"ตายซะเถอะโอเซฮุน!" มือเล็กฟาดลงบนไหล่กว้างของเพื่อนสนิท รอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฎบนใบหน้าหวาน ลู่หานกำลังจะวิ่งหนีแต่ไม่ทันมือหนาที่คว้าข้อมือเล็กไว้ได้ทันเสียก่อน ร่างบางเซตามแรงไปชนกับอกกว้างของโอเซฮุนอย่างจัง ดวงตากลมมองค้อนให้เพื่อน ร่างบางในชุดลำลองสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมเมื่อแขนแกร่งโอบร่างของเธอให้ชิดใกล้กับแผงอก
"เปล่าฉันนะ"
"ยังตัวแสบอย่างเธอต้องถูกทำโทษ" นายน้อยตระกูลโอนึซึกะจั๊กจี้ตามสีข้างของหญิงสาวเป็นการลงโทษที่ชอบแอบเข้ามาทำร้ายร่างกายของเขา แต่การลงโทษนั้นก็หยุดลงเมื่อคุณนายใหญ่ของบ้านเดินผ่านมา
"เซย์จิ! แกล้งหนูลู่หานทำไมลูก!" กลับกลายเป็นว่าผู้ผิดเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปี โอนิซึกะ เซย์จิ หรือ โอเซฮุน ต้องเข้าไปนั่งสำนึกผิดในห้องโถ่งกลางบ้าน แม่บ้านที่เดินผ่านไปผ่านมาก็อดขำไม่ได้ที่เป็นนายน้อยผู้ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดในบ้านยกเว้นคุณนายใหญ่นั่งคุกเข่ารับโทษอยู่เช่นนั้น แต่ก็ไม่ได้หัวเดียวกระเทียมลีบเสียเมื่อไหร่ ร่างบางของเพื่อนตัวเล็กนั่งเฝ้ามองอยู่ห่างๆบริเวณชานเรือน
ขาสองข้างแกว่งในอากาศ กลีบดอกบ๊วยร่วงโรยลงมาเมื่อมีลมพัด ทำให้ลู่หานคิดถึงบ้านจับใจ เธอยังรอการกลับมาของพ่อ พ่อที่เป็นมาเฟียระดับประเทศในฐานะหัวหน้าแก๊งมังกรทอง ท่านเป็นห่วงเธอเพราะกลัวว่าศัตรูจะใช้เธอเป็นเครื่องมือในการล้มแก๊งของท่าน ร่างบางจึงถูกส่งมาอยู่กับตระกูลโอนิซึกะ ซึ่งนายใหญ่ของบ้านเป็นเพื่อนกับพ่อของเธอ ตระกูลโอนิซึกะ เป็นตระกูลที่เปิดธุรกิจถูกกฎหมายและเป็นกลุ่มที่ทรงอิทธิพลเป็นอันดับหนึ่งในประเทศ และอีกไม่นานโอเซฮุนจะได้ขึ้นเป็นโซเรียวของตระกูลเมื่ออายุยี่สิบปีบริบูรณ์
"คุณหนูคะ รับน้ำชาสักหน่อยนะคะ" แม่บ้านมิโกะยกน้ำชามาให้แก่คุณหนูน้อยคนใหม่ ลู่หานโค้งขอบคุณและยกชาขึ้นดื่มเพื่อดับกระหาย เธอกำลังรู้สึกผิดต่อเซฮุน ที่เซฮุนถูกคุณนายใหญ่ลงโทษก็เพราะเธอไปแกล้งเซฮุนก่อนแท้ๆ ชายหนุ่มลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงข้างๆตัวดังขึ้น เป็นเพื่อนตัวเล็กของเขากำลังนั่งคุกเข่าอยู่เช่นเดียวกัน กลุ่มผมสีดำยาวปกปิดใบหน้าเล็กเมื่อก้มหัวลง เห็นแบบนี้แล้วเซย์จิเองก็อดยิ้มไม่ได้
นานเท่าไหร่ไม่รู้ที่นั่งมา เซย์จิเริ่มหนักบริเวณไหล่ข้างซ้าย เมื่อหันมองก็พบว่าเพื่อนตัวเล็กของเขาหลับไปเสียแล้ว เขาเปลี่ยนท่านั่งและประคองศีรษะของอีกฝ่ายมาวางบนตัก มือหนาลูบกลุ่มผมนิ่มอย่างเบามือ แสงอุทัยค่อยๆลับขอบฟ้า แม่บ้านมิโกะเดินมายังห้องโถงเห็นภาพตรงหน้าก็อดยิ้มไม่ได้ ร่างของสองเพื่อนรักนอนกอดกันกลมบนเสื่อทาเคมิ แสงสีส้มอาบร่างของทั้งคู่ให้น่ามอง หญิงวัยกลางคนไม่อยากระปลุกทั้งคู่จากความฝันแต่ถึงอย่างนั้นมือบางของหญิงสาวก็แตะเข้าที่ไหล่กว้างของนายน้อย
"นายน้อยคะ ตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ"
"ป้ามิโกะ... ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"ไม่ทราบเจ้าค่ะ อิฉันเจ้ามาที่นี่ก็เห็นนายน้อยกับคุณหนูหลับปุ๋ยแล้วเจ้าค่ะ"
"ว่าแต่น้ามิโกะมีอะไรหรอครับ ถึงได้มาเรียก" "คุณหนูตระกูลซากิมาขอพบนายน้อยเจ้าค่ะ"
ร่างระหงในชุดขนเฟอร์นั่งไคว่ห้างรออยู่ที่ห้องรับรอง คุณหนูซากิ เอริกะ ลูกสาวคนเดียวของตระกูลซากิ เป็นคู่หมั้นของนายน้อยแห่งโอนิซึกะ เธอชอบเซย์จิมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นลูกคนที่สองของคุณป้าฮโยรินกับคุณลุงทาคาชิ พี่ชายของเขาคือโคมะหรือจงอิน ที่แต่งงานกับคุณหนูตระกูลโด คุณหนูสัญชาติเกาหลีใต้ ตระกูลซากิและตระกูลโอนิซึกะเป็นคู่ค้ากันมาหลายสิบปี พ่อของเธอกับคุณลุงทาคาชิต้องการผลประโยชน์จากธุรกิจ ท่านทั้งสองจึงให้ลูกๆเป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงหาผลประโยชน์ ส่วนเอริกะนั้นไม่ได้หวังเงินทองจากโอนิซึกะ เธอหวังแค่จะได้ขั้นเป็นโอคามิซังของโอนิซึกะคนต่อไปเพียงเท่านั้นและได้รักกับผู้ชายที่ครบถ้วนไปด้วยหน้าตาและฐานะ
"สายัณห์สวัสดิ์ เอริกะ"
"เซย์จิ วันนี้เอริกะซื้อมันหวานมาฝากด้วยนะ มันหวานที่คุณชอบไง" มือบางยกถุงบรรจุมันหวานส่งให้ชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้ม เซย์จิรับมาและไม่ลืมกล่าวขอบคุณ ชาร้อนและจานกระเบื้องลวดลายสวยงามถูกยกมาวางบนโต๊ะญี่ปุ่น เธอเห็นเซย์จิเอ่ยอะไรบางอย่างกับสาวใช้ก่อนจะเบนหน้ากลับมาที่โต๊ะ ไร้บทสนทนาจนบรรยากาศน่าอึดอัด
"นายควรจะปลุกฉันนะเจ้าบ้า" เสียงหวานเอ่ยขึ้น คนทั้งสองหันไปตามเสียง คนหนึ่งกำลังยิ้ม และอีกคนกำลังทำหน้าสงสัยว่าผู้หญิงที่กำลังเดินเข้ามาเป็นใคร ทว่าเมื่อสายตาของทั้งคู่สบกัน ลู่หานเป็นฝ่ายยิ้มให้ก่อนและทักทาย
