ผมเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนของบริษัทแห่งหนึ่งในโซล เงินเดือนก็แค่พอใช้ตลอดเดือนๆหนึ่ง เหลือก็เก็บไปฝาก
ผมไม่ได้เก่ง เรียกว่าไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างจะดีกว่า นอกจากงานอดิเรกแสนธรรมดาอย่างการวาดรูปแล้ว ผมก็...ไม่คิดว่ามีอะไรดี
เรียนจบมาก็มาสมัครงานที่นี่และทำงานมาได้สามเดือน ผมเริ่มเบื่อสภาพชีวิตตอนนี้แล้วสิ ผู้คนรอบข้างมีแต่พวกสวมหน้ากาก ขี้ประจบ จอมนินทา บ้างาน วนลูปอยู่แค่นี้
ชีวิตผมตอนนี้เหมือนกระดาษสีเทาเรียบๆ ไร้สีสัน มีแต่ความหม่นหมอง ไร้ชีวิตชีวาเป็นที่สุด
"โอเซฮุน ผู้จัดการเรียก"
พนักงานหญิงคนหนึ่งเรียกผม ไม่พ้นที่จะต้องโดนไปตักเตือนเรื่องความสะเพร่าในการทำงานของผม สามเดือนมานี้ ครั้งนี่เป็นรอบที่ยี่สิบที่ต้องไปนั่งปั้นหน้านิ่งต่อหน้าเจ้านาย และฟังเสียงบ่นของผู้มีประสบการณ์การทำงานอย่างเบื่อหน่าย
เป็นไปอย่างที่คิด เขาพูดตักเตือนผม เขาบอกจะไล่ผมออกถ้ามีอีกครั้ง หึ! ผมเห็นเขาพูดแบบนี้มาหลายรอบแล้วแต่ไม่เคยไล่ผมออกเสียที ก็แค่คำขู่ไร้ความเกรงขาม
ผมหอบเอกสารกองโตกลับมาที่โต๊ะของตัวเองอีกครั้ง โต๊ะแสนรกที่มีแต่งานทับถม ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจหรืออะไรหรอกนะ งานที่ผู้จัดการให้กลับมาแก้ต่างหากล่ะ
เป็นเวลาทุ่มครึ่งกว่าผมจะได้ย่างกรายออกจากบริษัทแห่งนี้ คนวัยทำงานต่างตั้งวงสังสรรค์ในเย็นวันศุกร์นั้นเป็นเรื่องปกติ ร้านปิ้งย่างและร้ายข้างทางก็ดูจะกำไรดีกันถ้วนหน้าในวันสุดท้ายของการทำงาน ผมอิจฉาพวกเขาจัง
การฝากท้องกับรามยอนเป็นเรื่องปกติสุดๆของผม ผมกินมันซ้ำอยู่แบบนี้นานหลายอาทิตย์ รสชาติเดิมๆ ยี่ห้อเดิมๆ ผมทนกับมันได้ไงกัน อย่างน้อยก็น่าเบื่อน้อยกว่าที่ทำงานของผมแล้วกัน
ติ้งหน่อง~ออดประตูห้องผมดังขึ้นพ่วงด้วยผู้มาเยือน คุณยายวัยเจ็ดสิบข้างห้องกับแอบเปิ้ลแดงสองสามลูก ท่านทำแบบนี้เสมอตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ
"ยายเอามาให้น่ะ ช่วงนี้ดูซูบๆไปนะพ่อหนุ่ม"
เธอยิ้มด้วยความจริงใจและยื่มผลไม้มา ผมรับมันและยิ้มกลับไป
"ช่วงนี้ยุ่งๆครับ งานไม่ลงตัว"
"ดูแลสุขภาพด้วยนะพ่อหนุ่ม ยายไปล่ะ"
เธอตบแขนผมเบาๆเชิงให้กำลังใจก่อนจะกลับห้องไป ผมคิดว่าคุณยายคนนี้จะต้องเป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวของผมเป็นแน่
