วันนี้ธาดาตื่นมาใส่บาตร…
หลังจากแต่งงานเขาก็ไม่ค่อยได้ทำอาหาร ทั้งที่ตอนเรียนอยู่เมืองนอกต้องทำมื้อเย็นกินเองเกือบทุกวัน ไม่งั้นก็อดตายเพราะอาหารไม่ถูกปาก วันนี้ชายหนุ่มจึงเคาะสนิมเข้าครัวแต่เช้ามืดเพราะไม่มีบินสามวัน คือเมื่อวานนี้ วันนี้ และพรุ่งนี้
เมื่อวานธาดาออกไปจับจ่ายเตรียมข้าวของมาแล้ว วันนี้จึงได้ฤกษ์ตั้งใจทำแกงเผ็ดเป็ดย่าง ไข่ตุ๋นและลิ้นจี่ลอยแก้ว เมนูที่ทั้งตัวเขา อดีตภรรยาและลูกชายชอบเพื่อตักบาตรอุทิศส่วนกุศลไปให้ เนื่องในวันหยุด… ไม่ใช่วันครบรอบใดๆ
อาจจะพูดได้ว่าเมื่อเข้าสู่ธุรกิจการบินแล้ว วันเทศกาลและวันสำคัญต่างๆ ในชีวิตนักบินมีความสำคัญน้อยลงมากเมื่อเทียบกับคนที่เข้างานเช้าและเลิกงานตอนเย็น
เพื่อนนักบินและลูกเรือมักให้ความเห็นว่า เพราะได้รับออกซิเจนน้อยกว่าชาวบ้าน พวกเขาสมองเลอะเลือนจึงมักลืมอะไรง่ายๆ… หรือไม่ก็เพราะอยากนอนมากจึงละเลย หละหลวมจนมองข้ามความพิเศษของวันหยุดราชการหรือวันครบรอบต่างๆ ไปโดยปริยาย…
บางทีธาดาคิดว่า บางทีออกซิเจนที่ขาดหายไปน่าจะทำให้สมองของพวกเขาขาดความยับยั้งชั่งใจในการเล่นมุก(ที่ไม่)ตลกซะมากกว่า...
แต่ถึงอย่างนั้น ธาดาก็พอจะเห็นด้วยในเหตุผลข้างต้นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่เพราะพวกเขาเห็นว่ามันไม่สำคัญ หรือมีความสำคัญน้อยลงหรอก เพียงแต่เขารู้สึกว่าอาชีพนี้อยู่กับความเสี่ยง มีการฝึกให้จัดการกับปัญหาถ้าเครื่องตก… มีการศึกษาและปรึกษาทางอ้อมว่าจะทำอย่างไรให้คนมีชีวิตรอดเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินอยู่ตลอดเวลา ถึงจะไม่ค่อยมีใครพูดเรื่องความเป็นความตายออกมาตรงๆ แต่เขาก็รู้ตัวว่าความคิดและการฝึกในลักษณะแบบนั้นมันหล่อหลอมให้เขามองเห็นความสำคัญของวันธรรมดาๆ มากขึ้นเพราะเห็นคุณค่าในชีวิตต่างหาก
ดังนั้นทุกๆ วันของธาดาจึงกลายเป็นวันสำคัญ…
แค่วันหยุดธรรมดาๆ ก็พิเศษได้…
ใส่บาตรได้โดยไม่ต้องรอให้เป็นเทศกาลหรือวันครบรอบ
เพราะก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่วางแผนว่า จะตรงไปวัดหลังเครื่องลงจอดตอนตีห้าพรุ่งนี้ มันจะมีโอกาสได้ไป… หรือแม้กระทั่งได้แลนด์รึเปล่า…
ดูอย่างเครื่องที่หายไปจากจอเรดาห์เมื่อหลายปีก่อนนั่นสิ… ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าไปแล้วจะไม่ได้กลับบ้าน
เอาเป็นว่าสำหรับธาดา… ในฐานะนักบิน เขาแค่รู้สึกขอบคุณที่มีปัจจุบัน ขอบคุณทุกๆ วันที่ได้ตื่นขึ้นมา ได้บังคับเครื่องบิน เอาเครื่องขึ้นและได้แลนด์อย่างปลอดภัยก็พอ
ส่วนในฐานะมนุษย์คนหนึ่งการได้กินของอร่อยๆ ก็นับว่ามีความสุขแล้ว...
อย่างน้อยแกงเผ็ดเป็ดย่างที่ได้กินวันนี้ ก็ถือว่ายังดีกว่าอดกินเพราะผัดผ่อนอิดออดไม่ยอมลงมือทำ กว่าจะได้กินอีกทีก็ไม่ต้องลำบากทำ แต่เป็นการรอให้มีคนใส่บาตรมาให้ เป็นการกินแบบอิ่มทิพย์เสียแทน…
ก็นะ… ไม่รู้ว่าจะได้รสเหมือนที่ได้เคี้ยวเองรึเปล่า สู้ทำเองตอนนี้ยังมีชีวิตนี่แหละ… อร่อยชัวร์
ดังนั้นสำหรับธาดา การเป็นนักบินไม่ได้ทำให้เขาเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายหรือหมดอาลัยตายอยากในชีวิต แต่กลับกัน มันค่อยๆ ทำให้กลายเป็นคนเตรียมพร้อมอยู่เสมอ และปฏิบัติตัวให้เหมือนทุกวันคือวันสุดท้ายของชีวิตมากขึ้นกว่าแต่ก่อน วันไหนนึกอยากทำเรื่องดีๆ อะไรก็ทำเลย
ไม่ต้องรอ…
แต่พูดก็พูดเถอะ... เขาไม่เคยพูดความคิดนี้ออกมาดังๆ ให้ใครฟังหรอก
ใครจะไปเข้าใจแนวคิดแปลกแยกแบบนี้...
เขาคิดดี ทำดี ไม่ลบหลู่ดูถูกคนอื่น ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่เหยียดหยามหรือด่าทอเขากลับนี่…
ดังนั้นการรู้ในใจตัวเองอยู่คนเดียว ไม่วิภาควิจารณ์ความคิดผู้อื่น แต่ก็มั่นคงในหลักการในการดำเนินชีวิตของตนเอง แล้วทำตามทางนั้นเงียบๆ คือสิ่งที่เขายึดถือและปฏิบัติเสมอมา...
ไม่โต้แย้งจนแตกหัก...
แต่ก็ไม่โอนอ่อนจนเสียหลักการ
นี่แหละ... ตัวตนของเขา...
ธาดาพนมมือรับพรจากหลวงพี่ ก่อนจะเก็บข้าวของกลับเข้าบ้าน เมื่อเดินเข้ามาถึงครัว แกงเผ็ดเป็ดย่างสีแดงสวยที่เหลือเกือบครึ่งยังมีควันกรุ่นๆ อยู่ในหม้อขนาดกลาง ส่งกลิ่นหอมยั่วให้เขาตักข้าวสวยร้อนๆ ใส่จาน คนนิดหน่อยก่อนตักเป็ดย่างราดจนพูน ควานหาลิ้นจี่ชุ่มพริกแกงกะทิใส่ลงไปเพิ่มอีกสองสามลูก ราดน้ำนิดหน่อย จากนั้นก็เดินออกมานั่งกินที่ม้าโยกนอกชาน
อืม… พอหายร้อนแล้วเค็มไปหน่อย
ขออภัยนะครับ หลวงพี่...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in