"สวัสดีค่ะ ฉันลีลู่หานค่ะ เป็นเพื่อนกับเจ้าบ้านี่"
"ฉันซากิ เอริกะค่ะ ยินดีที่ได้พบเพื่อนของเซย์จิค่ะ" เมื่อได้ยินฝ่ายนั้นแนะนำตัว เอริกะจึงยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจที่เป็นแค่เพื่อน
"นั่งลงก่อนสิ ฉันเรียกมากินมันหวาน เธอชอบไม่ใช่หรอ?" เซย์จิเอ่ยขึ้น หยิบมันหวานอุ่นๆหนึ่งชิ้นใส่จานให้เพื่อนตัวเล็ก ชากลิ่นหอมถูกเทใส่แก้วขนาดเล็กไว้จิบหลังทานเสร็จ
"หู้ย อยากกินอยู่พอดีเลยอ่ะ"
"เอริกะเขาซื้อมาน่ะ"
"ดีใจจัง ขอบคุณนะคะที่ซื้อมันหวานมาฝากเซฮุนมัน ฉันเลยได้กินด้วยเลย" มือเล็กหยิบมันหวานขึ้นกัดและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ได้สนใจคนที่กำลังมองอย่างเอ็นดู "หวานมากเลยค่ะ อร่อยมาก" ลู่หานยิ้มให้แขกของเพื่อน
"ดีใจที่เห็นคุณลู่หานชอบค่ะ เซย์จิเองก็ทานบ้างสิคะ ของชอบคุณเลยนะ"
"หื้ม? นายชอบกินมันหวานด้วยหรอ เมื่อวานคุณป้าซื้อมาไม่เห็นนายกินเลย" ลู่หานถามขึ้นด้วยความสงสัย
"ตอนเด็กๆน่ะใช่ แต่ตอนนี้ไม่ชอบเท่าไหร่"
"อ๋อ จริงสิ! เดี๋ยวฉันไปช่วยป้ามิโกะทำมื้อค่ำดีกว่า พวกนายจะได้คุยกัน คุณเอริกะเองก็อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันเลยนะคะ"
"ขอรบกวนคุณลู่หานด้วยนะคะ" เอริกะส่งยิ้มหวานหยดให้เพื่อนสนิทของว่าที่คู่หมั้น แต่เมื่อคล้อยหลังไปแล้ว เธอก็หุบยิ้มและเอ่ยถามเสียงแข็งกับลูกชายคนสุดท้องของตระกูลโอนิซึกะ "เพื่อนคุณหรอคะ?"
"อืม ลู่หานกับผมเป็นเพื่อนกันน่ะ"
"เซย์จินี่ตาถึงมากเลยนะคะ สวยหวานขนาดนั้น"
"เห็นแบบนั้นมือหนักอย่าบอกใคร" เซย์จิอมยิ้ม มือหนายกถ้วยชาขึ้นจิบ บุตรีของซากิสังเกตทุกท่าของของชายหนุ่ม เธอไม่เคยได้รับรอยยิ้มจากเขา ไม่เคยมีตัวตนในสายตาของเขา แต่ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนกลับได้รับมันไปทุกอย่าง มือบางที่วางบนตักบีบแน่น เอริกะเก็บอาการไว้ลึกสุดใจและระบายรอยยิ้มออกมาเป็นการเสแสร้ง
"พอดีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคุณพ่อของเอริกะกลับมาจากเดนมาร์กเย็นนี้ คงอยู่ทานข้าวด้วยไม่ได้แล้ว เอริกะฝากบอกคุณลู่หานด้วยนะคะ" ร่างระหงยืนขึ้นเต็มความสูงก่อนจะเดินออกไปจากบ้านหลังนี้ เซย์จิเองเมื่อเห็นว่าคู่หมั้นสาวไปแล้วจึงเดินมาที่ครัว เห็นร่างบางกำลังเดินวนไปมาอยู่หน้าครัว ผ้ากันเปื้อนสีเหลืองอ่อนดูเข้ากับลู่หาน เหมือนกับแสงสว่างในยามฟ้าหลังฝน เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แล้วที่เขาไม่สามารถละสายตาไปจากเธอได้
"อ้าว คุณเอริกะล่ะ?"
"มีธุระต่อน่ะ"
"เสียดายที่ไม่ได้ทานข้าวกับคุณเอริกะเลย" ลู่หานว่า สำรับถูกยกเสิร์ฟตามจำนวนผู้ร่วมโต๊ะ ตะเกียบเหล็กคีบข้าวเข้าปากตามด้วยปลาโซบะย่างเกลือ ใบหน้าหวานยู่ลงเล็กน้อยจนเซย์จิที่นั่งทานข้าวอยู่เงียบๆมองมาด้วยสายตาตำหนิ นายน้อยของบ้านและคุณหนูลีต้องทานข้าวกันเพียงสองคนเพราะ นายใหญ่ทั้งสองของบ้านไปออกงานสมาคม ส่วนพี่ชายและพี่สะใภ้ไปดูงานพร้อมฮันนีมูนที่ออสเตรีย คนเฝ้าบ้านก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก
"เมื่อไหร่ฉันจะได้ใส่กิโมโนแบบป้ามิโกะบ้างนะ คนญี่ปุ่นเนี่ยใส่อะไรก็ดูสวยไปหมด"
"อีกไม่นานเธอก็จะได้ใส่ พรุ่งนี้วันทานาบาตะ ที่ศาลเจ้าใกล้ๆนี่จัดงาน อยากไปมั้ยล่ะ" เซย์จิเสนอ คนฟังตาวาวได้ไม่ยาก วางถ้วยข้าวและตะเกียบลงเมื่อเจอสิ่งที่น่าสนใจกว่าปลาย่างเกลือ
"อยากสิ!"
"งั้น..ชนะเคนโด้ฉันให้ได้สิ ฉันจะพาไปเที่ยว"
"ตกลง!"
"นายน้อยจะออกไปไหนครับ มืดค่ำแบบนี้มันอันตราย" ยูมะเอ่ยห้ามนายน้อยของตนที่กำลังยืนแต่งตัวอยู่หน้ากระจก มือหนาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ก่อนจะหยิบอาวุธเหล็กสีดำเงาเหน็บที่เอวกางเกง สวมเสื้อสูททับอีกชั้นเพื่ออำพลางอาวุธ
"ผมแค่จะไปหาคุณนายมารุ น้ายูมะเลิกกังวลเถอะ" นายน้อยเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะเดินจากไป ทิ้งให้บอดิการ์ดคนสนิทที่ถูงสั่งไม่ให้ตามออกไปด้วยยืนมองด้วยความกังวลใจ แม้ว่าตอนนี้นายน้อยของเขาจะโตเป็นหนุ่มรูปงามที่เต็มไปด้วยทักษะการป้องกันตัวมากเพียงใด ในสายตาของชายวัยกลางคน นายน้อยก็คือเด็กชายที่ลูกน้องทุกคนในแก๊งหงส์ขาว
มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ไม่ใช่ปัญหาของเด็กหนุ่มวันสิบแปดปีที่สูงเกือบร้อยเก้าสิบ เซย์จิเบาเครื่องลงเมื่อถึงจุดหมาย ร้านของคุณนายมารุหรือน้ามารุ เพื่อนสนิทของคุณแม่ที่เปิดธุรกิจขายชุดกิโมโนและผ้าสำหรับตัดเย็บที่ถูกออกแบบลวดลายเองจากคุณน้า โชคดีที่เขาโทร.มานัดไว้ก่อนที่คุณน้าจะไปไหนเสียก่อน
กริ๊ง~ "ห้องเสื้อมารุยินดีต้อนรับค่ะ คุณเซย์จิใช่มั้ยคะ?"
