เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Virohazard : มหันตภัยไวรัสล้างโลกHacker Dewdie
ตอนที่ 2 : พลิกองค์กรพิฆาต ไวรัสตัวร้าย Raincoat Co., Ltd

  •           ฉันเดินลงบันไดจากชั้นสองอย่างช้าๆ และเดินเข้าไปในห้องรับแขก พบนีออนนอนบนโซฟาในท่านอนไม่เป็นผู้เป็นคน  โทรทัศน์แสดงเป็นภาพพักหน้าจอ มือของเขากำรีโมทไว้แน่น ฉันเดินเข้าไปแล้วนั่งลงข้างๆ เขา สายตาจดจ้องมองเขาในขณะหลับ ใบหน้าของเขาเหมือนคนฝรัั่งผสมเอเชีย คิ้วเข้ม มีเครา หน้าใสไร้สิว ร่างกายของเขาดูล่ำสัน มีกล้ามเล็กน้อยจนอยากเอามือไปลูบเล่น 


              ฉันจ้องมองเขาชั่วครู่ หยิบผ้าห่มที่ร่วงบนพื้นและห่มให้เขา แล้วหลังจากนั้นฉันก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องครัว เปิดตู้เย็น เปิดเคาเตอร์ลิ้นชัก เพื่อทำอาหารเช้า วัตถุดิบที่มีอยู่ในครัวตอนนี้มีเพียงไข่และปลาทูน่ากระป๋องเท่านั้น ฉันนั่งคิดเมนูอาหารเช้า ไม่ว่าจะเป็นเมนูอะไรฉันก็คิดว่าคงไม่พอต่อเราสองคน  จนฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ฉัันเห็นพืชผัักสวนครัวที่เขาปลูกไว้ มีทั้งแครอท ผักกาด มะเขือเทศ แตงกวา และอื่นๆ อีกมากมาย  ฉันนึกออกแล้ว เมนูเช้าวันนี้ ฉันจะทำสลัดผัก 


              ฉัันเดินออกไปนอกบ้าน เก็บผักทุกอย่างที่สามารถทำสลัดได้ วางในถาดใบใหญ่ ล้างให้สะอาด หั่นผักกาด มะเขือเทศ แตงกวา แครอท แล้วใส่ลงในชามผสมใบใหญ่ กรอกน้ำ ต้มน้ำ ใส่ไข่ลงไปจนสุก ปอกเปลือกไข่ ผ่าแบ่งครึ่ง วางในชามผสม หยิบปลาทูน่ากระป๋องในตู้เย็น เปิดและตักใส่ชามผสม หลังจากนั้นฉันใช้ไข่แดง มะนาว เกลือ พริกไทย และน้ำมันมะกอกทำน้ำสลัด ตักในชามผสม และคลุกเคล้าผสมให้เข้ากันเป็นอันเสร็จเรียบร้อย 


              "ทำอะไรอยู่เหรอ"  เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นมาในระหว่างที่ฉันกำลังผสมให้น้ำสลัดเข้ากับผัก ฉันสะดุ้งตกใจ ฉันหันไปหาที่มาของเสียง เป็นเสียงนีออนนั้นเอง เขาโผล่เข้ามาในห้องครัวอย่างที่ฉันไม่รู้ตัวเลย


              "เออ..ทำสลัดผักค่ะ จะทำสลัดให้เธอทาน"


              "เธอทำเป็นด้วยเหรอ"  เขาเดินไปที่ตู้เย็น และหยิบน้ำเปล่าใส่แก้ว "เธอนี่เก่งจังเลยนะ ผมยังทำไม่เป็นเลย ทุกวันนี้ก็ได้แต่ไปซื้อของสำเร็จรูปมากินเท่านั้นเอง ไหนๆ ดูสิ ...เอ๊ะ...น่ากินจังเลย หิวแล้ว"



              "ปิ๊งป่อง!!!!"
              เสียงกริ่งดัังขึ้นมาทำให้เราทั้งสองคนรู้สึกตกใจ  นีออนเดินไปหยิบเสื้อและกางเกงที่แขวนกับเสาแขวนผ้ามาสวมใส่ หลังจากนั้นเดินไปที่หน้าประตูหน้าบ้านมองลอดออกผ่านช่องตาแมว สักครู่หนึ่งจึงหันกลับมามองฉัน


