ช่วงสายๆเรานั่งรถออกมาจากตลาดเพื่อมาปิกนิก
กินลมชมวิว นอนเล่นท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่ Washington Park Arboretum
ที่นี่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่
(อันที่จริงเรียกว่าสวนรุกขชาติก็ได้ เอาตามที่แปล)
มีหลายโซนพันธุ์ไม้ให้เลือกชม มีเกาะให้ถีบเรือเป็ดหรือพายเรือไปสำรวจ
สวนญี่ปุ่น โซนต้นโอ๊ค และพันธุ์ไม้เขตหนาวมากมาย
คือมันใหญ่มากแบบใหญ่บึ้มเหมือนเป็นป่าไม่ใช่สวนแล้วล่ะ
และนี่คือแผนที่...
สารภาพจากใจจริงว่าเดินไม่หมดเพราะมันใหญ่มาก
และเมื่อนึกเทียบกับปอดของกรุงเทพอย่างสวนลุมนี่
ก็มีความรู้สึกสลดใจเล็กน้อยถึงปานกลาง
พื้นที่สีเขียวในกรุงเทพนี่มันน้อยมากมากมากมากมากมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนประชากรจริงๆนะ
เศร้าใจ
แล้วพอยิ่งเห็นว่าประชาชนที่นี่เขาเข้ามาใช้ประโยชน์กัน
ทั้งคนที่มาวิ่งออกกำลัง นั่งอ่านหนังสือ นอน ปิกนิก
หรือกลุ่มเด็กประถมมาเดินทัศนศึกษา มีคุณครูบรรยายเกี่ยวกับต้นไม้
วิ่งเล่นเก็บตัวอย่างใบไม้ และเอากระดาษทาบกับต้นไม้ เอาสีเทียนระบาย
เฮ้ย... ทำไมประเทศเราไม่มีกิจกรรมอะไรแบบนี้บ้างวะ
โอเค มันมีแหละ แต่น้อยมาก
(ย้อนกลับไปตอนปีพ.ศ.2556 นะจ๊ะ -- ซึ่งเอาจริงๆนะ พ.ศ.ปัจจุบันเราก็ว่าน้อย)
มันก็มีคนไปวิ่งที่สวนลุม รำไทเก๊ก เต้นแอโรบิค หรือนอนอ่านหนังสือ
แต่เราคิดว่าพื้นที่สีเขียวในกรุงมันไม่มากพอ
ที่นี่คือมีสวนสาธารณะอยู่ทุกมุมเมือง
มีต้นไม้สูงตามถนนที่ไม่โดดตัดเพราะไปพันสายไฟฟ้า
เฮ้ย มันดีอะ
อาจเพราะอากาศบ้านเรามันร้อนอบอ้าวจนคนอยู่แต่ในห้องแอร์
หรือขาดการวางผังเมืองที่มีคุณภาพ
หรือขาดงบประมาณในการจัดสรรพื้นที่
แต่เรามีความเชื่อว่าสถาปัตยกรรมที่ดีสามารถ shape สังคมได้ในระดับหนึ่ง
และการวางผังเมืองที่มีประสิทธิภาพจะช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตของคนได้
ซึ่ง... กรุงเทพมหานครนั้น...
ไม่มีสองอย่างที่กล่าวมาเล้ย
เราเลยรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตของคนในกรุงเทพมันแย่
เมื่อเทียบกับราคาที่ต้องเสียไปให้กับอะไรก็ไม่รู้
(เช่น ระบบขนส่งที่ขึ้นราคาเอาแต่แม่งไม่ปรับปรุงพัฒนาหรือฝนตกแล้วน้ำท่วม)
ใครเป็นคนคิดสโลแกน "กรุงเทพ ชีวิตดีๆที่ลงตัว" วะ
เหมือนเดินในป่าจริงไม่ติงนัง
จินตนาการว่าตัวเองเป็นหนูน้อยหมวกแดงเดินไปบ้านคุณยายเง้
ชอบรูปนี้ รู้สึกว่าองค์ประกอบภาพโอเคดี
เมเปิ้ลต้นเดียวในสวนที่เปลี่ยนสีแล้ว
เป็นสัญญาณว่าฤดูร้อนอันสดใสใกล้จะจากไปแล้ว
เราไปหาที่นั่งหลบมุมใต้ต้นไม้ใหญ่และแกะห่อแซลมอนที่ซื้อมา
ปรากฎว่าเราได้แซลมอนส่วนที่ติดหนังมา ซึ่งความรู้สึกบอกเราว่า
แกจะกินชิ้นนี้แบบดิบๆไม่ได้
ดูทรงแล้วมันควรจะเอาไปทำเป็นแซลมอนทอดน้ำปลาอะไรแบบนี้มากกว่า
ก็ห่อกลับไปเหมือนเดิมด้วยความห่อเหี่ยวใจว่าทำไมว๊า
การอยากกินแซลมอนซาซิมินี่มันยากขนาดนี้เลยหรอออ
(จริงๆมันก็มีวิธีที่ง่ายกว่าคือการเลี้ยวเข้าร้านอาหารญี่ปุ่นไง)
เราเลยเอาเชอร์รี่ที่ตั้งกฎกันไว้ว่าห้ามกินจนกว่าจะถึงเวลาอาหารเที่ยงออกมาแบ่งกัน
(ที่ตั้งกฎไว้เพราะกลัวหมดระหว่างทาง)
ระหว่างที่รีบเคี้ยวรีบแย่งกันอยู่นั้น
เขาก็กูเกิลหาสถานที่กิน ที่เที่ยว และเปิดแผนที่หาทางออกจากสวนไปพร้อมกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in