"ครับ"
"คุณมารุรอที่ห้องรับรอง เชิญด้านในเลยค่ะ"
ก๊อกๆ "เชิญจ้ะ"
"สวัสดีครับคุณน้ามารุ"
"ตาเซย์จินี่เอง นั่งก่อนสิ วันนี้ลมอะไรหอบหลานรักของน้ามาที่นี่ได้กันจ๊ะ"
"ผม...ผมอยากได้กิโมโนสักชุด ของผู้หญิงน่ะครับ"
"ของผู้หญิงหรอจ๊ะ? เธอคนนั้นช่างโชคดีเสียจริงๆที่ได้รับกิโมโนจากเซย์จิหลานน้า" คุณนายมารุยิ้มปริม "อยากได้แบบไหนก็เลือกเอาเลยนะ เดี๋ยวน้าไปตรวจคุณภาพสินค้าก่อน" คุณน้าพาเขามาที่ห้องเสื้อที่เต็มไปด้วยกิโมโนหลายรูปแบบ เซย์จิเดินดูไปที่ละชุดอย่างตั้งใจ ในที่สุดเขาก็ได้ชุดกิโมโนที่น่าพอใจ
"ตาถึงนะเรา ลายนี้สวยมากทีเดียว" คุณนายมารุเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม เธอรับชุดดังกล่าวจากหลานชายไปพับ ใส่กล่องกระดาษสาอย่างบรรจง "น้าแถบกระเป๋าหูรูดให้อีกหนึ่งใบนะจ๊ะ ว่าแต่มีรองเท้าเกี๊ยะรึยัง"
"ผมคิดว่าเธอคงเดินไม่ได้หากใส่"
"ไม่ใช่คนญี่ปุ่นหรอกหรือ"
"เป็นคนจีนน่ะครับ"
"ถึงว่าล่ะว่าทำไมเซย์จิถึงได้เลือกลายดอกบ๊วย นี่ก็ค่ำแล้ว เซย์จิกลับบ้านเถอะ เดี๋ยวน้าจะส่งให้ในวันพรุ่งนี้"
"ขอบคุณครับ"
เซย์จิตื่นจึ้นมายามที่แสงแดดส่องผ่านบานหน้าต่างใบใหญ่ ชายหนุ่มมองไปรอบๆห้องก็แปลกใจที่วันนี้เพื่อนตัวเล็กไม่ได้เข้ามาปลุกอย่างเช่นวันก่อน มือหนาตวัดผ้าห่มออกจากตัว รีบเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายก่อนจะเดินไปที่ครัว
เหล่าแม่บ้านกำลังเตรียมอาหารสำหรับนายน้อยทั้งสองหันมองกันที่จุดเดียวเมื่อเห็นร่างสูงยืนจังก้าอยู่ที่ประตู ไม่มีใครเอ่ยถามสิ่งใดออกไป มีเพียงสายตาคมที่มองไปรอบๆบริเวณห้องเท่านั้น
"อรุณสวัสดิ์ค่ะนายน้อย มองหาคุณลู่หานอยู่หรือคะ? เธออยู่ที่ห้องเคนโด้กับยูมะค่ะ" แม่บ้านเก่าแก่เข้ามาพร้อมเอ่ยในสิ่งที่เด็กหนุ่มต้องการรู้ นายน้อยแห่งโอนิซึกะโค้งตัวให้เป็นการขอบคุณก่อนจะมุ่งไปยังห้องที่ใช่ในการเล่นเคนโค้
เสียงไม้กระทบกับบางสิ่งดังขึ้น เซย์จิแอบมองผ่านช่องประตูที่ไม่ได้ถูกปิดสนิท เห็นร่างบางในชุดเคนโดกิกำลังฟาดดาบไม้ไผ่ใส่ยูมะไม่ยั้งมือ ชายวัยกลางคนที่เปรียบเสมือนน้าอีกคนของเขาก็สามารถรับดาบได้ทุกครั้งที่ฟาดลงมา และคนที่เสียท่าในที่สุดก็คือลู่หาน
"ไม่มีใครห้ามนายน้อยไม่ให้เข้ามานะครับ เชิญเข้ามาเถอะ" คนถูกจับได้หน้าเสียไป มือหนาเปิดประตูออกกว้าง ทำให้สามารถเห็นร่างบางที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยเหงื่อตามใบหน้าผิดกับยูมะที่ยืนไม่ทุกข์ไม่ร้อน
"จะได้เวลากินข้าวแล้ว รีบไปอาบน้ำไป" เซย์จิเอ่ยเสียงเรียบ ลู่หานยื่นดาบไม้ไผ่คืนให้ชายวัยกลางคนก่อนจะเดินออกไปโดยไร้คำทักทายเพื่อนตัวสูง ยิ่งทำให้คนที่มาตามแปลกใจเข้าไปกันใหญ่
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารวันนี้ไม่ค่อยจะสดใสนัก ร่างสูงลอบมองเพื่อนสาวเป็นระยะแต่ก็ไร้ซึ่งความผิดปกติใดๆ มือเล็กยังคงคีบเนื้อเข้าปาก ในขณะที่เขาเองได้แต่คีบอากาศ
"จะเหม่ออะไรนักหนา ฉันกินจะหมดอยู่แล้วนะ" เนื้อในจานถูกคีบมาวางลงบนข้าวของเขา เสียงของลู่หานดึงเขาออกจากภวังค์ ดวงตากลมใสมองเขาด้วยสายตางงๆกับการกระทำของเขา
"ฉันจะแข่งเคนโด้กับนายหลังจากที่ข้าวในท้องฉันย่อย ฉันจะต้องชนะนายแน่นอน" ลู่หานยิ้ม
"ไม่มีทางหรอกยัยหนู"
"คอยดูแล้วกัน โอนิซึกะ เซย์จิ"
หลังมื้อเช้าเข้าที่เข้าทางแล้ว ลู่หานและเซย์จิก็มายืนประจันหน้ากันเป็นที่เรียบร้อย มีสมุนอีกกว่าสิบคนนั่งรอชมการแข่งขันในครั้งนี้ โดยมียูมะเป็นกรรมการยืนตรงกลางระหว่างทั้งคู่ ทั้งสองโค้งให้แก่กันก่อนจะเริ่มปะทะกันด้วยดาบไม้ไผ่
ด้วยส่วนสูงและพลกำลังของนายน้อยแห่งโอนิซึกะมาเหนือกว่าอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงกระนั้นทั่งคู่ก็ทำคะแนนได้ไล่เลี่ยกันมาตลอด เสียงดาบไม้กระทบกันดังก้อง ลู่หานตวัดดาบฟาดใส่ที่หัวของเพื่อนตัวสูง
ปึก! เซย์จิสามารถรับดาบของลู่หานได้ก่อนที่ลู่หานจะทำคะแนนนำตนได้อีก ลู่หานจิปากอย่างขัดใจ เพียงเสี้ยววินาที ชายหนุ่มตวัดดาบเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายที่เป็นจุดทำแต้มได้ รอยยิ้มแห่งชัยชนะจึงตกอยู่ที่ลู่หาน
"หมดเวลาแล้วครับ" ยูมะเอ่ย ทั้งคู่จึงลดดาบและเคารพกันตามกติกา
เซย์จิถอดหน้ากากออกผิดกับลู่หานที่ยืนนิ่ง ไหล่เล็กไหวเล็กน้อยตามแรง ชายหนุ่มจงส่งหน้ากากให้สมุนคนหนึ่งถือไว้ก่อนจะเข้าไปถอดของเพื่อนตัวเล็ก หยดน้ำสีใสเอ่อคลออยู่ที่ขอบตาและไหลลงมาอย่างแช่มช้า มือหนาเกลี่ยให้อย่างเบามือและดึงร่างเล็กมากอดเป็นการปลอบใจ
"ร้องไห้ทำไม?"
