ช่วงปลายปีแบบนี้ อากาศแถบชานเมืองเริ่มมีลมเย็นๆ พัดมาเยือนบ้างแล้ว บ้านของธาดาปลูกบนที่ดินส่วนตัวภายในรั้วกว้างขวาง ตัวอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้สีขาวสองชั้นเล็กๆ เรียบๆ ปลูกติดกับกำแพงต้นพู่ระหงส์ อีกสามด้านล้อมรอบด้วยสนามหญ้ากว้างกับต้นไม้ใหญ่นับร้อยดูคล้ายสวนหย่อมขนาดย่อมๆ ไม้ดอกต้นเล็กบ้างใหญ่บ้างสลับกันออกดอกหลากสี ส่วนไม้ยืนต้นก็ให้ร่มเงา น้ำค้างระเหยช้า ทั้งสนามหญ้าก็คายความชื้นระหว่างวันทำให้บรรยาากาศไม่อบอ้าวตลอดปี ยิ่งช่วงหน้าหนาวลมพัดแรงแบบนี้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ร่มรื่นเย็นสบายแบบที่ธาดาชอบที่สุด
เขานั่งจิบกาแฟมองกลีบบางๆ ของดอกพู่ระหงส์สีแดงกำลังสั่นระริกเมื่อยามลมพัด ใครๆ มองคงคิดว่าเหมือนหญิงสาวแรกรุ่นกำลังเขินอาย เบือนหน้าหลบชายหนุ่มคนรัก แต่ก็ยังกระซิบกระซาบคำหวาน… หัวเราะต่อกระซิก…
แต่ธาดาคิดว่าพู่นั่นดูคล้ายกับแปรงล้างขวดนมเด็กที่เขาเคยสะบัดๆ ไล่น้ำก่อนจะแขวนตากลมไว้มากกว่า...
ก็แค่คนละสีเท่านั้น
ข้ามรั้วต้นพู่ระหงส์ไปเป็นบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่งที่ย้ายเข้ามาหลังจากที่เขาเข้าอยู่ได้พักใหญ่ แต่ทั้งสองครอบครัวก็สนิทกันอย่างรวดเร็วเพราะธาดากับมัชฌิมาอายุไล่เลี่ยกับพี่ปรพล เจ้าของบ้าน อีกทั้งยังมีลูกชายวัยเดียวกันอีกด้วย
กระทั่งเวลานี้ บ้านนี้เหลือธาดาอยู่แค่คนเดียว ทว่าแต่ละวันที่ผ่านไปก็ไม่ถือว่าเงียบเหงาเท่าไรนัก ทุกอย่างคงต้องยกความดีความชอบให้เจ้าตัวน้อยที่มักลอดรั้วต้นไม้มาขลุกอยู่กับเขาแทบทุกวันที่ไม่มีบินแบบนี้ วันไหนเจ้าตัวต้องไปโรงเรียน พอกลับมาถึงบ้านวางกระเป๋าปั๊บก็เป็นอันว่าต้องวิ่งมาหาเขาก่อนเสมอ
“อาธาดา~”
นั่นไง… พูดยังไม่ทันขาดคำ
ปรมัตถ์ติดเขามาก… ถึงขนาดเวลาปรพลมีธุระต้องค้างอ้างแรมด่วนแถวไซต์งาน ก็จะโทรมาฝากฝังลูกชายไว้กับธาดา
เหมือนกับวันนี้...
‘ครับ พี่พล’
‘ฮัลโหล... พี่จิตบอกว่ามัตถ์ไปกวนธาดาอีกแล้ว…’
ธาดายิ้มมองพี่จิต พี่เลี้ยงร่างท้วมของเด็กน้อยแว่บหนึ่ง ก่อนเสมองประมัตถ์ที่เพิ่งทิ้งตัวกับพื้น นอนพังพาบ ตบเท้าตามจังหวะเพลงไปด้วย ระบายสีสมุดภาพเครื่องบินไปด้วย
‘มัตถ์น่ารักขนาดนี้ อย่าเรียกกวนเลยครับ เรียกว่ามาสร้างสีสันให้ผมจะดีกว่า”
ปลายสายยิ้ม
ปรมัตถ์ชอบเครื่องบินมาตั้งแต่เล็ก พอรู้ว่าย้ายมาอยู่ข้างบ้านธาดาซึ่งเป็นนักบินก็ตื่นเต้นและพยายามชะเง้อมองหา ‘คุณอานักบิน’ มาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนกระทั่งเกิดเรื่องแม่ เด็กชายช็อคมากถึงขนาดว่าหลังจากนั้นก็ยืนกรานจะเรียนรู้วิธีการปั๊มหัวใจให้ได้ เลยมีโอกาสได้ช่วยชีวิตอีกฝ่ายไว้โดยบังเอิญ เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
แต่… มัตถ์นับถือธาดาน่ะไม่แปลก
แต่ปรพลคิดว่ามันแปลกตรงที่ แค่ฟังน้ำเสียงเมื่อครู่ก็รู้ว่าน้องชายข้างบ้านคนนี้เอ็นดูลูกชายเขามากขนาดไหน สองปีที่ผ่านมาธาดาไม่เคยหงุดหงิดหรือบ่นเรื่องที่มัตถ์ไปรบกวนสักครั้ง แถมบางทียังอาสาพาเจ้าดื้อเงียบไปเที่ยว หรือค้างคืนเวลาเขาต้องออกไซต์งานอีกด้วย...
สงสัยว่าจะติดปรมัตถ์เข้าให้แล้วเหมือนกัน
‘มัตถ์ติดธาดาน่าดู...’
