"ทำไมขาของนาย มัน....."
"อ่อขานี่นะเหรอ" เขามองลงที่ขาของตัวเอง สะโพกของเขามีลักษณะเหมือนสะโพกของกวางตัวเมีย มีขนสีน้ำตาลปกคลุม ยืนด้วยเท้าสองกีบ และมีหางยาว "มันเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาวาร์ปเดินทางมาที่นี่นะ รอเวลาอีกประมาณสักครู่ พอยาหมดฤทธิ์และกลับคืนสู่สภาพเดิมเอง"
"เธอหมายถึงผงฟูเหรอ"
"สิ่งที่ผมใช้เดินทางมาไหนไปไหนได้นั้นมันไม่ใช่ผงฟู แต่มันคือน้ำตาลไอซิ่ง" นีออนตอบกลับมาอย่างทันที
"การใช้ผงฟูนั้นเป็นผงที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันมีฤทธิ์กดระบบประสาทให้ผู้ใช้เกิดอาการสงบ และรู้สึกถึงความสุข ความใคร่ และคลายความเจ็บปวด แต่หากใช้ไปนานๆ จะมีจะทำให้ระบบประสาทเสื่อมเสีย ดังนั้นองค์กรทั่วโลกจึงแบนผงฟูที่ใช้เดินทางข้ามประเทศ และหันมาทดลองน้ำตาลไอซิ่งเป็นการทดแทน แต่การใช้น้ำตาลไอซิ่งนั้นยังคงมีปัญหาเหมือนอย่างที่ฉันเป็นนี่ไงล่ะ"
"ว่าแต่ว่า นี่มันอะไร ห้องทดลองอะไรของเธอนี่"
"อ่อใช่ ฉันเกือบจะอธิบายเธอไปแล้วเสียอีก"
หลังจากที่นีออนพูดจบ เขาหันหลังเดินไปหยิบรีโมทที่วางไว้บนโต๊ะ กดปุ่มบนรีโมท ทำให้จอรับภาพโปรเจคเตอร์ที่อยู่บนฝาผนังข้างหนึ่งค่อยๆ ร่วงลงมา นีออนเดินไปปิดไฟ แสงไฟภายในกระท่อมดับลง พร้อมกับมีภาพนิ่งปรากฏบนหน้าจอโปรเจคเตอร์ นีออกเดินไปหยิบเก้าอี้มาให้ฉันนั่ง ฉันนั่งลง เขาปรับเก้าอี้ที่นั่งให้อยู่ในท่าสบาย และหลังจากนั้นเขาเดินไปใกล้ๆ ที่จอโปรเจคเตอร์ หยิบแว่นตาขึ้นมาสวม หยิบปากกาเลเซอร์ชี้ไปยังภาพหน้าจอโปรเจคเตอร์
"สวัสดีท่านผู้ชมและผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผม นีออน จอห์น เคนตักกี้ นักศึกษาของมหาลัยอ๊อกปอด มหาลัยชื่อดังระดับโลก จะแฉองค์กรลับที่มีชื่อว่าบริษัทเรนโค้ทจำกัด โดยวัตถุประสงค์ของบริษัทเรนโค้ท ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลิตและวิจัยวัคซีนต้านไวรัส แต่เมื่อกี่ปีที่ผ่านมานี้ ไวรัสหลายๆ ตัวถูกพัฒนาและกลายพันธุ์ให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม พวกมันจัดปาร์ตี้สวิงกิ้งระหว่างเผ่าพันธุ์ ชุมนุมก่อหวอด ระหว่างกัน ทำให้เกิดการวิวัฒนาการที่เรียกว่า Jogress เป็นผลทำให้ไวรัสรุ่นใหม่กลายเป็นไวรัสที่แข็งแกร่งกว่าเดิม"
"ดังนั้น บริษัทเรนโค้ทไม่นิ่งนอนใจ จึงมุ่งหน้าวิจัยและค้นคว้าพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อกรกับไวรัสรุ่นใหม่ พวกเขาเพาะพันธุ์ไวรัสขึ้นมา ตัดแต่งพันธุ์กรรมเพื่อทดลองหาวัคซีนที่มาปราบไวรัสประเภทนี้ แต่แล้วนักวิจัยภายในคนหนึ่งเป็นหูเป็นตาเป็นใจ เห็นช่องทางร่ำรวย จึงนำเอาไวรัสนี้ไปขายกับโรงงานพลาสติกที่มีผลประกอบการยอดแย่ พวกเขามองเห็นว่านี่เป็นช่องทางการดิสเครดิสถุงผ้าที่ผู้คนทั้งโลกหันมาใช้แทนถุงพลาสติก ผู้ประกอบการโรงงานจึงเอาไวรัสที่หลุดออกมาจากห้องทดลองนั้น ไปใส่ในผสมของไส้กรอกโบโลน่า เมื่อผู้ซื้อซื้อสินค้าชนิดนี้ใส่ในถุงผัา ไวรัสจะกระโดดจากไส้กรอกโบโลน่าไปยังถุงผ้า ถุงผ้าจะเป็นพาหนะนำไวรัส ทำให้มันสามารถแพร่กระจายจากถุงหนึ่งไปยังถุงหนึ่ง และลุกลามต่อไปอีกหลายถุง จนทำให้เกิดการแพร่ระบาด ใครก็ตามที่ได้สัมผัสกับถุงผ้าที่มีไวรัสชนิดนี้อยู่ ก็จะติดพิษของมัน"
