และแล้ว… ก็มาถึงวันสุดท้ายของสามวันหยุด
ชีวิตของธาดาที่วางแผนไว้ว่าจะนั่งๆ นอนๆ หายใจทิ้งอยู่กับบ้านเฉยๆ กลับไม่เป็นไปดังฝัน เพราะตั้งแต่เย็นวาน เขาเหมือนกับถูกบังคับให้กลายร่างจากนักบินเป็นทหาร… ออกรบกับเจ้าเทวดาตัวน้อยที่เหมือนจะเรียบร้อยแต่จริงๆ แล้วดื้อเงียบยิ่งกว่าอะไรจนถึงก่อนเข้านอน
จนกระทั่งเช้าวันเสาร์ เด็กน้อยไม่ต้องไปโรงเรียน ทั้งคู่จึงตื่นมานั่งระบายสีข้างๆ กันตั้งแต่กินข้าวเช้าเสร็จ พอเที่ยงก็แว่บไปกินข้าวกลางวัน แล้วก็กลับมาระบายต่อ
พี่จิต พี่เลี้ยงของปรมัตถ์ที่ยกของว่างมาให้ตอนบ่ายสาม นึกสงสัยที่เห็นทั้งคู่นอนคว่ำเอาหัวชนกัน คล้ายกำลังมุงดูบางอย่างที่พื้น นอนพังพาบท่าเดิมอยู่แบบนั้นตั้งแต่เช้าถึงบ่าย ในใจอดสงสัยไม่ไหวจึงเอ่ยปากถามออกมา
“คุณธาดากับน้องมัตถ์ทำอะไรกันอยู่เหรอคะ เห็นนอนแบบนี้ตั้งแต่เช้าแล้ว”
ปรมัตถ์ยังมีสมาธิจดจ่อกับสมุดภาพตรงหน้าจนเกินเด็กจึงไม่มีทีท่าว่าจะหัันมาตอบ กลับยังคงก้มตาหน้าก้มตาระบายสีต่อไป
แหม… ตั้งใจอะไรขนาดนี้
เป็นคราวของคนเป็นอาได้สติขึ้นมาว่าเขาอายุอานามมากกว่าปรมัตถ์อยู่หลาย(สิบ)ปี... กระดูกกระเดี้ยวไม่แข็งแรงยืดหยุ่นพอจะอยู่ท่าเดิมนานๆ ได้ ดังนั้นเมื่อพี่จิตทักขึ้นมา ทั้งกล้ามเนื้อไหล่ หลัง และขาที่ตอนแรกก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรก็พาลประท้วงเจ้าของที่ไม่เจียมสังขาร เหน็บชากินทั้งร่างขึ้นมาพร้อมกันซะดื้อๆ
ธาดาครางโอยเมื่อยันตัวขึ้นนั่ง เส้นยึดจนเขาปวดหนึบไปหมดทั้งตัว…
นี่แหละน้า… ทำอะไรไม่คิดถึงอายุ
กะจะตอบพี่จิตสักหน่อย กลับกลายเป็นว่าต้องส่งยิ้มแห้งๆ พร้อมสายตาขอร้องให้ช่วยไปหยิบยาหม่องตราเสือให้ที…
โอย… แค่เอี้ยวตัวก็ปวดบั้นเอวแปร๊บเลย
ปรมัตถ์ละสายตาจากสมุดภาพ เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเล็กน้อยเมื่อเห็นธาดากำลังจะลุกขึ้น เจ้าดื้อเงียบที่เมื่อกี้ยังทำท่าเหมือนสนใจดินสอสีซะเต็มประดา ตอนนี้กลับกลิ้งขลุกๆ มาหนุนตักเขาแล้ว แขนป้อมๆ กางสมุดภาพที่เพิ่งระบายเสร็จให้หมอนหนุนใบใหม่ดู…
เหมือนว่าจะแค่อยากอวดผลงาน แต่ที่จริงน่าจะไม่ให้ธาดาขยับไปไหนอย่างนุ่มนวลมากกว่า
ร้ายจริง…
แต่เด็กก็คือเด็ก จะร้ายกว่าอาธาดาของเขาได้ยังไง...