              เขาเอามือกวาดไล่ฉัน และชี้นิ้วขึึ้นไปด้านบนของห้อง ฉันเข้าใจว่าเขาต้องการให้ฉันหลบอยู่บนห้องชั้นสอง ฉันจึึงวางถ้วยชามสลัดลง แล้วรีบวิ่งขึึ้นไปชั้นสองโดยทันที หลังจากที่ฉันขึึ้นบันไดไปแล้ว เขาเปิดประตูบ้านต้อนรับ 


              "สวัสดีครับคุณนีออน  ผมนักสืบโมจิ โกโกโก้ และทีมองค์กรเรนโค้ทจำกัด ขออนุญาตสืบค้นหาหญิงผู้ต้องสงสัย เบื้องต้นทางเราได้รับรายงานว่ามีผู้พบเห็นคุณเชิญผู้หญิงแปลกบ้านเข้าบ้านโดยผิดวิสัยมนุษย์ทั่วไปที่เขาทำกัน ดังนั้นผมนักสืบโมจิ โกโกโก้ ขออนุญาตตรวจค้นบ้านคุณหน่อยก็แล้วกันนะครับ แล้วนี่คือหมายศาลขอเข้าตรวจค้นนะครับ"


              "เออ..ครับ"


              "คุณอยู่บ้านคนเดียวเหรอครับ"


              "อ่อ..ผมอยู่คนเดียวครับ เผอิญว่าผมเป็นนักศึกษาฝึกงานมาฝึึกงานที่นี่ แล้วเออ แล้วก็มาอาศัยอยู่ที่นี่ ก็อยู่ลำพัง ตัวคนเดียวนี่แหละครับ เหงามาก"


              "เอ๊ะ...คุณทำสลัดเป็นด้วยเหรอ"  นักสืบเดินเข้าไปในครัว แล้วมองดูถ้วยสลัดที่่นิลทำไว้ "ดูท่าทางผักกาดที่คุณทำนั้นช่างประณีต ละเอียด เสียเหลือเกิน ดูไข่ต้มนี่สิ ถ้าผู้ชายทำไข่ต้ม เขาปอกไข่ไม่สวยงาม แต่ไข่ต้มทีี่ปอกเปลือกแล้ว ไม่มีรอยขรุขระอย่างนี้ รวมกับแครอทที่ฝ่านเป็นเส้นบางๆ ขนาดที่ไม่เกิน 0.3 mm อย่างนี้ ถ้าผู้ชายทำ เขาต้องตัดชิ้นแครอทเป็นชิ้นอย่างแน่แท้ แต่นี่ไม่ใช่ คนที่ทำอย่างนี้ได้ต้องเป็นฝีมือผู้หญิง ใช่แล้ว ผู้หญิงแน่นอน คุณเอาคุณผู้หญิงไปเก็บไว้ที่ไหน"


              "เออ...นั่นเป็นสลัดที่ผมเรียนรู้มาจากอินเตอร์เน็ต แล้วทำอย่างช่ำชองแล้วครับ คุณนักสืบ"

                        
              "งั้น...หวังเหว่ย หมาหมู่ ไปตรวจดูชั้นสองสิ"


              ฉันเริ่มรู้สึกบรรยากาศไม่ค่อยดี จึงรีบเดินเข้าไปในห้องนอนของนีออน ปิดประตูห้องอย่างเบาๆ  เพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกไป ฉันนั่งพิงผนัง และอยู่ให้นิ่งเงียบ เสียงโหวกเหวกโวยวายการรื้อกระจายข้าวของดังขึ้นจากข้างนอก สักครู่หนึ่งฉันได้ยินคนสองคนพูดคุยหน้าประตูห้องนอน ฉันค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เปิดประตูเสื้อผ้า แล้วเข้าไปหลบอยู่ด้านใน


