลีนจะรู้สึกหดหู่กับประโยคที่ว่าสักเท่าไหร่ เมื่อทั้งคู่ได้ไปนั่งมองพระอาทิตย์ตกลับฟ้าด้วยกัน เซลีนยังเผลอพูดออกมาว่า "Still there..." แต่เธอก็ต้องยอมรับว่า "It's Gone" สุดท้ายพระอาทิตย์ก็ต้องลับขอบฟ้าเป็นสัจธรรม และปรากฎตัวอีกครั้งในเช้าวันใหม่ ก็เหมือนดังที่ตัวเธอยังมีเจสซี่อยู่เคียงข้าง แม้ไม่มีใครรู้ว่าจะอีกนานเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็ในตอนนี้...มันยังไม่พออีกเหรอ ?
บทสนทนาที่ดีที่สุดใน Before Midnight
ฉากที่เจสซี่ต้องใช้มุขเดินทางด้วยเครื่องย้อนเวลา เพื่อนำจดหมายฉบับหนึ่งมาคุยง้อเซลีนตอนที่ทั้งคู่ทะเลาะกันหนักมากนั้น น่าจะเป็นบทสนทนาที่งดงามที่สุดในเรื่อง เพราะเจสซี่พูดถึงการใช้ชีวิตอยู่กับเซลีนในตอนที่เธออายุ 82 ปี เซลีนถึงกับต้องถามกลับว่า ตัวเธอมีชีวิตอยู่ถึงวัยนั้นเหรอ แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องของอนาคต แต่เป็นอนาคตที่จะเกิดจากการกระทำในปัจจุบันของคนสองคน เพราะมันเป็นเรื่องของการคุยปรับความเข้าใจ เพื่อที่จะได้แก่เฒ่าไปด้วยกัน
JESSE : I'm only here as a messenger. I've just traveled all the way from the future.
I was just with your 82 years old self who gave me a letter to read to you. So here I am.
CELINE : I'm still alive in my 80's?
JESSE : OOOHHHH YEAH.
เมื่อเซลีนยังคงไม่ยอมอ่อนข้อ เจสซี่ถึงกับต้องบอกว่า "ถ้าคุณต้องการรักแท้ ก็นี่แหละ มันคือชีวิตจริง มันไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่มันโคตรจริงไง ถ้าคุณยังมองไม่เห็นมันอีก (ในสิ่งที่เจสซี่พยายาม) คุณก็ตาบอดแล้ว และผมก็ยอมแพ้"
JESSE : If you want true love - this is it. This is real life. It's not perfect, but it's real.
And if you can't see it, then you're blind, alright ? I give up.
ความเงียบระหว่างทั้งคู่ช่างยาวนาน จนกระทั่งเซลีนเอ่ยขึ้นว่า "แล้วไอ้เจ้าเครื่องย้อนเวลาของคุณเนี่ย มันทำงานยังไง ?"
CELINE : So what about this time machine ? How does it work ?
ในวันที่คนสำคัญสำหรับชีวิตของเราหลายๆคนไม่ว่าจะมีสถานะทางสังคมกันแบบไหนก็ตาม ยังคงโคจรภายใต้แรงดึงดูดของกันและกันอยู่ หากยังมีความสำคัญมากพอ เราก็จะดูแลและเอื้อมมือคว้าไว้ให้สุดแรง ทำทุกอย่างเพื่อรักษากันไว้ เพราะรู้ดีว่าวันหนึ่งไม่ช้าหรือเร็ว ชีวิตของทุกคนก็จะต้องเคลื่อนผ่านกันไป หายจากกันไปโดยที่อาจไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำ จนเกือบลืมไปว่าครั้งหนึ่งเราเคยสำคัญต่อกันมากขนาดไหน ไม่ต่างอะไรกับแสงแดดเลย ควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ปล่อยให้มันส่องไปอย่างนั้น บางวันอาจอบอุ่น... บางวันอาจแผดเผา...
เมื่อถึงวันหนึ่งปัจจัยหลายๆอย่าง อาจทำให้คนที่เคยวนเวียนในชีวิตค่อยๆทยอยโคจรเคลื่อนผ่านกันไป รู้ตัวอีกทีเราอาจไม่ได้สำคัญต่อกันอีกต่อไปแล้ว สุดท้ายเราก็จะหายจากกันไป จะไม่มีอิทธิพลใดๆต่อกันอีก เพราะมันก็แค่จังหวะชีวิตช่วงหนึ่งที่เราเพียงโคจรเคลื่อนผ่านกันไปก็เท่านั้น ไม่ต่างอะไรกับแสงแดดเลย
อย่าบอกว่ามันฟังดูเศร้าแต่งดงาม มันมีความงดงามในความเศร้าด้วยเหรอ ?
จริงแล้วๆ มันจะงดงามก็ต่อเมื่อ เราได้ผ่านความเศร้านั้นมาแล้วต่างหาก
ได้โปรดคิดถึงเราในตอนที่ทำได้ ในตอนที่ยังไม่สาย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in