"ฉันไม่ได้ไปเที่ยวงานเทศกาลแล้วใช่มั้ย?"
"คิดมากหน่า ฉันก็ไม่ได้บอกหนิว่าถ้าเธอแพ้แล้วจะไม่พาไป"
"จริงนะ?"
"อืม ด้วยเกียรติของนายน้อยแห่งโอนิซึกะและเพื่อนของเธอเลย!" ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของสมุนหลายคน โอคามิซังที่ถูกวางไว้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในไม่ช้าเป็นแน่
ยูกาตะสีเข้มถูกสวมโดยร่างบางที่กำลังยิ้มให้ตัวเองอยู่ที่หน้ากระจก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใส่กิโมโนอย่างที่ฝันไว้ แต่แค่ยูกาตะชุดนี้ก็ทำให้เธอได้ลองใส่อะไรที่แปลกใหม่ ทุกครั้งที่ออกไปไหนมาไหนชุดลำลองมักจะถูกหยิบใช้มากกว่าสำหรับเธอ แต่ทุกคนในบ้านหลังนี้ยังคงสวมยูกาตะและกิโมโนอยู่เหมือนเสื้อผ้าที่ใช้เป็นประจำ ผมสำดำสลวยถูกเกล้าขึ้นเป็นมวยโดยแม่บ้านมิโกะ ลู่หานชื่นชมเธอมากในด้านการบ้านการเรือนและมักจะขอให้เธอช่วยสอนให้เพราะบ้านที่จีนนั้นหญิงสาวไม่ได้อยู่กับแม่ แม่ของเธอเสียชีวิตด้วยโรคร้ายตั้งแต่เธอยังเด็ก ความรักความอบอุ่นส่วนใหญ่จึงมาจากพ่อและคนในแก๊งมังกรทอง
"คุณหนูสวยมากจริงๆค่ะ สมัยลูกสาวอิฉันอายุเท่าคุณหนู อิฉันก็ทำทรงนี้ให้"
"จริงหรอคะ? ลูกสาวของคุณป้ามิโกะต้องสวยมากแน่ๆเลยค่ะ หนูขอบคุณมากนะคะสำหรับความช่วยเหลือ" ลู่หานโค้งให้ด้วยความเคารพ
"เป็นหน้าที่ของอิฉันอยู่แล้วค่ะ เสร็จแล้วลงไปด้านล่างกันดีกว่านะคะ นายน้อยคงรออยู่"
"จริงด้วยค่ะ" ร่างเล็กวิ่งลงไปยังชั้นล่าง เห็นร่างของเซย์จินั่งบนฟูกพร้อมนายใหญ่ทั้งสองที่นั่งจิบน้ำชายามบ่ายกันอยู่
"แต่งตัวสวยจะไปไหนจ๊ะหนูลู่หาน" ฮเยรินเอ่ยถามขึ้น ลู่หานเกาแก้มแก้เขินก่อนจะตอบไป
"หนูจะไปเที่ยวเทศกาลกับเซฮุนค่ะ"
"จริงสินะ วันทานาบาตะแท้ๆ ลืมไปได้ยังไงกัน แล้วนี่จะไปยังไงกันจ๊ะ"
"รถจักรยานของป้ามิโกะครับ" เซย์จิเป็นคนตอบ ทำเอาคนเป็นแม่ตกใจกับการเลือกเอาตัวเองไปเสี่ยงของลูกชายคนเล็ก แม้ว่าตระกูลโอนิซึกะจะมีอิทธิพลมากในประเทศแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคู่อริมาลอบทำร้าย
"ผมดูแลตัวเองได้ ดูแลลู่หานได้ครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วง" เซย์จิยืนยันหนักแน่ นายหญิงเห็นแบบนั้นก็คัดค้านอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้ลูกชายออกไปเที่ยวเล่นตามประสาวัยรุ่น
งานเทศกาลถูกจัดขึ้นที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านของเขาเท่าไหร่ ผู้คนมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เมื่อจักรยานจอดลงลู่หานก็ลงจากรถและมีสีหน้าตื่นเต้นที่จะได้มางานอะไรแบบนี้ มือหนาจูงจักรยานไปจอดไว้ที่ที่จอดก่อนจะจูงมือให้อีกคนเดินตามมา
เซย์จิพาเพื่อนตัวเล็กเดินฝ่าฝูงชนมาที่ตัวศาลเจ้า โชคดีที่ผู้คนบนนี้ไม่มากเหมือนที่ซุ้มกิจกรรมด้านล่าง เขาจึงปล่อยมือเธอและกล่าวขึ้นว่า
"ทำตามฉันนะ"
"อือ"
เพราะว่านี่เป็นการมาศาลเจ้าครั้งแรกของลู่หาน เซย์จิจึงต้องทำเป็นตัวอย่างเพื่อให้อีกคนปฏิบัติตนได้ถูกต้องตามจารีตประเพณี มือหนาใช้มือซ้ายถือกระบวยตักน้ำราดมือขวาก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นมือซ้าย หลังมือสะอาดแล้วเขาก็ใช้กระบวยอันเดิมตักน้ำใส่อุ้งมือซ้ายเพื่อบ้วนปากและล้างมือ หลังจากนั้นจึงล้างกระบวยโดยการตักน้ำและเทน้ำให้ไหลผ่านด้ามกระบวยให้หันเข้าทางตัวของตัวเอง ลู่หานทำตามไปได้อย่างเรียบร้อย
"ที่เราต้องล้างมือล้างปากก็เพื่อทำความสะอาดร่างกายของเราให้สะอาดกอนจะเข้าไปในที่ของเทพเจ้า"
"เป็นการปฏิบัติที่เคร่งครัดมากเลยนะเนี่ย ที่ศาลเจ้าบ้านฉันไม่เห็นต้องทำอะไรแบบนี้เลย"
"เพราะวัฒนธรรมมันไม่ได้เมื่อกันทุกที่ยังไงล่ะ" เซย์จิยิ้มก่อนจะเดินนำเข้าไปในศาลเจ้า ความร่มเย็นและกลิ่นหอมของเครื่องหอมลอยฟุ้งทำให้หญิงสาวรู้สึกสดชื่นและจิตใจมั่นคงมากขึ้น ลู่หานและเซย์จิมาหยุดลงที่หน้าศาล ชายหนุ่มล้วงเข้าไปในยูกาตะก่อนจะยื่นเงินห้าเยนมาให้เธอเธอ ร่างบางรับไว้และรอทำตาม
เซย์จิโยนเหรียญลงในตะแกรงจนเกิดเสียง มือหนาคว้าปลายเชือกตรงหน้าที่ผูกติดระฆังมาเขย่าสองทีก่อนจะปรบมือสองครั้งและขอพร เมื่อขอพรเสร็จ ชายหนุ่มจึงคำนับอีกครั้งเป็นอันสิ้นสุด
"คราวนี้ตาเธอแล้ว"
หลังขอพรเสร็จ ท้องของลู่หานก็เริ่มร้อง แต่เซย์จิยังไม่พาเธอไปเที่ยวงานด้านล่าง เขาพาเธอไปที่ต้นไผ่ที่มีกระดาษหลายสีสั้นผูกติดเต็มต้น โดยมีผู้ดูแลศาลเจ้าเป็นคนคอยให้ความช่วยเหลือ เขาบอกให้เธอยืนรอที่นี่ก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าไปเอากระดาษสีๆสองชุด หนึ่งชุดของเขาและอีกชุดของเธอ กระดาษหนึ่งชุดมีห้าสี คือ สีแดง สีฟ้า สีเหลือง สีเขียว และสีชมพู ลู่หานก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเป็นสีๆแบบนี้