“มัตถ์ระบายสีหน้านี้เสร็จแล้วรออาหน่อยได้ไหมครับ นั่งนานอาปวดหลังจังเลย…” ธาดาเอ่ยเสียงอ้อน แกล้งใช้สายตาใสซื่อก้มหน้ามองหลานที่นอนหนุนตัก
พอรู้สึกถึงมืออุ่นๆ ที่ลูบผมเบาๆ พร้อมกับที่อาธาดาคุยกับเขา เด็กน้อยจึงเงยหน้าจ้องตาแป๋ว เอียงคอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพับสมุดภาพวางไว้ข้างตัว แล้วค่อยๆ ลุกเดินอ้อมไปด้านหลังของคนเป็นอา
มือเล็กๆ ยกขึ้นกดบ่าทั้งสองข้างสุดแรงเกิด ออกเสียงดังฮึบๆ แต่แน่นอนว่าด้วยแรงสิบนิ้วกระจิ๋วหลิวของเด็กเจ็ดขวบ กล้ามเนื้อบริเวณที่ถูกกดของธาดาจึงรู้สึกจั๊กจี้มากกว่าผ่อนคลาย
แต่เพราะเห็นความตั้งใจของเด็กน้อย ตอนนี้จึงเหมือนมีแรงมหาศาลมาเขย่ากล้ามเนื้อส่วนอื่น... ให้ธาดารู้สึกชุ่มชื่นหัวใจ เลือดสูบฉีดจนอกซ้ายสะเทือนเสียแทน…
เขายิ้มอ่อนโยน… แกล้งพูดเย้านุ่มๆ
“นี่ร้านมัตถ์แลนด์เหรอครับเนี่ย… นวดสบายจัง…”
ปรมัตถ์ส่ายหน้าหวือ แต่เพราะยืนอยู่ด้านหลัง ธาดาที่มัวแต่ก้มคอแสร้งรับบทเป็นลูกค้าร้านนวดชื่อดังจึงไม่ทันสังเกตเห็น เด็กน้อยเลยไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะโดนคนขี้แกล้งเอนหลังล้มตัวทับ แถมใช้หัวทุยๆ ถูพุงน้อยๆ เป็นการหยอกล้ออีกคำรบ
ปรมัตถ์หัวเราะคิกคักเพราะรู้สึกจั๊กจี้ก่อนสู้กลับ ทั้งคู่จึงเปิดฉากโดดเข้าใส่กัน ทำศึกจี้เอวกันไปมาอีกยกหนึ่ง…
ขนาดพี่จิตที่เพิ่งเดินถือยาหม่องกลับมายังได้ยินเสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังออกมาถึงหน้าบ้านเลยทีเดียว...
เมื่อแหย่กันจนเหนื่อย ธาดาหอบจนลิ้นห้อย จึงขอขี้โกงรวบกอดเจ้าตัวเล็กเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้ ก่อนร้องเฮ้อออกมาคำนึง
“อายอมแพ้แล้ว… ขอพักๆๆๆๆ”
เด็กน้อยนั่งพิงอกธาดานิ่ง ถึงใครๆ จะว่าปรมัตถ์ดื้อเงียบ แต่ทุกครั้งที่คนเป็นอาขอร้องอะไรจริงๆ จังๆ ก็มักจะทำตามอย่างว่าง่ายเสมอ
“มัตถ์ระบายสีเสร็จหมดแล้วใช่ไหมครับ”
หัวกลมๆ ผงกขึ้นลงหงึกหงัก
“งั้นเดี๋ยวอาทำอะไรให้ดู...”
ธาดาใช้น้ำเสียงกระซิบกระซาบหลอกล่อ ฟังคล้ายพิธีกรกำลังโฆษณาเปิดรายการดิสนีย์คลับ
ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะกลอกตากับความเล่นใหญ่ของธาดาไปแล้ว… แต่กับปรมัตถ์ ทุกอย่างที่ออกมาจากปากคุณอานักบินน่าตื่นเต้นสำหรับเขาเสมอ
เด็กน้อยยืดหลังตรง ตั้งอกตั้งใจมองธาดาค่อยๆ ตัดสมุดระบายสีรูปเครื่องบิน ตุ๊กตารูปผู้ชายและเครื่องแบบนักบินช้าๆ บางครั้งก็ตัดชิดขอบเส้นทึบ บางครั้งก็เว้นระยะออกมาจากตัวภาพเป็นลักษณะสีเหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ พอมองจนครบทุกมุมก็เหมือนที่ขอบภาพชุดนักบินมีหูสี่เหลี่ยมชี้ออกมาทั้งสี่ด้าน