              ในความมืดมิด และกลิ่นอับของเสื้อผ้า ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ค่อยสะดวก พวกเขาทั้งสองคนเปิดประตูห้องนอน เสียงของคนทั้งสองพูดไปพูดมาจนฉันเริ่มหวาดกลัว ฉัันกระเถิบถอยหลังไปเรื่อยๆ เพื่อให้หลังติดผนังตู้ หากพวกเขาเปิดประตูตู้เสื้อผ้า อย่างน้อยเสื้อผ้าจะอำพรางตัวฉัน ยิ่งฉันกระเถิบถอยหลังมากขึึ้นเท่าไหร่ ฉันไม่มีความรู้สึกผนังแตะหลังของฉัน ฉันกระเถิบยาวมากขึ้นจนฉันล้มลง ม้วนหลัง 2 รอบ และนอนแผ่หลาอยู่กับพื้นนุ่ม ฉันสัมผัสกับพื้นที่หนาวเย็น และเมื่อลืมตาขึ้นมาฉันเห็นบรรยากาศโดยรอบขาวโพลน


              "นี่มันที่ไหนกัน...."


              ป่าเขาและต้นไม้ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ มีหิมะตกจากท้องฟ้า ฉันเอามือดันพื้น และลุกขึ้นเดินไปตามทาง ฉันมองซ้ายมองขวา มองบรรยากาศไปรอบๆ ยื่นมือไปสัมผัสกับเกล็ดหิมะ หยิบหิมะบนพื้นและขว้างออกไปราวกับราชินีหิมะเสกคาถา ฉันคิดถึงพี่สมคิด ถ้าพี่สมคิดอยู่ที่นี่ ฉันจะชวนพี่สมคิดมาเล่นปั้นมนุษย์หิมะด้วยกัน และตั้งชื่อมันว่า "โอฬาร"   


              ฉันตั้งสติและเดินไปตามทางเรื่อยๆ เหยียบย่ำพื้นหิมะจนเป็นรอยทางเดิน ฉันก้าวเท้ายาวๆ ข้ามกองหิมะที่สูงเหนือเข่า  จนกระทั่งเห็นกระท่อมที่อยู่ตรงหน้า หิมะเริ่มตกแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันจึงเดินเข้าไปหลบในกระท่อม


              เมื่อฉันเดินผ่านประตูบ้านกระท่อมหลังนี้ไป ฉันพบความผิดปกติภายในกระท่อม มีกระดานแผ่นใหญ่ที่ติดอยู่กับผนัง มีร่องรอยของการขีดเขียนเป็นรูปโครงสร้างของโมเลกุล การดุลสมการเคมี ปฏิกิริยาของเคมี การทดลองทางเคมี และอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเคมีอีกมากมาย มีโต๊ะใหญ่ยาวอยู่ตรงกลางห้อง มีบีกเกอร์ หลอดทดลอง จานเพาะเชื้อ กล้องจุลทรรศน์ และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเคมีมากมายวางอยู่บนโต๊ะ และมีหนังสือเล่มใหญ่วางกระจัดกระจายตามพื้นทางเดิน


              "เธอคงเห็นความจริงแล้วใช่ไหม กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงนี้"  เสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาจากมุมหนึ่งของห้อง ทำให้ฉันตกใจและกรี๊ดร้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน  


               "นี่คือห้องแลปการทดลองของฉันเอง"  ฉันหันไปหาที่มาของเสียง พบนีออกเผยตัวตนออกมาจากมุมหนึ่งของห้อง




  •            "ทำไมขาของนาย มัน....."


               "อ่อขานี่นะเหรอ"  เขามองลงที่ขาของตัวเอง สะโพกของเขามีลักษณะเหมือนสะโพกของกวางตัวเมีย มีขนสีน้ำตาลปกคลุม ยืนด้วยเท้าสองกีบ และมีหางยาว "มันเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาวาร์ปเดินทางมาที่นี่นะ รอเวลาอีกประมาณสักครู่ พอยาหมดฤทธิ์และกลับคืนสู่สภาพเดิมเอง"


               "เธอหมายถึงผงฟูเหรอ"


               "สิ่งที่ผมใช้เดินทางมาไหนไปไหนได้นั้นมันไม่ใช่ผงฟู แต่มันคือน้ำตาลไอซิ่ง" นีออนตอบกลับมาอย่างทันที  