‘ผมก็ติดมัตถ์ครับ’ ธาดาหัวเราะเบาๆ
เขาติดเด็กคนนี้จริงๆ
ติดเหมือนตังเม…
ติดเหมือนคนเลิกบุหรี่ติดจูปาจุ๊บส์...
จนบางครั้งเขาก็รู้สึกเกรงใจพ่อของเด็กน้อย ถ้าคิดจะยึดลูกชายของอีกฝ่ายไว้คนเดียว แต่ด้วยพี่พลอ่อนโยนและใจกว้าง จึงเคยบอกให้เขาเลิกคิดมากไปตั้งแต่เมื่อปีก่อน
ดังนั้นตอนนี้ธาดาถึงได้กล้าพูดตรงๆ ส่วนปรพลก็เลิกเกรงใจไปนานแล้ว..
‘งั้นคืนนี้ฝากมัตถ์นอนบ้านธาดาเลยได้รึเปล่า พี่ต้องค้าง คงกลับเช้าเลย’
‘ได้ครับ พี่พลไม่ต้องห่วง’
ปรพลสอบถามอะไรอีกสองสามคำ ก่อนที่ธาดาจะได้ยินอีกฝ่ายถูกเรียกตัว
‘ขอบใจมากนะธาดา’
คนเป็นพ่อได้แต่คิดว่าเขากับลูกโชคดีจริงๆ ที่มีเพื่อนบ้านใจกว้างแบบนี้
.
.
.
“น้องมัตถ์ คุณพ่ออนุญาตให้ค้างบ้านอาล่ะ ดีใจไหมครับ”
ธาดาถามเสียงนุ่ม ก่อนนั่งขัดสมาธิลงข้างๆ ร่างกลมๆ รีๆ เหมือนแมวน้ำนอนคว่ำ มือเล็กๆ ที่กำลังระบายสีหยุดชะงัก ใบหน้าขาวอมชมพูหันมองตาแป๋ว หัวกลมพยักหงึกหงักอย่างตื่นเต้น
ปกตินอกจากคำว่า ‘อาธาดา’ แล้ว เด็กน้อยก็ไม่ค่อยพูดคำอื่น ถ้าโดนตั้งคำถามมักตอบด้วยท่าทางมากกว่า
ส่ายหน้าเวลาอยากปฏิเสธ
พยักหน้าถ้าอยากได้
ยิ้มกว้าง… แปลว่าชอบใจมาก
บางคน... โดยเฉพาะพี่จิต มักมองว่าปรมัตถ์เงียบขรึมเกินเด็ก จนอาจจะเป็นปัญหาในอนาคต แต่สำหรับธาดา ไม่ว่าจะมองอย่างไร เวลาเจ้าตัวเล็กอยู่กับเขาก็ดูเป็นเด็กร่าเริงสดใสดี ติดที่จะขี้อายและพูดน้อยกว่าเด็กวัยเดียวกันไปสักนิดเท่านั้น
และเหมือนเป็นการยืนยันว่าเขาคิดไม่ผิด พริบตาเดียวเด็กน้อยที่นอนพังพาบอยู่ก็ร้องเย้คำหนึ่ง ก่อนสปริงตัวขึ้น โถมตัวกอดคอธาดาแล้วยิ้มร่า ดวงตาสีดำสนิทแต่แวววาวสุกใสจ้องมองจนใจผู้ใหญ่อย่างธาดาละลายเป็นขี้ผึ้งโดนไฟลน
ทำไมถึงได้น่ารักแบบนี้นะ…
เขาฟัดแก้มยุ้ยๆ อย่างมันเขี้ยวไปข้างละสามสี่ที ยิ่งหนูน้อยรู้สึกจั้กจี้จนหัวเราะคิก ริมฝีปากหอบหายใจจนดวงหน้าเล็กๆ แดงก่ำ แต่ก็ยังไม่หยุดส่งยิ้มเจิดจ้าให้คนเป็นอาไม่เลิก ก็ยิ่งเหมือนเพิ่มพลังความอบอุ่นให้หัวใจขี้ผึ้งของธาดาอ่อนยวบลงไปอีก
ปรมัตถ์… เทวดาตัวน้อยของอา
ธาดาคิดในใจ ก่อนส่งยิ้มกลับไปให้ตากลมๆ คู่นั้น พาลฟุ้งซ่านต่อ ว่าอันที่จริงแล้วปรมัตถ์อาจจะเป็นเทวดาหรือปีศาจน้อยๆ ที่กำลังวางแผนสะกดจิตให้เขาหลงจนหัวปักหัวปำรึเปล่านะ
แต่ยังไม่ทันได้ตอบตัวเอง ปีศาจน้อยที่เกาะหนึบอยู่รอบคอก็จู่โจมหอมแก้มเขาคืน ซ้ายฟอดหนึ่ง ขวาฟอดหนึ่ง แล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก...
ก็เป็นซะแบบนี้… แล้วใครจะไปแยกได้ว่าคู่นี้ใครติดใครกันแน่
เป็นอาเองที่หลงหลานจนโงหัวไม่ขึ้น หรือเป็นตัวหลานที่ติดอางอมแงม
ธาดากอดเจ้าตัวอุ่นไว้แนบอก เลิกคิดฟุ้งซ่านแล้วยอมรับกับตัวเองว่า น่าจะเป็นเพราะพวกเขาผูกพันกันนับตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ถึงได้สบายใจที่จะอยู่ด้วยกัน ติดกันหนึบหนับแบบนี้...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in