“สวยจังเลย… เนอะมัตถ์เนอะ”
ปรมัตถ์วัยสิบขวบไม่ตอบคำถาม แววตาเป็นประกายของเด็กน้อยเพียงแต่มองไปยังทะเลสาบสีฟ้าอมเขียวตรงหน้า ก่อนหันกลับมาส่งยิ้มเจิดจ้าให้คนเป็นอาแทน...
.
.
.
ซูริค…
15 ปีต่อมา…
“ทำไมครั้งนี้สีทะเลสาบถึงต่างจากที่ผมมากับอาคราวก่อนล่ะครับ”
ปรมัตถ์ในวัยยี่สิบห้าปีถามขึ้นเบาๆ ก้าวเท้าช้าๆ พร้อมกับชี้นิ้วออกไปยังบางสิ่งบางอย่างตรงหน้า
เขาและธาดาเพิ่งนั่งรถแทรมมาถึงใจกลางเมืิองใหญ่อันดับหนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ทันทีที่ก้าวขาลงจากรถรางหมายเลขสี่ ณ สถานี Bürkliplatz ทะเลสาบซูริคก็ทอดตัวขวางหน้าพวกเขา
ที่เดิม…
กับคนเดิม...
แต่เวลาต่างจากเดิมไปร่วมสิบห้าปี...
ทั้งคู่มองภาพเส้นขอบฟ้ากว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา เบื้องล่างคือผืนน้ำสีเทาเข้มจนเกืิอบดำ สะท้อนแสงดวงอาทิตย์ที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่หลังปุยเมฆสีขาว มองแล้วรู้สึกว่าสวยงามสดชื่น… แต่ก็แฝงไปด้วยความเงียบเหงาซึมซำของปลายฤดูใบไม้ร่วง
ธาดาและปรมัตถ์เดินเคียงข้างกันข้ามทางม้าลายสีเหลืองสด ก่อนค่อยๆ เดินทอดน่องเข้าใกล้ทะเลสาบทีละนิดๆ
ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง…
หนึ่งในสองคนที่เพิ่งเดินมาถึงรั้วกั้นบนชายฝั่งห่อไหล่ มือที่ตอนแรกนึกว่าจะได้เอาขึ้นมาเท้ารั้วกลับต้องรีบกระชับเสื้อกันหนาวเข้าหาตัวซะแทน
ทั้งที่พยากรณ์อากาศแจ้งว่าวันนี้อุณหภูมิที่ซูริคจะลดลงแตะหลักเลขตัวเดียว แต่คนขี้ลืมอย่างธาดาก็ไม่ได้ใส่ใจฟัง ทั้งยังหยิบแค่เสื้อแจ็คเก็ตตัวเก่ง ที่หนากว่าเสื้อยืดห่านคู่หน่อยเดียว โยนใส่กระเป๋าเดินทางมาแค่นั้น ฮีทเทคก็ไม่มี ถ้าถามถึงผ้าพันคอ หมวกและถุงมือน่ะเหรอ… ลืมไปได้เลย
ปรมัตถ์หันมองธาดาเงียบๆ ก่อนที่ผ้าพันคอขนสัตว์ผืนนุ่มจะคลุมลงบนไหล่สั่นเทาเบาๆ
ธาดาชะงัก…
ไออุ่นจากร่างกายของผู้สละผ้าพันคอให้ยังร้อนกรุ่นจนเขารู้สึกได้
การกระทำเยือกเย็นเรียบง่าย… แต่กลับทำให้อีกคนหนึ่งรู้สึกอบอุ่นใจ...
หลังคอของธาดาเห่อร้อน...
และเขาก็รู้ตัวว่าคงไม่ใช่เพราะรู้สึกอุ่นช่วงคอขึ้นมากะทันหันหรอก...