              "การใช้ผงฟูนั้นเป็นผงที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันมีฤทธิ์กดระบบประสาทให้ผู้ใช้เกิดอาการสงบ และรู้สึกถึงความสุข ความใคร่ และคลายความเจ็บปวด  แต่หากใช้ไปนานๆ จะมีจะทำให้ระบบประสาทเสื่อมเสีย ดังนั้นองค์กรทั่วโลกจึงแบนผงฟูที่ใช้เดินทางข้ามประเทศ และหันมาทดลองน้ำตาลไอซิ่งเป็นการทดแทน แต่การใช้น้ำตาลไอซิ่งนั้นยังคงมีปัญหาเหมือนอย่างที่ฉันเป็นนี่ไงล่ะ"


               "ว่าแต่ว่า นี่มันอะไร ห้องทดลองอะไรของเธอนี่"


               "อ่อใช่ ฉันเกือบจะอธิบายเธอไปแล้วเสียอีก"

               
               หลังจากที่นีออนพูดจบ เขาหันหลังเดินไปหยิบรีโมทที่วางไว้บนโต๊ะ กดปุ่มบนรีโมท ทำให้จอรับภาพโปรเจคเตอร์ที่อยู่บนฝาผนังข้างหนึ่งค่อยๆ ร่วงลงมา นีออนเดินไปปิดไฟ แสงไฟภายในกระท่อมดับลง พร้อมกับมีภาพนิ่งปรากฏบนหน้าจอโปรเจคเตอร์  นีออกเดินไปหยิบเก้าอี้มาให้ฉันนั่ง ฉันนั่งลง เขาปรับเก้าอี้ที่นั่งให้อยู่ในท่าสบาย และหลังจากนั้นเขาเดินไปใกล้ๆ ที่จอโปรเจคเตอร์ หยิบแว่นตาขึ้นมาสวม หยิบปากกาเลเซอร์ชี้ไปยังภาพหน้าจอโปรเจคเตอร์


               "สวัสดีท่านผู้ชมและผู้มีเกียรติทุกท่าน กระผม นีออน จอห์น เคนตักกี้ นักศึกษาของมหาลัยอ๊อกปอด มหาลัยชื่อดังระดับโลก จะแฉองค์กรลับที่มีชื่อว่าบริษัทเรนโค้ทจำกัด โดยวัตถุประสงค์ของบริษัทเรนโค้ท ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลิตและวิจัยวัคซีนต้านไวรัส แต่เมื่อกี่ปีที่ผ่านมานี้ ไวรัสหลายๆ ตัวถูกพัฒนาและกลายพันธุ์ให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม พวกมันจัดปาร์ตี้สวิงกิ้งระหว่างเผ่าพันธุ์ ชุมนุมก่อหวอด ระหว่างกัน ทำให้เกิดการวิวัฒนาการที่เรียกว่า Jogress  เป็นผลทำให้ไวรัสรุ่นใหม่กลายเป็นไวรัสที่แข็งแกร่งกว่าเดิม"


               "ดังนั้น บริษัทเรนโค้ทไม่นิ่งนอนใจ จึงมุ่งหน้าวิจัยและค้นคว้าพัฒนาวัคซีนเพื่อต่อกรกับไวรัสรุ่นใหม่  พวกเขาเพาะพันธุ์ไวรัสขึ้นมา ตัดแต่งพันธุ์กรรมเพื่อทดลองหาวัคซีนที่มาปราบไวรัสประเภทนี้ แต่แล้วนักวิจัยภายในคนหนึ่งเป็นหูเป็นตาเป็นใจ เห็นช่องทางร่ำรวย จึงนำเอาไวรัสนี้ไปขายกับโรงงานพลาสติกที่มีผลประกอบการยอดแย่ พวกเขามองเห็นว่านี่เป็นช่องทางการดิสเครดิสถุงผ้าที่ผู้คนทั้งโลกหันมาใช้แทนถุงพลาสติก  ผู้ประกอบการโรงงานจึงเอาไวรัสที่หลุดออกมาจากห้องทดลองนั้น ไปใส่ในผสมของไส้กรอกโบโลน่า เมื่อผู้ซื้อซื้อสินค้าชนิดนี้ใส่ในถุงผัา ไวรัสจะกระโดดจากไส้กรอกโบโลน่าไปยังถุงผ้า ถุงผ้าจะเป็นพาหนะนำไวรัส ทำให้มันสามารถแพร่กระจายจากถุงหนึ่งไปยังถุงหนึ่ง และลุกลามต่อไปอีกหลายถุง จนทำให้เกิดการแพร่ระบาด ใครก็ตามที่ได้สัมผัสกับถุงผ้าที่มีไวรัสชนิดนี้อยู่ ก็จะติดพิษของมัน"