"เซฮุน สีที่มันต่างกันหมายความว่าไงอ่ะ แล้วทำอะไรกับมัน"
"ให้เขียนคำอธิษฐานลงไปในกระดาษพวกนี้ สีฟ้าคือความสุข ความโชคดี สีแดงคือความสำเร็จ สีเหลืองคือความมั่งคั่ง สีเขียวคือความปราถนาในการเรียนการทำงาน และสีชมพูคือความรัก พอเขียนเสร็จแล้วก็เอาไปผูกกับต้นไผ่"
"เข้าใจแล้ว"
'ขอให้เงินทองไหลมาเทมา'
'ขอให้สอบติดม.โตเกียว มีงานทำมากๆขึ้นไป'
'ขอให้โชคดีตลอดปี'
'ขอให้ประสบความสำเร็จ'
และ
'ขอให้เซฮุนอยู่กับฉันตลอดไป' "ขอบคุณมากนะทาคาชิที่ช่วยดูแลลูกสาวให้" เจ้าพ่อใหญ่จากเมืองจีนโค้งให้เพื่อนสนิทที่อาสาเป็นคนดูแลลูกสาวของตนมาตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ลู่หานเองนั่งอยู่ข้างๆบิดาก็ได้แต่ยิ้ม เวลาตอนนี้คือตีสองกว่าๆ พ่อของเธอมาถึงญี่ปุ่นก็รีบมาหาเธอก่อนเพราะเครื่องที่จะบินกลับจีนกำลังจะออกในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า สัมภาระทุกอย่างถูกแพคใส่กระเป๋าโดยแม่บ้านมิโกะที่อาสาจะทำให้
"เดี๋ยวน้าไปเรียกเซย์จิมาบอกลาหนูก่อนนะจ้ะ" นายหญิงแห่งโอนิซึกะทำท่าจะลุก ลู่หานจึงห้ามไว้
"เดี๋ยวหนูขึ้นไปก็ได้ค่ะ" ลู่หานค่อยๆลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน มือบางค่อยๆเลื่อนประตูออกอย่างเบามือ ห้องของเซย์จิสว่างไปด้วยแสงเทียนจากตะเกียง บนที่นอนมีร่างของเจ้าของห้องกำลังนอนหลับสบาย ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
"เซย์จิ" หญิงสาวเอ่ยเรียกด้วยชื่อภาษาญี่ปุ่น นี่เป็นครั้งแรกที่เธอยอมเรียกเขาด้วยชื่อนี้ คนที่ถูกขานชื่อลืมตาขึ้นมา เป็นเพื่อนตัวเล็กที่นั่งเว้นระยะจากเขาพอประมาณกำลังมองเขาด้วยแววตาเศร้า เซย์จิลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอ่ยถาม
"มีอะไรรึเปล่า มาซะดึกเชียว นอนไม่หลับหรือไง"
"ฉันจะกลับจีนแล้วนะ แค่จะมาลานายน่ะ"
"กลับจีน? กลับกับใคร?"
"ป๊ามารับน่ะ ท่านเคลียร์งานเสร็จแล้วก็เลยแวะมารับก่อนจะกลับ"
"ฉันมีอะไรจะให้เธอด้วยนะ" เขาว่าก่อนจะลุกไปหยิบกล่องกระดาษสีชมพูนำมันมายื่นให้แก่เพื่อนตัวเล็ก "เห็นเธอบ่นว่าอยากใส่ ฉันเลยซื้อให้"
"กิโมโนหรอ?"
"อืม ฉันเลือกเองกับมือ หวังว่าจะชอบนะ"
"ขอบใจนะเซย์จิ" ลู่หานยิ้มแก้มปริ่ม "แล้วก็ยินดีด้วยนะเรื่องงานแต่งงานของนาย ฉันคงไม่มีโอกาสได้มาร่วม อวยพรไว้ก่อนแล้วกัน คุณเอริกะน่ะ สวยมากจริงๆเลยนะ ฉันดีใจที่นายได้ผู้หญิงที่ดีเป็นโอคามิซังนะ ฉันต้องไปแล้ว ลาก่อน" ลู่หานโค้งให้อีกฝ่ายก่อนจะลุกแล้วเดินออกมา ทิ้งให้คนที่อยู่ในห้องได้แต่มองตาม เขารั้งเธอไว้ไม่ได้ไม่ว่าจะฐานะใดก็ตาม ลู่หานยังจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นไป ไม่ใช่กับคนที่วันๆเอาแต่เล่นแบบเขา น้ำอุ่นๆไหลอาบข้างแก้ม เซย์จิไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ตอนไหน มือหนาเช็ดน้ำตาบนใบหน้า เขาขยับไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือและมองลงไปด้านล่าง เสียงรถยนต์คันหรูดังขึ้นและเคลื่อนหายออกไปจนลับสายตา
โอนึซึกะ เซย์จิในวัยยี่สิบสี่ปีพร้อมกับภรรยาเดินเข้าไปในงานสมาคมที่แสนน่าเบื่อ มันน่าเบื่อสำหรับเขาแต่ไม่ใช่เอริกะ ภรรยาที่ใครต่อใครก็ต่างกล่าวว่าดีอย่างนั้นอย่างนี้ คงจะเว้นเขาเพียงคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยแบบนั้น เขาและเธอต่างคนต่างทำงาน เราไม่ได้มีเวลาให้กันเมื่อที่เขาเคยเห็นจากคุณพ่อคุณแม่ หรือพี่ชายและพี่สะใภ้ ใช่ว่าทุกคู่ที่แต่งงานกันไปจะมีความรักยาวนานแบบนั้น เขาคงเป็นแบบนั้นแน่นอน
"ท่านโซเรียว ผมยินดีที่คุณมา" ชานยอลพร้อมภรรยาสาวเอ่ยทัก ผู้ชายคนนี้เป็นหุ้นส่วนของธุรกิจนำเข้านาฬิกาของเขา คู่สามีภรรยาชาวเกาหลีคู่นี้เพิ่งแต่งงานกันเมื่อปีก่อนแต่ก็สามารถผลิตทายาทคนต่อไปได้สำเร็จ ท้องนูนของคุณนายปาร์คใหญ่ขึ้นมาก และคงจะมีข่าวดีในเร็วๆนี้
"สวัสดีครับ ผมเองก็ยินดีที่ได้พบคุณทั้งคู่ รวมถึงทายาทตัวน้อยของพวกคุณด้วย"
"ครับ อีกไม่กี่เดือนเขาก็จะออกมาแล้ว ต้องหล่อเหมือนผมแน่ๆ" ชานยอลว่าพลางกระชับกอดภรรยาตัวเล็ก
"ดิฉันว่าเราไปนั่งที่โต๊ะดีกว่าค่ะ แล้วคุณเอริกะล่ะคะ"
"เธอไปนั่งกับเพื่อนครับ ผมว่าเราไปดีกว่า" เซย์จิเอ่ย
แขกในงานเริ่มมากันมากขึ้น เขาเองก็ไม่ได้สนใจใครมากอยู่แล้วจึงไปแต่นั่งเรียบๆอยู่ที่โต๊ะ ไม่นานงานที่เวทีก็เริ่มขึ้น มีพิธีกรขึ้นไปกล่าวดำเนินรายการอะไรหลายอย่างซึ่งเขาไม่ได้สนใจอีกตามเคย มือหนายกน้ำเปล่าขึ้นจิบหลังจากจัดการกับผลไม้หลังอาหารคาวเป็นการล้างปาก