เขาเดินไปจิบน้ำในแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ ครู่หนึ่ง เมื่อฉัันหันมองที่ขาของเขา ขาของเขากลับมาเป็นขาคนเหมือนเดิม ยาหมดฤทธิ์แล้ว เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ และรอจังหวะจะพูดต่อไป
"พิษของมันน่ากลัวมาก ผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จะมีอาการกระเหี้ยนกระหือรือ กระเสี้ยนกระสัน รู้สึกมีพลังแรงจูงใจในการทำงาน แต่เมื่องานบรรลุเป้าหมายแล้ว สุดท้ายก็จะเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น ยกตัวอย่างเคสของคนแถบแม่น้ำไนล์ที่เป็นเอดส์แล้วอยากเป็นหมอ วันต่อมาก็พบว่ากล้ามเนื้อตายและภายในตัวเขาพบสารโพแทสเซียมคลอไรด์ที่เขาฉีดเข้าตัวเองจนเสียชีวิต หรือเคสของยามรักษาการณ์ของประเทศอัลไต อยากทำงานเป็นผู้บริหาร บุกยึดห้อง CEO บริหารจนบริษัทขาดทุนย่อยยับ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา หรืออย่างในกรณีล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวชายคลุ้มคลั่งเดือดดาลอยากขับเครื่องบิน จึงเข้าไปทำร้ายกัปตันและขับเครื่องบินตกลง ทำให้ผู้โดยสารทุกคนเสียชีวิต "
"ฉันคือคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่ก็รอดชีวิตมาได้เพียงคนเดียว" ฉันมีน้ำตาไหลออกมาอย่างกะทันหัน เขายืนตัวแข็ง จนพูดต่อไปไม่ถูก ฉันเอามือปิดหน้าของตัวเอง นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ฉากเลวร้ายเหล่านั้น ภาพของผู้คนเสียชีวิตนอนจมกองเลือด ห้องเครื่องบินที่ขาดครึ่งท่อน ศพที่แขนขาด ขาขาด คอหัก มันพุ่งเข้ามาภายในหัวชวนให้ฉันสะอิดสะเอียด
"ผมขอโทษนะ....ที่พูดถึึงเรื่องตรงนี้ให้เธอฟัง ถ้าผมรู้ก่อนว่ามันเป็นแบบนี้ผมควรตัดเคสตรงนี้ทิ้งไป" เขาเดินเข้ามาลูบไหล่ของฉัน ยื่นกระดาษชำระ พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน ฉันหยิบกระดาษชำระและปาดเช็ดน้ำตา รวบรวมสติ และหยุดร้องไห้
"ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะ...เธอพูดต่อเถอะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
"เธอเข้าใจแล้วใช่ไหม น่าเสียดายที่ทั่วโลกยังคงเลือกใช้ถุงผ้า มีเพียงคนไม่กี่คนที่พบเจอไวรัสชนิดใหม่ชนิดนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ผมและเพื่อนของผม ผมจึงตั้งชื่อให้มันว่า Bolognavirus"
"ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเพื่อนนักศึกษาของผม ผู้ที่ปั่นโปรเจคต์ไม่ได้หลับไม่นอนเพื่อส่งให้กับอาจารย์ประจำวิชา แต่แล้วเขาก็เสียชีวิตในวันต่อมา ผมกับเพื่อนจึงเอาชิ้นเนื้อไปพิสูจน์จนพบว่ามีโปรตีนของไวรัสตัวนี้แอบแฝง เป็นไวรัสที่ติดมากับถุงผ้า ถุงผ้าที่มีไส้กรอกโบโลน่า ไส้กรอกโบโลน่าถูกผลิตโดยโรงงาน และโรงงานนั้นซื้อไวรัสมาจากบริษัทเรนโค้ท ดัังนั้นบริษัทเรนโค้ทคือต้นเหตุของการเกิดไวรัสทั้งหมด"
"ผมและเพื่อนจึึงเดินทางมาที่ rabbit city อันเป็นบ้านเกิดของบริษัทเรนโค้ทจำกัด เพื่อต้องการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์นี้ รวมกระทั้งหายาวัคซีนด้วย แต่เมื่อมาถึึงเมืองได้ไม่นาน บริษัทเรนโค้ท จึงได้สร้างลัทธิมองคนต่างชาติเป็นศัตรู และไล่ล่าฆ่าล้างคนเห็นต่าง มองเป็นพวกเขาเป็นพวกสมคบคิดกับต่างชาติทำลายเมือง ทั้งที่ความเป็นจริงคือพวกบริษัทเขาต้องการปกปิดข่าวเพื่อไม่ให้สืบสาวราวเรื่องอื้อฉาวมาถึงบริษัทแค่นั้นเอง"
"ที่บริษัทเรนโค้ทมีการรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น ผมกับเพื่อนจึงสร้างตู้เสื้อผ้าเป็นประตูเดินทางระหว่างห้องทดลองและเมือง Rabbit City และตั้งห้องแลปที่นี่เพื่อศึึกษาค้นคว้าและวิจัยไวรัสตัวนี้ การวิจัยของพวกเราใกล้จะสำเร็จแล้ว ขาดเพียงจิ๊กซอว์แค่เพียงตัวเดียวมาเติมเต็มให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบ แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อนของผมก็ดันมาหายตัวไป มันทำให้เป้าหมายของผมห่างไกลไปทุกที หนทางการช่วยโลกมันเลือนลางมาก ไวรัสยังคงแพร่กระจายทั่วโลก คนที่ตายก็ถูกปกปิดหรือบิดเบือนความจริง ทางการก็ไม่ดิ้นรนไขว่คว้าและซุกเก็บมันไว้ใต้พรม หรือจะต้องรอให้ #รจตกม ไปครึ่งค่อนโลกก่อนที่คนทั่วไปจะตระหนักไวรัสตัวนี้"
"นีออน....ฉันพอช่วยอะไรเธอได้บ้างไหม" ฉันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนัักแน่น "ถึงฉันไม่มีความรู้ความสามารถในการผลิตวัคซีนนะ แต่ฉันก็จะพยายามจะช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่"
ปังงงง!!!
เสียงของกระแทกกับประตูอย่างรุนแรง และมีเสียงกระแทกตามขึ้นมาสองถึึงสามครั้ง ฉันมองประตูกระท่อม เห็นรูเปิดเป็นช่องกว้าง หลังจากนัั้นก็มีวัตถุคล้ายกับเหล็กกระแทกกับประตูอีกครั้ง
"คนจำพวกกองทัพโบโลน่าไวรัสสินะ" เขากล่าวขึ้นมาอย่างลอย แล้วเดินไปหยิบขวดกระป๋อง "พวกคนที่มีความทะเยอทะยานอยากแพร่กระจายไวรัสไปยังทั่วโลก เพื่อให้คนทั้งโลกติดเชื้อ รวมทั้งพวกเราด้วย"
"นีออน เราจะทำอย่างไรดี"
"ที่นี่ไม่ปลอดภัย....เราไปจากที่นี่กันเถอะ"
นีออนจับแขนของฉันเอาไว้ แล้วหลัังจากนั้นสบตากับฉัน เขายื่นมือมา แบมือให้ฉันเห็นน้ำตาลไอซิ่ง เขาพยักหน้าครั้งหนึ่ง และปาน้ำตาลไอซิ่งลงบนพื้น หลังจากนั้นเกิดกลุ่มควันลอยปกคลุมตัวของพวกเราทั้งสองคน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in