                เขาเดินไปจิบน้ำในแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆ ครู่หนึ่ง เมื่อฉัันหันมองที่ขาของเขา ขาของเขากลับมาเป็นขาคนเหมือนเดิม ยาหมดฤทธิ์แล้ว เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ และรอจังหวะจะพูดต่อไป


               "พิษของมันน่ากลัวมาก ผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จะมีอาการกระเหี้ยนกระหือรือ กระเสี้ยนกระสัน รู้สึกมีพลังแรงจูงใจในการทำงาน แต่เมื่องานบรรลุเป้าหมายแล้ว สุดท้ายก็จะเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น ยกตัวอย่างเคสของคนแถบแม่น้ำไนล์ที่เป็นเอดส์แล้วอยากเป็นหมอ วันต่อมาก็พบว่ากล้ามเนื้อตายและภายในตัวเขาพบสารโพแทสเซียมคลอไรด์ที่เขาฉีดเข้าตัวเองจนเสียชีวิต หรือเคสของยามรักษาการณ์ของประเทศอัลไต อยากทำงานเป็นผู้บริหาร บุกยึดห้อง CEO บริหารจนบริษัทขาดทุนย่อยยับ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา  หรืออย่างในกรณีล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีข่าวชายคลุ้มคลั่งเดือดดาลอยากขับเครื่องบิน จึงเข้าไปทำร้ายกัปตันและขับเครื่องบินตกลง ทำให้ผู้โดยสารทุกคนเสียชีวิต "


               "ฉันคือคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่ก็รอดชีวิตมาได้เพียงคนเดียว"  ฉันมีน้ำตาไหลออกมาอย่างกะทันหัน เขายืนตัวแข็ง จนพูดต่อไปไม่ถูก ฉันเอามือปิดหน้าของตัวเอง  นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ฉากเลวร้ายเหล่านั้น ภาพของผู้คนเสียชีวิตนอนจมกองเลือด ห้องเครื่องบินที่ขาดครึ่งท่อน ศพที่แขนขาด ขาขาด คอหัก มันพุ่งเข้ามาภายในหัวชวนให้ฉันสะอิดสะเอียด


               "ผมขอโทษนะ....ที่พูดถึึงเรื่องตรงนี้ให้เธอฟัง ถ้าผมรู้ก่อนว่ามันเป็นแบบนี้ผมควรตัดเคสตรงนี้ทิ้งไป" เขาเดินเข้ามาลูบไหล่ของฉัน ยื่นกระดาษชำระ พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน  ฉันหยิบกระดาษชำระและปาดเช็ดน้ำตา รวบรวมสติ และหยุดร้องไห้ 


              "ฉันไม่เป็นไร ขอบใจนะ...เธอพูดต่อเถอะ"  ฉันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ


               "เธอเข้าใจแล้วใช่ไหม น่าเสียดายที่ทั่วโลกยังคงเลือกใช้ถุงผ้า มีเพียงคนไม่กี่คนที่พบเจอไวรัสชนิดใหม่ชนิดนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ผมและเพื่อนของผม ผมจึงตั้งชื่อให้มันว่า Bolognavirus"


               "ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเพื่อนนักศึกษาของผม ผู้ที่ปั่นโปรเจคต์ไม่ได้หลับไม่นอนเพื่อส่งให้กับอาจารย์ประจำวิชา แต่แล้วเขาก็เสียชีวิตในวันต่อมา ผมกับเพื่อนจึงเอาชิ้นเนื้อไปพิสูจน์จนพบว่ามีโปรตีนของไวรัสตัวนี้แอบแฝง เป็นไวรัสที่ติดมากับถุงผ้า ถุงผ้าที่มีไส้กรอกโบโลน่า ไส้กรอกโบโลน่าถูกผลิตโดยโรงงาน และโรงงานนั้นซื้อไวรัสมาจากบริษัทเรนโค้ท ดัังนั้นบริษัทเรนโค้ทคือต้นเหตุของการเกิดไวรัสทั้งหมด"