"นี่แบค เมื่อไหร่เพื่อนของแบคจะแสดงล่ะ ชานอยากเห็นจะแย่แล้วนะ"
"ใจเย็นๆสิ เดี๋ยวก็มาแล้ว นั้นไงๆ"
เสียงเครื่องดนตรีญี่ปุ่นดังขึ้น ผู้คนเงียบลงและฟังอย่างตั้งใจ เซย์จิเผลอมองบนเวที เขาเห็นร่างบางในชุดกิโมโนสีชมพูอ่อนลายดอกบ๊วยเต็มผืนกำลังเล่นโคโตะ แขกเหรื่อในงานชอบมากเช่นเดียวกับเขา ผู้หญิงคนนั้นสามารถทำให้เขาละสายตาจากเธอไปไม่ได้
"สุดยอดเลยนะ ขนาดฝึกได้เดือนเดียวเอง"
"ลู่หานก็เก่งแบบนี้แหละ หลังจากแสดงเสร็จเดี๋ยวคงกลับเลย เห็นว่าช่วงนี้อาการกำเริบน่ะ"
"ใครหรอครับ?" เซย์จิเอ่ยถามพลางมองไปทางเวที
"ลู่หานค่ะ เพื่อนดิฉันเอง เห็นน่ารักๆแบบนั้นแต่ยังไม่มีแฟนนะคะ นั้นไงคะ มาแล้วๆ" แบคฮยอนกวักมือเรียกเพื่อนสาวที่อยู่ในชุดราตรีสีชมพูอ่อน ใบหน้าหวานเมื่อหกปีก่อนยังเหมือนเดิม ร่างกายก็ดูมีน้ำมีนวลมากกว่าเมื่อก่อน
"นี่คุณโอนิซึกะ เซย์จิ เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของชานยอล ส่วนคุณเซย์จิคะ นี่ลู่หาน ดาราชาวจีนที่กำลังเป็นที่นิยมค่ะ"
"ไม่เจอกันนาน สบายดีมั้ย?" ลู่หานทักทายด้วยรอยยิ้ม
"ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่แย่ เธอล่ะ?"
"สบายดี ฉันสบายดี"
"ไปรู้จักมักจี่กันตั้งแต่ตอนไหนคะ" แบคฮยอนถามขึ้นด้วยความสงสัย
"เพื่อนสมัยเด็กน่ะ" ทั้งคู่ตอบพร้อมกัน ก่อนที่ลู่หานจะหัวเราะออกมา พวกเขาทั้งคู่ยิ้มให้กัน เซย์จิจึงขออนุญาตพาเพื่อนตัวเล็กที่ไม่ได้เจอกันนานไปหาที่คุย มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวและพวกเขาไม่อยากให้ใครรู้
ระเบียงด้านนอกไร้ผู้คน กลิ่นหอมจากดอกไม้ฟุ้งกระจายไปทั่ว สายลมพัดให้กลุ่มผมยาวสลวยปลิวพลิวไปกับลม มือเล็กจับผมของตัวเองมาทัดหู
"แต่งงานแล้ว ดีใจด้วยนะ"
"อืม ฉันไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่หรอกนะกับการแต่งงานเพื่อธุรกิจเนี่ย"
"ทำไมล่ะ ป๊าม๊าของฉันก็แต่งงานเพราะธุรกิจ พวกท่านรักกันมากเลยนะ ยิ่งตอนที่ม๊าเสีย ป๊าเอาแต่มองรูปม๊าทั้งวันเลย"
"คุณอามี่จางออกจะน่ารักขนาดนั้น ถ้าฉันเป็นป๊าก็ต้องรักอยู่แล้วล่ะ แต่เอริกะไม่ได้ครึ่งหนึ่งของคุณอาด้วยซ้ำ เธอชอบจะออกไปทำงานมากกว่าอยู่บ้านคอยต้อนรับสามีแบบที่แม่ทำให้พ่อ"
"โลกมันเปลี่ยนไปแล้วนะเซฮุน"
"แต่ฉันไม่ได้อยากจะมีฐานะร่ำรวยอะไรแบบนั้น ฉันต้องการแค่ครอบครัวที่อบอุ่น อยากมีหลานให้แม่อุ้ม อยากมีเวลาว่าง ไม่ใช่เอาแต่ทำงานๆ ฉันไม่มีความสุขเลยนะลู่หาน"
"โธ่! เพื่อนของฉัน" มือบางตบเบาๆที่ไหล่กว้าง
ภาพของชายหญิงคู่นั้นยังอยู่ในสายตาของเอริกะ การแต่งงานกันมาเกือบสองปีทำให้รู้ว่ายังไงเธอก็ไม่ใช่คนที่นายน้อยแห่งโอนิซึกะเลือก ผู้หญิงคนนั้นคือคนที่เขาเลือกมาแล้วตลอดหกปีที่ผ่านมา เขายังคงเป็นเขา โอนิซึกะ เซย์จิที่ผู้หญิงทั่วทั้งเมืองหมายปองยกหัวใจให้ดาราชาวจีนคนนั้นไปทั้งสี่ห้องหัวใจ แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานานแค่ไหนเขาก็ยังไปเคยเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่เปลี่ยนไปเลย
"เราหย่ากันเถอะค่ะ" เอริกะเอ่ยขึ้นหลังจากที่เซย์จิออกมาจากห้องน้ำ เขางุนงงเล็กน้อยกับสิ่งที่เธอพูด โอคามิซังจ้องหน้าอีกฝ่ายตรงๆ ไม่มีท่าทีเล่นๆในสายตาคู่นั้น เธอตัดสินใจดีแล้วว่าควรจะทำอย่างไรกับชีวิตคู่ที่ไม่พังก็เหมือนพังของตัวเอง มันไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผู้ใหญ่หลายคนพูดไว้ว่า แต่งๆกันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง ไม่มีสักครั้งเลยที่เซย์จิจะรู้สึกรักเธอ
"เอริกะมาคิดๆดูแล้ว เราไม่เคยรักกัน มีแต่เอริกะฝ่ายเดียวที่รักเซย์จิมาตลอด"
"เธอคงหมดความอดทนแล้วสินะ"
"จะว่าใช่มันก็ใช่ค่ะ แต่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดคือเซย์จิรักคุณลู่หาน รักไปทั้งหัวใจของคุณ และเอริกะก็อยากให้คุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตรงกับใจของคุณ"
"ขอโทษนะ ฉันรักเธอไม่ได้จริงๆ"
"เอริกะเข้าใจค่ะ ฮึก เข้าใจเซย์จิทุกอย่าง" เอริกะพยายามกลั้นน้ำตาแต่มันก็ห้ามไม่ได้ มือเล็กปาดน้ำตาออกอย่างลวกๆก่อนจะยิ้มให้คนที่รัก แขนแกร่งโอบกอดภรรยาและปลอบประโลมด้วยความสงสารปนกับรู้สึกผิด แต่เขารักเอริกะไม่ได้จริงๆ
"ขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ"
ข่าวการหย่าร้างของโอนิซึกะโซเรียวและภรรยาถูกตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับในหลายวันต่อมา ชี้แจงเกี่ยวกับการเลิกราในครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะมือที่สามหากแต่เป็นเรื่องการใช้ชีวิตคู่ของคนทั้งสองเข้ากันไม่ได้ ซึ่งนับว่าเป็นการจากกันด้วยดี นักข่าวหลายสำนักเองก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของสองแก๊งใหญ่ในประเทศ
พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายเองก็ต่างขอโทษขอโพย โดยเฉพาะแม่ของเขาที่ค่อนข้างจะเสียดายลูกสะใภ้คนนี้ เพราะถึงแม้ว่าเอริกะจะไม่ใช่แม่บ้านแม่เรือนแต่การงานนั้นมั่นคงและเป็นที่ยอมรับ แต่ที่ยอมไปนั้นก็เพราะความสุขของลูกย่อมมาเหนือสิ่งใด
"แม่ไม่เห็นจะต้องทำหน้าแบบนั้นใส่ผมเลย อย่างอนเลยนะครับ" เซย์จิออดอ้อนให้มารดายอมหายโกรธตน
"แม่โกรธ ลูกสะใภ้ดีๆแบบนั้นจะหาได้จากที่ไหนอีก ทำไมไม่รักน้องเขาหน่อยเล่า ลูกคนนี้หนิ"
"ผมรักคนอื่นไปแล้วครับ จะให้ผมรักเอริกะได้ยังไง"
"รักคนอื่นไปแล้ว! แม่นั่นเป็นใครกัน?" ฮเยรินฉุนกึก
"ลูกสาวคุณอามี่จางกลับ ผมตกหลุมรักเธอเมื่อหกปีก่อน"
"ลูกสาวของมี่จาง.. ลีมี่จาง.. หนูลู่หาน" คุณนายนึกถึงความหลัง "หนูลู่หานหรอ!?"
"ครับ ลู่หาน แม่ดอกกุหลาบของคุณนายไงครับ"
"แล้วทำไมไม่บอกแม่ แม่จะได้ไปขอถูกคน" พอได้ยินว่าเป็นลู่หาน ใบหน้าบูดบึ้งของคุณนายใหญ่แห่งโอนิซึกะก็ยิ้มได้ เธอดีใจเหลือเกินที่ลูกชายคนเล็กไม่ไปคว้าผู้หญิงที่อื่นมาทำเมีย
"ขออนุญาตครับ มีจดหมายจากท่านฮานเกิงครับ" มารุยื่นซองจดหมายสีน้ำตาลให้แก่โซเรียวคนปัจจุบัน เซย์จิเปิดอ่านข้อความด้านใน เหมือนโลกทั้งใบของเขากำลังจะดับมืดลงไปอย่างไรอย่างนั้น ฮเยรินเองที่เห็นท่าทีของลูกชายเปรียบไปจากรีบหยิบจดหมายไปอ่านเอง
"ฉันจะเป็นลม"
ร่างบางบนเตียงยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล หลังจากกลับมาจากญี่ปุ่น ดาราสาวเกิดอาการทรุดตัวเพราะโรคร้าย ลู่หานเป็นลูคีเมียระยะสุดท้าย เธอไม่เคยบอกใครแม้แต่พ่อของตัวเอง เซย์จิที่เพิ่งมาถึงจีนรีบมาที่โรงพยาบาลที่เพื่อนสาวรักษาตัว มีการ์ดคอยคุ้มกันแน่นหนา เมื่อเห็นว่าเป็นโซเรียวหนุ่มก็เปิดทางให้เข้าไปพบนายหญิงที่เป็นที่รักของทุกคนในแก๊งมังกรทอง
ทันทีที่ได้พบ เซย์จิทิ้งกระเป๋าเดินทางและเดินมาหาคนบนเตียงพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้น มือหนากระชับมือบางไว้แน่น ใบหน้าซีดเซียวยังคงความเยาว์วัยไว้ แม้จะทรุดโทรมลงไปมากเพียงใดแต่ทุกอย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลง แรงบีบที่ส่งไปถูกส่งกลับมา แรงบีบน้อยๆที่บริเวณหัวแม่มือทำให้เซย์จิรีบปาดน้ำตาและจ้องมองอย่างมีความหวังว่าคนตัวเล็กจะฟื้นขึ้นมามองหน้าเขา
เปลือกตาสีมุกค่อยๆลืมขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนของตนจึงยิ้มให้ มือเล็กที่ถูกกอบกุมเอาไว้กระชับแน่นขึ้น ลู่หานสังเกตเห็นว่าขอบตาของเซย์จินั้นบวมเพราะการร้องไห้ การร้องไห้ที่เป็นต้นเหตุมาจากเธอเอง หญิงสาวพยายามดันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่งเพื่อที่จะได้คุยกับคนที่มาเยี่ยมได้สะดวกๆแต่ก็ถูกห้ามเพราะเขาเองอยากให้เธอนอนพักมากกว่า
"มาคนเดียวหรอ? แล้วคุณเอริกะล่ะ" ลู่หานถามด้วยความสงสัยที่ไม่เห็นผู้หญิงสวยเก่งอย่างคุณเอริกะมาด้วย
"ฉันหย่ากับเขาไปแล้ว เราจากกันด้วยดี"
"ทำไมถึงหย่าล่ะ เขาออกจะรักนายขนาดนั้น"
"เพราะฉัน... ฉันรักเธอ" ราวกับโลกหยุดหมุน ดาราสาวนิ่งไปหลังจากที่ได้ยินคำสารภาพรักจากเพื่อนตัวสูง เธอคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินมันในเวลาเกือบจะท้ายสุดของชีวิต นั้นอาจจะเป็นพรที่พระเจ้าประทานให้ในวันที่โชคร้ายเพื่อให้มนุษย์ยังมีความหวัง ลู่หานร้องไห้ออกมาเงียบโดยมีเซย์จิที่ปลอบประโลมอยู่ข้างๆ โซเรียวหนุ่มกระชับกอดหญิงที่รักให้แน่นขึ้น เขาคิดถึงเธอมาตลอดหกปี หกปีที่ไม่ได้พบหน้า ไม่ได้ยินเสียง
แหวนเพชรเม็ดงามบรรจงสวมให้กับหญิงสาวอันเป็นที่รัก ริมฝีปากบางประทับบนมือเล็ก นั้นเป็นการแต่งงานที่ออกจะกะทันหันและรวบรัด แต่เซย์จิขำเป็นต้องทำแบบนี้ เขาเสียลู่หานไปไม่ได้ เสียลู่หานไปไม่ได้อีกแล้ว
"เราเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ ฉันดีใจที่เธอไม่ปฏิเสธความรักของฉัน ฉันจะรักษาเธอให้หาย เราจะได้อยู่ด้วยกัน ได้เป็นครอบครัวเดียวกัน" ชายหนุ่มเอ่ยไปร้องไห้ไป มือบางจึงเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาให้โซเรียวหนุ่ม
"อย่าร้องไห้สิ นายต้องเข้มแข็งนะ" ถึงแม้ว่าจะเอ่ยอย่างนั้นแต่ในใจของลู่หานเองก็เศร้าหมองไม่แพ้กัน เธอจึงพยายามละความเศร้าเหล่านั้นไว้และยิ้มให้กับชายหนุ่มข้างกาย "ฉันอยากใส่ชุดสวยๆจัง ตอนที่นายขอแต่งงาน พรุ่งนี้เช้าเราแต่งงานกันอีกรอบได้มั้ย"
"ได้อยู่แล้ว ถ้าเธอต้องการแบบนั้น"
"ใจดีที่สุด แล้วคืนนี้จะไปพักที่ไหนล่ะ?"