ท้องฟ้ายามค่ำคืนดูมืดไป ไร้แสงจากดวงดาว ผมเห็นแค่พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ลอยเด่นบนนั้น หรือเพราะว่าแสงไปจากตึกรามบ้านช่องมันสว่างจนบังแสงดวงดาวไปหมด
การมายืนมองท้องฟ้าตอนนี้ทำให้ผมคิดถึงใครบางคนที่จากไปแสนนานขึ้นมา ผมเคยขอพรกับดาวตกให้เขากลับมา แต่ดูเหมือนว่าดาวตกดวงนั้นกลับพาเขาหายไปเลยจากชีวิตผม ช่วงแรกๆผมพยายามหาทางติดต่อกับเขาทุกวิธี แต่ที่ผมทำมันไร้ประโยชน์ที่สุดมีแต่ผมที่เหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียว
ฉันอยู่ข้างนายเสมอนะ สู้ๆเหมือนเสียงกระซิบข้างหู ผมหันไปทั้งๆที่รู้ว่ามันว่างเปล่า คนๆนั้นไม่อยู่ตรงนี้เป็นแน่ ตอนนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว ผมคิดว่าผมไปนอนดีกว่า
ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันเสาร์ เสียงเม็ดฝนกระทบกับหลังคาบ้านตรงข้ามทำให้ผมรู้ว่าฝนตก ผมแง้มผ้าม่านมองสภาพอากาศด้านนอก
คุณพระช่วย!นอกหน้าต่างเป็นท้องฟ้าทั้งหมด ไม่มีฝนแม้แต่หยดเดียว ผมตบหน้าตัวเองแรงๆหนึ่งที แต่ก็พบว่ามันคือความจริง สายลมพัดเอื่อยๆด้านนอกนั่นทำผมสดชื่นจริงๆ แต่เพราะความสงสัยของผมมันยังไม่หมดแค่นั้น ผมลองเปิดประตูออกมาข้างนอก มีเพียงปุยเมฆจับตัวกันเป็นก้อนๆ ผมลองยื่นขาไปเหยียบเมฆก้อนที่ใกล้ที่สุด อย่างที่คิด เมฆมันคือไอน้ำที่ลอยจับกลุ่มกันแค่นั้น แน่นอนว่าเท้าข้างหนึ่งที่ผมเหยียบลงไปมันไร้การรองรับ ผมจึงกลับเข้าห้องไปตามเดิม
ติ้งหน่อง~ยังไม่ทันที่ผมจะหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ เสียงอออดประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมเดินกลับไปที่ประตูและเปิดต้อนรับผู้มาเยือน
“จำฉันได้มั้ย?”
"ซูจองนูน่า นั้นนูน่าใช่มั้ย" ผมขยี้ตาให้แน่ใจ ผู้หญิงผมยาวสีวอลนัทยืนส่งยิ้มให้ผม สุดท้ายก็ได้พบกันเสียที
"นูน่าหายไปไหนมาครับ ผมติดต่อเพื่อนนูน่าไม่เห็นมีใครบอกอะไรผมเลย"
"ขอโทษนะที่ทำให้เธอลำบาก อย่าตามหาฉันอีกเลย มันจะทำให้เธอเสียเวลาเปล่าๆ" ซูจองนูน่าบอก เธอหมดรักผมแล้วงั้นหรอ ทำไมกัน
"ฉันรักเธอเสมอนะเซฮุน แต่ฉันไม่ใช่คนที่เธอจะอยู่ไปด้วยตลอดชีวิตที่เหลือของเธอ ตัดใจจากฉันซะ คนๆนั้นยังรอที่จะเจอเธออยู่นะ" ราวกับอ่านความคิดของผมได้ ประโยคที่เธอพูดออกมาแฝงความหมายลึกๆข้างใน ผมไม่รู้และไม่อยากจะรับรู้อะไรทั้งนั้น
"คนๆนั้นรักเธอมากกว่าฉันอีกนะเซฮุนน่า"
นั้นเป็นประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนจะดับวูบไป
โรงพยาบาล, 13.00 น.
ผมสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา กลิ่นยาคละคลุ้งทำเอาผมฉุน ผมมองไปรอบๆก็จะพบว่าตัวเองกำลังนอนให้น้ำเกลือในโรงพยาบาล ผมต้องใช้เครื่องช่วยหายใจในการต่อลมหายใจของผม เสื้อผ้าที่ใส่ก็ชุดคนไข้ของโรงพยาบาล...
จิตเวชเสียงประตูห้องดังขึ้นทำให้ผมแกล้งหลับ การลงน้ำหนักเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งทำให้ผมใจเต้นแรง
"อาการปกติดีทุกอย่าง แต่สงสัยยานอนหลับอาจแรงไป คุณพยาบาลกลับไปทำงานต่อเถอะครับ ผมขออยู่ดูอาการคนไข้สักพัก"
น้ำเสียงแสนอบอุ่นที่ผมได้ยินคงจะหน้าตาดีใช่ย่อย แต่อยู่ๆ มือนุ่มๆของหมอคนนั้นก็ลูบผมของผมเบาๆ และไม่นานนัก มือนุ่มนั้นก็ผละออก ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินออกไป
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ที่นี่เงียบสงบ สงบมากเหมือนผมกำลังอยู่ตัวคนเดียว แต่ก็ดูสงบได้ไม่นาน เสียงครึกโครมด้านนอกก็ดังขึ้น
ผมถอดเครื่องช่วยหายใจที่ไร้ประโยชน์สำหรับผมออก บรรยากาศด้านนอกก็คงน่าเดินเล่น ผมพยุงตัวลุกจากการนอนแสนน่าเบื่อออกไปที่ระเบียงเพื่อรับแดดยามบ่าย ไม่พ้นที่จะต้องลากสายน้ำเกลือมาด้วย
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวเดิน เสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่าผมเล็กน้อยในชุดกาวน์รีบเข้ามาประคองผมทันที
“ร่างกายคุณยังไม่แข็งแรงพอที่จะลุกเดินเหินได้ขนาดนั้นนะคุณโอเซฮุน ผมไม่อยากจะเย็บแผลที่หัวคุณเป็นรอบที่สองหรอกนะ” คุณหมอคนนั้นพูดออกจะไปทางดุเสียมากกว่า พยุงผมกลับไปนอนที่เตียงตามเดิมอีกต่างหาก
ใบหน้าที่ออกไปทางสวยตีหน้าดุใส่ผม ผมเหลือบมองป้ายชื่อที่ติดอยู่อกข้างซ้ายแต่ก็พบว่ามันเป็นภาษาจีนที่ผมอ่านไม่ออก
‘鹿晗’“ผมลู่หาน ผมเป็นหมอเจ้าของไข้ของคุณ มีอะไรก็ปรึกษาผมได้ ผมจะมาตรวจคุณตอนเจ็ดโมงเช้า บ่ายโมง และสองทุ่มของทุกวัน ถ้าอยากไปเดินเล่นด้านนอก คุณควรให้ร่างกายฟื้นสภาพให้ดีกว่านี้ก่อน”
หมอลู่หานร่ายยาวใส่ผม ปากเล็กๆขยับหมุบหมิบ ตามองสิ่งที่ตนกำลังทำอย่างตั้งใจก่อนที่จะกลับมามองผมเป็นระยะ
“เข้าใจที่ผมพูดใช่มั้ย?”