               "ผมและเพื่อนจึึงเดินทางมาที่ rabbit city อันเป็นบ้านเกิดของบริษัทเรนโค้ทจำกัด เพื่อต้องการวิจัยเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์นี้ รวมกระทั้งหายาวัคซีนด้วย แต่เมื่อมาถึึงเมืองได้ไม่นาน  บริษัทเรนโค้ท จึงได้สร้างลัทธิมองคนต่างชาติเป็นศัตรู และไล่ล่าฆ่าล้างคนเห็นต่าง มองเป็นพวกเขาเป็นพวกสมคบคิดกับต่างชาติทำลายเมือง  ทั้งที่ความเป็นจริงคือพวกบริษัทเขาต้องการปกปิดข่าวเพื่อไม่ให้สืบสาวราวเรื่องอื้อฉาวมาถึงบริษัทแค่นั้นเอง"


               "ที่บริษัทเรนโค้ทมีการรักษาความปลอดภัยอย่างหนาแน่น  ผมกับเพื่อนจึงสร้างตู้เสื้อผ้าเป็นประตูเดินทางระหว่างห้องทดลองและเมือง Rabbit City  และตั้งห้องแลปที่นี่เพื่อศึึกษาค้นคว้าและวิจัยไวรัสตัวนี้  การวิจัยของพวกเราใกล้จะสำเร็จแล้ว ขาดเพียงจิ๊กซอว์แค่เพียงตัวเดียวมาเติมเต็มให้ทุกอย่างมันสมบูรณ์แบบ  แต่แล้ววันหนึ่งเพื่อนของผมก็ดันมาหายตัวไป  มันทำให้เป้าหมายของผมห่างไกลไปทุกที  หนทางการช่วยโลกมันเลือนลางมาก ไวรัสยังคงแพร่กระจายทั่วโลก คนที่ตายก็ถูกปกปิดหรือบิดเบือนความจริง ทางการก็ไม่ดิ้นรนไขว่คว้าและซุกเก็บมันไว้ใต้พรม หรือจะต้องรอให้ #รจตกม ไปครึ่งค่อนโลกก่อนที่คนทั่วไปจะตระหนักไวรัสตัวนี้"


               "นีออน....ฉันพอช่วยอะไรเธอได้บ้างไหม"  ฉันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่หนัักแน่น "ถึงฉันไม่มีความรู้ความสามารถในการผลิตวัคซีนนะ แต่ฉันก็จะพยายามจะช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่"
     

               ปังงงง!!!
               เสียงของกระแทกกับประตูอย่างรุนแรง และมีเสียงกระแทกตามขึ้นมาสองถึึงสามครั้ง ฉันมองประตูกระท่อม เห็นรูเปิดเป็นช่องกว้าง หลังจากนัั้นก็มีวัตถุคล้ายกับเหล็กกระแทกกับประตูอีกครั้ง 


               "คนจำพวกกองทัพโบโลน่าไวรัสสินะ"  เขากล่าวขึ้นมาอย่างลอย แล้วเดินไปหยิบขวดกระป๋อง "พวกคนที่มีความทะเยอทะยานอยากแพร่กระจายไวรัสไปยังทั่วโลก เพื่อให้คนทั้งโลกติดเชื้อ รวมทั้งพวกเราด้วย"


               "นีออน เราจะทำอย่างไรดี"


               "ที่นี่ไม่ปลอดภัย....เราไปจากที่นี่กันเถอะ"  


               นีออนจับแขนของฉันเอาไว้ แล้วหลัังจากนั้นสบตากับฉัน เขายื่นมือมา แบมือให้ฉันเห็นน้ำตาลไอซิ่ง เขาพยักหน้าครั้งหนึ่ง และปาน้ำตาลไอซิ่งลงบนพื้น หลังจากนั้นเกิดกลุ่มควันลอยปกคลุมตัวของพวกเราทั้งสองคน 