เจ้าตัวเล็กชะโงกหน้าลงไปมองอย่างใกล้ชิดด้วยความใคร่รู้ เขาเพิ่งระบายสีคน ชุดนักบินและกระเป๋าเดินทางเสร็จหยกๆ จึงไม่เข้าใจว่าทำไมอาธาดาถึงต้องตัดรูปภาพพวกนี้ออกมากองไว้ด้วย
มือเล็กหยิบภาพคนใส่เสื้อยืดกับกางเกงบ็อกเซอร์ขึ้นมาดูใกล้ๆ ก่อนที่ธาดาจะยื่นเสื้อเชิ้ตกระดาษสีขาวติดบั้งสีดำสลับทองสามขีดมาให้
“สมมติว่านี่เป็นอา…”
ธาดาชี้ที่ตุ๊กตากระดาษ แต่ยังไม่ทันพูดจบปรมัตถ์ก็ส่ายหน้าระรัวจนธาดานึกแปลกใจว่าตนพูดอะไรผิด
“ทำไมล่ะครับ? เนี่ย… ถ้าสมมติว่านี่เป็นอา เวลาจะไปทำงานก็จะใส่ชุดแบบนี้”
ธาดาวางเสื้อเชิ้ตทับลงไปบนตุ๊กตากระดาษ พับสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่มุมทั้งสี่ด้านก่อนทำแบบเดียวกันกับกางเกงสีกรมท่าที่เขาระบายไว้ไม่ได้เรื่องจนเกิดเป็นรอยด่างๆ
อันที่จริงแล้ว… ธาดาไม่มีหัวศิลปะสักเท่าไร สมุดภาพที่ระบายกันอยู่ทั้งหมดนี้กลับเป็นภาพของปรมัตถ์เจ็ดขวบซะอีก ที่มีสีสันเรียบร้อยสวยงาม
“ไม่ใช่อา…”
ปรมัตถ์ยังคงส่ายหน้า ทำให้ธาดานึกเอ็นดูจนต้องก้มหน้าลงไปกระซิบถามยิ้มๆ
“ทำไมไม่ใช่อาครับ?”
“ไม่สวย…”
เอ๋…? นี่กำลังติว่าเขาตัดออกมาห่วยใช่ไหม…
อาจะร้องไห้แล้วนะครับ…
ปรมัตถ์หันตัวกลับมา วางตุ๊กตากระดาษรูปผู้ชายที่ตาสองข้างสีไม่เหมือนกันไว้บนไหล่คนเป็นอา ก่อนประคองใบหน้าจริงๆ ของธาดาไว้ด้วยสองมือแล้วจ้องมอง…
หันซ้ายทีขวาทีเพื่อเปรียบเทียบ...
หว่างคิ้วเล็กย่นลงเล็กน้อยเมื่อปรมัตถ์ทำท่าครุ่นคิด เจ้าตัวน้อยมองหน้าธาดาสลับกับตุ๊กตากระดาษนักบินไปมาเป็นรอบที่สิบ…
ก่อนที่นิ้วชี้กลมป๊อกจะผละออกมาจิ้มที่หน้าตุ๊กตากระดาษที่แสนจะน่าสงสารตัวนั้น มองหน้าธาดาอีกครั้งก่อนจะย้ายนิ้วมาแตะลงบนเปลือกตาข้างหนึ่งของธาดาเบาๆ
“อันนี้ไม่สวย… อันนี้สวย…”
ธาดาเบิกตาเล็กน้อย แววตาอ่อนโยนมองดวงหน้าเล็กๆ ที่ลอยเด่นอยู่ต่อหน้าเขานิ่งๆ แต่ในใจพลันรู้สึกเต็มตื้นจนพูดอะไรไม่ออก
โธ่… แค่ชมว่าหน้าตาดีกว่าตุ๊กตากระดาษทำมือ อาก็ดีใจจนน้ำตาแทบไหลแล้วครับ ตัวเล็กของอา
ธาดายื่นปากไปเม้มงับฝ่ามือนุ่มนิ่มหลายคำเพราะเกิดมันเขี้ยวหลานขึ้นมา ก่อนจะกอดเจ้าตัวอุ่นเอาไว้แน่น
“งั้นคราวหน้า อาให้มัถต์แต่งตัวให้อาแทนตุ๊กตาดีมั้ยครับ...”
รอยยิ้มเจิดจ้าที่ได้รับกลับมาทำเอาธาดากังวลว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะไปบินไม่ได้เพราะตาบอดชั่วคราว
ลาหยุดเลยดีไหมนะ...
เขาหัวเราะ ส่ายหัวให้กับความคิดของตัวเองเล็กน้อย
ถึงต้องลาหยุดอีกวันแล้วยอมเป็นหุ่นให้เล่นแต่งตัวตุ๊กตา แต่แลกมาด้วยรอยยิ้มใจละลายแบบนี้...
มันคุ้มค่า คุ้มค่าสุดๆ ไปเลยธาดา!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in