ไวเท่าความคิด วาจากระเซ้าแก้เก้อถูกเอ่ยออกไปเสียก่อนที่ธาดาจะตั้งสติได้ทัน
“อาคิดว่าชาตินี้จะหมดสิทธิ์เห็นด้านน่ารักๆ แบบนี้ของมัตถ์แล้วนะเนี่ย…”
ธาดาก้มหน้าหัวเราะ พลางใช้ข้อศอกแตะๆช่วงเอวของชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างกัน ทว่ามือข้างหนึ่งกลับแอบดึงชายผ้าขึ้นแนบไว้กับอก ประหนึ่งเป็นสมบัติล้ำค่า
แม้ตลอดมาธาดาจะทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาที่ตัวเองชอบปล่อยปละเลยเรื่องส่วนตัว บางครั้งก็หยิบอุปกรณ์ป้องกันความหนาวมาผิดๆ ถูกๆ เกือบทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปค้างคืนในประเทศแถบเมืองหนาว ทำให้ปรมัตถ์ต้องคอยตามดูแลอยู่เรื่อย
ทุกครั้ง ธาดาไม่เคยขอบคุณเขา แถมยังสลับอารมณ์ได้เร็วเหลือเชื่อ เพราะบางทีก็เดี๋ยวโมโห เดี๋ยวหัวเราะเยาะกลบเกลื่อน ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร
แต่เมื่อครู่ ปรมัตถ์ลอบสังเกตเห็นท่าทีเคอะเขินขัดแย้งกับคำพูดของอีกฝ่าย แม้จะแค่ชั่วอึดใจเดียว แต่ก็พอให้เขาเดาออกว่าอีกฝ่ายโวยวายกลบเกลื่อนเพราะอะไร
ในเวลานี้ปรมัตถ์จึงทำได้แค่เอียงหน้าไปมอง และส่งยิ้มบางๆ กลับไปให้
ใครกันแน่… ที่น่ารัก
เงียบ…
ธาดารู้สึกว่าบรรยากาศตอนนี้เงียบเกินไป…
ก็พอเขาหยอกล้ออีกฝ่ายจบ สมองก็สั่งการให้บังคับสายตาตัวเองให้มองไปแต่ด้านหน้า ห้ามเฉไฉไปมองหน้าอีกฝ่ายเพื่อรอคำตอบเด็ดขาด
เพราะเขาไม่ได้กำลังกลบเกลื่อนอะไรทั้งนั้น!
โน่นแหน่ะ ธาดา… ดูหงส์สีขาวตัวอ้วนๆ ลอยน้ำผ่านหน้าไปสิ
หนึ่งตัว…
จ๋อม…
ห้ามว่อกแว่ก...
ตามด้วยนกเป็ดน้ำปีกสีเขียวมรกตสามตัว…
จ๋อมๆๆ…
โฟกัส...
หลังจากนั้นก็เป็นหงส์ลอยตามกันมาอีกเป็นพรวน…
ถึงแม้ภายนอกดูเหมืิอนเขาจะพยายามเพ่งอะไรสักอย่างที่กลางทะเลสาบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากคำตอบของคนข้างๆ แต่ในใจธาดาก็ยังเฝ้าแต่คิดว่าอีกฝ่ายยังเงียบเกินไปอยู่ดี
เปล่านะ… เขาไม่ได้กำลังเงี่ยหูรอฟังปรมัตถ์อยู่สักนิด
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นลอยๆ
ธาดาขมวดคิ้ว สบโอกาสได้เงยหน้ามองอดีตหลานชายคนโปรด...
แสงอาทิตย์ยามบ่ายลอดริ้วใบไม้ลงมาตกกระทบเสี้ยวหน้านั้น ยามนี้ในสายตาเขา สีหน้าของปรมัตถ์ดูอ่อนเยาว์ผ่อนคลาย แสดงออกว่าอารมณ์ดีอย่างปิดไม่มิด บุคลิกเงียบขรึมที่แสดงออกให้คนภายนอกเห็นเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย กลายเป็นเรียบง่ายอ่อนโยนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“มัตถ์ยิ้มอะไร…?”
ชายหนุ่มอายุน้อยกว่าก้มลงจ้องตอบ เขายกมุมปากเพิ่มขึ้นอีกนิดเมื่อเห็นฝ่ายถามทำหน้ามุ่ย
ปรมัตถ์คิดในใจ เขาอมยิ้มน้อยๆ พร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะหันไปมองท้องน้ำสีเข้มอีกครั้ง
“อยากล่องเรือมั้ยครับ...”
TBC.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in