  •            แค่ก แค่ก !!!
               ควันสีขาวลอยเข้าภายในปาก ทำให้เกิดอาการระคายเคืองในช่องลำคอจนฉันสำลักควันออกมา หลังจากกลุ่มควันสีขาวหายไป ฉันพบว่าฉันอยู่ภายในสวนสาธารณะกลางคืนแห่งหนึ่ง มีตึกมากมายเต็มไปหมดเลย มีแสงไฟส่องสว่างลอดผ่านหน้าต่างทำให้เป็นเห็นเป็นทิวทัศน์ของเมืองในเวลาคืน


               "ที่นี่คือที่ไหนกันล่ะ" ฉันถามขึ้นด้วยความสงสัย


               "สวนสาธารณะแห่งหนึ่งภายในประเทศแถบทางตอนเหนือของยุโรป" นีีออนตอบฉัน "เป็นที่ที่มีการซุปเปอร์สเปรดเดอร์มากที่สุด และมีคนเสียชีวิตที่นี่เป็นจำนวนหลายคน แต่ทางการปกปิดยอดจำนวนผู้เสียชีวิตเอาไว้"


               "จะมาทำไมกันที่นี่....นี่เธออยากให้ฉันติดเชื้องั้นเหรอ"


               "เปล่าา...." ขอตอบด้วยน้ำเสียงสูง "เราจะมาหาคีย์เมคเกอร์ ผู้ที่สามารถพาพวกเราเข้าสู่บริษัทเรนโค้ทได้ โดยปราศจากการจับกุม"


               "แฮคเกอร์เหรอ"


               "ไม่ใช่ไม่ใช่...คีย์เมคเกอร์ต่างหาก" เขาตอบมาทันท่วงที "เรามีนัดพบเจอกับเขาที่นี่ เวลานี้ อีกเดี๋ยวเขาจะมาแล้วล่ะ"


               หลังจากนัั้นไม่นาน ฉันเห็นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซต์คันหนึ่ง ฉายแสงออกมาจากพุ่มไม้ที่มืดมิด รถคันนั้นวิ่งตรงเข้ามาจอดที่ใกล้ๆ ที่ฉันยืน หลังจากนั้นเขาก็ตั้งขาตั้ง ดับเครื่องยนต์ เอาหมวกกันน๊อตแขวนไว้ที่กระจก รูปซิบถอดเสื้อคลุม แล้วหยิบสิ่งของที่แขวนกับแขนรถมอเตอร์ไซต์ และเดินเข้ามาใกล้นีออน


               "ไงน้อง...ได้ของที่ฉันต้องการมาแล้วใช่ไหม"


               "ไม่ไหวว่ะพี่ ผมทำกันแทบตายกว่าจะได้สิ่งของสิ่งนี้มา มันไม่คุ้มค่ากันเลยกับสิ่งของชิ้นนี้"


               "แล้วน้องต้องการอะไร ชื่อเสียง เงินทอง ของหายาก สร้อยคอ แหวนเพชรล่ะ......แต่พี่ไม่มีให้หรอกนะ เพราะว่าพี่เป็นแค่นักศึกษาฝึกงาน"


               คีย์เมคเกอร์คนนั้นพูดจบแล้วมองหน้าฉัน


               "คนนี้แฟนพี่เหรอ"


               "เห้ย เปล่า....ไม่ใช่" นีออนพูดสวนทันที "เธอเป็นเออ....เป็นน้องสาวของเพื่อนพี่นะ"


               หลังจากที่นีออนพูดจบ ฉันรู้สึึกสะดุ้งขึึ้นมาเล็กน้อย


               "น้องเขาน่ารักดีนะพี่"  คีย์เมคเกอร์คนนั้นตอบและสบตากับฉันอีกครั้ง "เอางี้ล่ะกัน....พี่....ผมขอจับมือน้องเขาแลกกับสิ่งนี้ล่ะกันนะพี่ นิดเดียวนะพี่นะ แค่ 8 วิเท่านั้นเอง ขอเถอะนะพี่นะ"


               นีออนหันมาสบตากับฉัน ฉันเห็นสายตาของเขาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่คาดหวังจากฉััน ฉันจึงพยักหน้าตอบรับกับเขา หลังจากนั้นเขาก็อนุญาตให้คีย์เมคเกอร์คนนั้นเดินเข้ามายืนตรงหน้าของฉัน