"ฉันจะอยู่กับเธอ จะนั่งเฝ้าไม่ให้คลาดสายตาเลย"
ในเช้าวันรุ่งขึ้น ช่างแต่งหน้าทำผมหลายคนเข้ามาที่นี่เพื่อแต่งตัวให้กับเจ้าสาว ใบหน้าซีดเซียวนั้นเต็มไปด้วยความสดใส พ่อแม่และญาติคนสนิทของทั้งคู่มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันนี้ด้วย ลู่หานเลือกใส่กิโมโนที่เซย์จิเป็นคนซื้อให้ในวันนี้ ผมถูกเกล้าขึ้นเป็นทรงตามสมัยนิยม ส่วนเจ้าบ่าวเองก็ใส่กิโมโนเช่นเดียวกัน
พิธีวิวาห์เรียบง่ายนี้ถูกจัดขึ้นที่ห้องผู้ป่วยในโรงพยาบาล คุณหมอและพยาบาลที่คอยดูแลรักษาดาราสาวก็ถูกเชิญให้ร่วมเป็นพยานรักด้วยเช่นกัน
หลังเสร็จพิธี เหล่าญาติและพ่อแม่ปล่อยให้ทั้งคู่ได้อยู่ด้วยกันสองคน ศีรษะเล็กเอนซบไหล่กว้างและยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆแต่ก็มากพอสำหรับลู่หานแล้ว
แค๊กๆ มือบางรีบปิดปากแล้วเข้าไปในห้องน้ำ หาทิษชูมาเช็ดมือที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงก่อนจะล้างมือและปากของตน เธอคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้วสินะ
"เป็นอะไรรึเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีแล้วนะ"
"ไม่เป็นไรหรอก แค่เจ็บคอนิดหน่อยเอง ว่าแต่.. นายวางแผนชีวิตครอบครัวเอาไว้ว่าไงบ้างล่ะ?"
"อืมม.. ฉันว่าจะมีหลานให้แม่สักสองคน อยากให้เป็นผู้ชายคนนึง ผู้หญิงคนนึง จะได้คอยดูแลแม่ของพวกเขา พวกเขาจะต้องโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีเพราะมีเธอคอยสอนพวกเขา ออกจะเผด็จการไปหน่อย แต่ก็เพราะฉันหวังดี" มือหนาลูบกลุ่มผมนิ่มไปด้วยเล่าไปด้วยอย่างรักใคร่
"ดีจัง อีกไม่นานฉันก็คงต้องไปตามหาแม่บนฟ้าแล้วล่ะ ฉันคิดถึงท่านเหลือเกิน"
"เธอจะทิ้งฉันไปงั้นหรอ.."
"ฉันจะไปทิ้งให้นายอยู่คนเดียวได้ยังไง ฉันจะอยู่ในนี่" มือบางแตะที่อกด้านซ้ายของโซเรียวหนุ่ม "ในหัวใจของนาย อยู่ตลอดไปจนกว่านายจะเลิกรักฉัน ส่วนนายเองก็จะอยู่ในใจของฉันเหมือนกัน"
"ลู่หาน..."
"ฉันรักนายนะ รักมาตลอดหกปี ขอโทษที่ไม่อาจจะอยู่เคียงข้างนายได้ อึก ฉันโชคดีเหลือเกินที่ได้พบเซฮุน อึก อั๊ก!" ของเหลวสีแดงไหลลงตามมุมปากและจมูกเล็ก เซย์จิรีบคว้าที่เรียกหมอแต่ลู่หานห้ามไว้ เธอส่ายหน้าและขอให้เขานั่งลงข้างๆ มือเล็กกำมือของเขาไว้แน่น
"ฉัน..ฉันอยาก..ให้นาย อึก เข้มแข็ง..อย่าร้องไห้..นะ ฉัน..รัก อึก นาย" เสียงหวานพูดอย่างแผ่วเบาและเงียบไปหลังจากเอ่ยประโยคสุดท้าย เปลือกตาสีมุกปิดลงอย่างแช่มช้าเพื่อมองคนที่รักให้ได้นานที่สุด ร่างไร้ชีวิตของดาราสาวถูกกระชับกอดแน่นก่อนจะวางร่างบางลงบนเตียง เซย์จิเดินออกมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง เหล่าญาติที่รออยู่ด้านนอกเห็นก็พากันร้องไห้ คนที่เสียใจไม่แพ้กันคือนายใหญ่ของแก๊งมังกรทอง ฮานเกิงเดินเข้าไปตบบ่าลูกเขยเพื่อให้กำลังใจแม้ใจของเขาเองก็กำลังแตกสลาย โซเรียวหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับพื้นก่อนโค้งให้เขาด้วยความเคารพและเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
"ผมขอโทษครับ ขอโทษที่รักษาลู่หานไว้ไม่ได้"
"นั่นไม่ใช่ความผิดของเธอ พ่อหนุ่ม คนเรานะมีพบก็ต้องมีจาก ลู่หานก็แค่ไปรอเธออยู่บนนั้น เหมือนกับที่ภรรยาของฉันอยู่บนนั้น"
"..."
"ลู่หานจะอยู่ในใจของเธอ เซย์จิ"
'ฉันจะไปทิ้งให้นายอยู่คนเดียวได้ยังไง ฉันจะอยู่ใน ในหัวใจของนาย อยู่ตลอดไปจนกว่านายจะเลิกรักฉัน ส่วนนายเองก็จะอยู่ในใจของฉันเหมือนกัน'
"ผมเข้าใจแล้วครับ"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in