ผมพยักหน้าเออออไปด้วยแม้จะฟังไม่ทันก็ตามเถอะนะ หน้าดุเมื่อครู่ก่อนกลายเป็นรอยยิ้มส่งให้ผมแทน หมอลู่หานทำเหมือนผมเป็นเด็ก มือเล็กๆยื่นอมยิ้มให้และเดินหายออกไปเลยทันที
คนไข้รายล่าสุดของผมเป็นโรคประสาทซึมเศร้าพ่วงด้วยโรคจิตเภทชนิดธรรมดาและอาการอื่นๆที่ผมไม่สามารถวินิจฉัยเขาได้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังเป็น คนรอบข้างเขาทั้งที่ทำงาน เพื่อนข้างห้องที่ผมลองไปถามมา ส่วนใหญ่พูดทำนองเดียวกันว่าโอเซฮุนชอบมองท้องฟ้าและเหม่อลอยเสมอ
เหตุการณ์สุดระทึกก็คงไม่พ้นที่เขาพลัดตกลงมาจากตึก คนไข้ของผมโชคดีมากที่สมองไม่ได้รับความกระทบกระเทือน แค่ศีรษะแตกเท่านั้น ผู้ที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าเขายื่นขาออกมาจากหน้าต่างและคงจะลื่นเลยพลัดตกลงมาและดีที่เขาตกลงมาจากชั้นสองและมีพื้นหญ้าลดแรงกระแทก
นาฬิกาข้อมือบอกเวลาว่าผมควรจะไปตรวจคนไข้ได้แล้ว เวลาสองทุ่มที่ควรเงียบแต่มันกลับตรงกันข้าม เสียงโหวกเหวกโวยวายจากผู้ป่วยบ้างห้องยังดังเป็นระยะ ผมชินกับมันไปแล้วล่ะ
แสงไฟในห้อง094ยังสว่างอยู่ ผมเดินเข้าไปพร้อมกับกาแฟหนึ่งถ้วย คนไข้ของผมยังนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง มองท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างใจจดใจจ่อ
“ผมมาตรวจคุณครับ คุณเซฮุน แผลของคุณ หายปวดหรือยัง”
ผมเปิดฉากสนทนา ถ้ารออีกฝ่ายทักขึ้นก่อนผมคงไม่ได้กลับไปพักแน่
“ครับ ผมไม่ปวดแล้ว หมอมาดูท้องฟ้าด้วยกันสิครับ” คนไข้ของผมเอ่ยชวนซึ่งผมเองก็คงขัดไม่ได้ ผมไปยืนอยู่ปลายเตียงพร้อมจิบกาแฟในมือไปพลางๆ
"ท้องฟ้าสวยนะครับ ผมอยากไปอยู่บนนั้นกับคนที่ผมรัก เขารอผมอยู่" คนไข้เซฮุนยิ้ม ดวงตาของเขาสุกใสทุกครั้งเมื่อมองท้องฟ้า อาจเป็นเพราะว่าสิ่งที่เขารักอยู่บนนั้น
ผมอยากจะขอผู้อำนวยการพาเขาไปรักษาที่เชจูเป็นการส่วนตัว ไม่รู้สิ ผมแค่รู้สึกถูกชะตากับเขาและเป็นเอามากเสียด้วยนะสิ และผมมั่นใจว่าเขาจะต้องหายจากการอาการทั้งหมดนั้น
"ผมว่าคุณควรพักได้แล้วนะครับคุณเซฮุน ผมนั่งเฝ้าคุณมาเป็นชั่วโมงแล้ว"
"ผมยังอยากมองมันอยู่"
"ผมสัญญาว่าพรุ่งนี้เช้าจะพาคุณไปเดินเล่นข้างนอก ถ้าคุณนอน แต่ถ้าคุณยังอยากจะมองอยู่ก็ตามใจนะครับแต่ถ้าคุณยังอยากจะมองอยู่ก็ตามใจนะครับ"
เขามีสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อยแต่ก็ยอมนอน ผมห่มผ้าให้เขา โดยที่เขามองผมตาแป๋ว อยากจะให้ผมทำอะไรอีกล่ะ
"มองผมทำไมครับ มีอะไรติดหน้าผมหรือ"
"ปะ..เปล่าครับ"
เขารีบปฏิเสธเป็นพันวัล ผมอมยิ้มน้อยๆกับความเงอะงะของเขา ผมวางมือลงบนหน้าผากคนไข้เพื่อวัดความร้อนของร่างกายของร่างกาย ดีที่เขาไม่เป็นไข้ ขอบคุณพระเจ้า
"ราตรีสวัสดิ์ครับหมอลู่"
"ราตรีสวัสดิ์คนไข้โอ"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in