               คีย์เมคเกอร์ยื่นมือออกมาด้านหน้า ฉันจึงเอามือซ้ายกับมือซ้าย เอามือขวาจับมืือขวาของเขา เขามองสบตาของฉันอย่างไม่ลดละ ทำให้ฉันต้องสบตากับเขาตอบกลับด้วย จนเขาเริ่มมีอาการหน้าแดง และรู้สึกประหม่า


               "ขอบใจนะที่มอบของนี้ให้กับพวกเรา ฉันจะจำสิ่งที่คุณทำให้ฉันตลอดไป"


               "ขอบคุณนะพี่....พี่ทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ"


               "เอาละหมดเวลา 8 วิแล้ว หยุดจับมือได้แล้ว" นีออนพูดขึ้นมาทำให้ฉันต้องปล่อยมือของเขา คีย์เมคเกอร์คนนั้นมองต่ำและหลบตาของฉัน


               นีออนพูดคุยกับคีย์เมคเกอร์คนนั้นเล็กน้อย หลังจากนั้นพวกเราจึงร่ำลาต่อกัน คีย์เมคเกอร์คนนั้นหันมาสบตากับฉันอีกเช่นเคย ฉันจึงส่งยิ้มให้กับเขาปิดท้าย




    .................





               "เธอเนี่ยเสน่ห์แรงจริงนะเนี่ย" นีออนแซวฉัน หลังจากที่คีย์เมคเกอร์คนนั้นขับรถมอเตอร์ไซต์เดินทางลับหายจากไป


               "ก็นิดหน่อยนะพี่ ไม่ถึึงขนาดนั้น" ฉันรู้สึกเขินอายเล็กน้อย "เออว่าแต่เออ...เพื่อนของพี่เป็นพี่ชายของหนูที่หายตัวไปนั้นนะเหรอ"


               "ใช่แล้วล่ะ......มันบังเอิญ โลกกลม จังเลยเนอะ" นีออนตอบ


               "แล้วทำไมพี่จึงบอกล่ะ ว่าเพื่อนพี่คือพี่ชายของหนู"


               "พี่ก็อยากจะอธิบายให้น้องฟังนั้นแหละ แต่มันไม่มีเวลา...." พี่นีออนอธิบาย "เพื่อนของพี่เคยโชว์รูปถ่ายของน้องให้พี่ดู เขาพกรูปถ่ายนั้นไว้ในกระเป๋าตลอดเวลา เขาเล่าให้ฟังจนพี่คิดว่าน้องคือคนสำคััญของเพื่อนพี่ จนมาถึงวันที่ได้เจอน้องในขณะที่น้องโดนมัดแขวนไว้กับเสา พี่รู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตา คิดว่าเป็นน้องสมคิด ก็เลยหาทางช่วยเหลือน้อง  จนมาถึงตอนนี้เนี่ยแหละ"


               "แล้วพี่สมคิดของหนูหายตัวไปได้อย่างไร ทำไมต้องหายตัวไปด้วย เกิดอะไรขึ้นเขา"


               "ความจริงแล้ว สมคิดถูกบริษัทเรนโค้ทจับคุมตัวไป ในขณะที่เขาเดินเข้าไปซื้อส้มตำในเมือง" นีออนพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย "บริษัทเรนโค้ท ต้องการคุมขังพี่สมคิดเอาไว้ เพื่อต้องการปกปิดการแพร่ระบาดของไวรัส"


               "แล้วจะทำยังไงกันดี พี่สมคิดจะปลอดภัยดีไหม"


               "พี่คิดว่าเขาคงปลอดภัยดีแหละ เพื่อนของพี่เก่งอยู่แล้ว เผชิญกับหลายสถานการณ์ได้อย่างสบายๆ"  นีออนพูดขึ้นจนฉันรู้สึกอดเป็นห่วงพี่สมคิดไม่ได้ 


               "กลับบ้านกันเถอะ พี่ต้องวางแผนการเข้าห้องแลปของบริษัทเรนโค้ท เพื่อค้นหาจิ๊กซอว์ตัวสุดท้าย"
               


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in