เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
numerous | October Prompts 2024wallflowerblu
XXIII. Thought Experiment
  •  

    XXIII. Thought Experiment

     

    รุ่งสางที่กวินออกไปตรวจคลังเก็บแป้งกับพ่อค้าเร่ก่อนเขาจะตื่น เมอร์ริงเพิ่งจะรู้ตัวว่าแผ่นหลังของตนไม่ได้ถูกคลุมด้วยผ้าห่มผืนเดิมดังหวัง แต่กลับทับซ้อนมาอีกหนึ่งชั้น — เป็นของกวิน

    อะไรทำให้นายไม่โกรธเธอ ทุกวันนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายเป็นเจ้าของร้าน a'more carb

    เมอร์ริงจำสีหน้าตายด้านของแอชตัน กวินได้แจ่มชัด แม้เขาจะแสดงความเรียบลื่นในท่วงอธิบายคล้ายสยบแววเดือดหนาแต่ทีแรก ทว่ายิ่งเปรยแต่งล่วงย้ำ มันกลับดูเหมือนความสามัญเหล่านั้นไม่เคยชอบใจเลยสักคราวเดียว

    ผ่านการอ่านเดาจากเจตนารมณ์ไร้สิ่งพินอบพิเทาแฝงปรนปรือ — สบทับริมฝีปากเรื่ออ่อนตรงหน้านั่น

    “ฉันจะปล่อยให้คนอื่นเข้าใจยังไงมันก็คงเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขาในสายตาฉัน แต่เพราะการเป็นตัวของตัวเอง ลองทำหน้าที่ตามที่อยากทำ บางที...รู้อะไรไหม เหตุผลที่ฉันยังทำใจไปจากที่นี่ไม่ได้ไม่ใช่แค่นายยังอยู่ แต่เพราะฉันทิ้งมันไม่ได้สักที ตรงนี้ต่างหาก ไอ้รอยเท้างี่เง่านี่มันกำลังบอกว่าฉันเป็นเจ้าของ ต่างแค่ มันน่าสมเพชตรงคนอื่นไม่เคยมองเห็น การเป็นใครหรือกำลังเป็นใครมันทำฉันสับสนน่ะ...”

    “ก็เลยแบกกระบอกรูปวาดไปทั่วเมืองแบบนี้เนี่ยนะ” เมอร์ริงแค่นขำ 

    ความบริสุทธิ์ของกวินมันเจ็บปวด — ปวดร้าวมาถึงกระดูกสันหลังของเขา

    คราวนั้น ภายใต้ม่านดวงสีฟ้าอันอนุโลมให้เมอร์ริงได้ทำความรู้จักตัวตนจริง ๆ ของชายหนุ่มวัยเยาว์ปรากฏตอบ เมื่อเปลือกตาหนักอึ้งสบราบปิดขวางแนวยาว ระงับดับ ชั่วหนึ่ง -เสี้ยว ประเดี๋ยวก็ลืมขึ้นใหม่ แม้เฉียดลมโดยเร็ว พลันขว้างอาการอืดอาดแสนเหนียมอาย ทว่า เมอร์ริงกลับถวิลเอื้อมถึงตัวตนของเขาคนนั้น คนที่ยืนหยัดภายในความสว่างไสวข้างล่างพาหนะอับปางหม่นมัวพร้อมสาดเซเกลียวคลื่น คนที่อยู่อย่างซุกซ่อนเร้นรักในภวังค์ฝัน คนที่ไม่โหยกระหายกับกระแสของโลกใบนี้ ทุกอย่างช่างทอประกายและสอดรับกันอย่างลงตัว แม้ภายนอกหรือในตัวตนของกวินจะเป็นคนละคนตามเข้าใจอย่างสิ้นเชิง

    การวางตัวของกวินขณะปรนนิบัติงานเรือนรวมทั้งขนมูลม้า กลับชวนให้เด็กอย่างเขาคิดว่ากวินคงเติบโตมาด้วยความอุดมสมบูรณ์ของเนื้อสัตว์และขนมปังขาว หาใช่ขนมปังก้อนดำเนื้อหยาบผสมกับเนื้อสัตว์เล็กน้อยบนผักกาดขาวน้อยชิ้น ผิวละเอียดของเขาคล้ายจะสบประมาทเหล่าชนลืมถ่อมตน เขาทำตัวราวกับจะชี้เชิญให้ผู้คนสวนทางผ่านมากล่าวตำหนิติเตียน แต่เมื่อได้รู้จัก มันกลับแปลงสภาพค้ำหัวศรปักกลางดอกหักมาทำร้ายความคิดนั้นให้แหลกขบถไม่เหลือแม้แต่ชิ้นดี ด้วยความชังในอารมณ์ชอบธรรมของการไม่รอบคอบ

    อุปกรณ์ไล้เลื่อนทรวดทรงและขนแปรงพู่กันที่ไม่เป็นทรงแห้งหืดบนเศษผ้ากรังชื้นหยาดกระดอนจากไส้เหลวตามแรงบีบ ของเหล่านั้น มันไม่ได้ทำให้เขาปรารถนาโลกใบนี้มากขึ้น -ขึ้นสักนิด เพียงแต่มันทำให้กวินยอมรับในความปรารถนาได้เสียเอง ริมฝีปากนั้นขยับอ้า เปิดและหุบชิด เคลื่อนถี่ไวพอ ๆ กับจังหวะเพื่อมไหวของขนตาเหนือดวงกลมโต ที่เมื่อถอยกรูดออกมา สีสันของน้ำทะเลเหล่านั้นล้วนกลับกลายเป็นความขมุกขมัว หลงเหลือเพียงเงาสะท้อนแคบเคือง กระทั่งเขาหยุดคลี่ยิ้ม มันเหมือน...เขากำลังจะสยบแนบโดยสดุดีให้ร่างกายแสนเน่าเปื่อยนี้ ด้วยแววตาของการประกอบสร้างในสิ่งที่ความไหวติงของความแน่นิ่งต้องการจะบอกให้เรารู้สึก การเปลี่ยนแปลงของมันดูสำคัญและการกักขังทรงจำเองก็ดูไม่สำคัญในเวลาเดียวกัน เหมือนเวลาที่เรามองภาพชิ้นเดียวกัน แสดงออกไม่เหมือนกัน แม้จะถูกกำหนดให้ยืนอยู่บนพื้นกรวดเดียวกัน

    แบบนั้นละมั้ง ที่เมอร์ริงคิดว่าเขาไม่มีสิทธิ์จะแสดงออกไปเช่นไร — เช่นไรถึงพอควรหรือร้างลา

    “นายพูดเหมือนเบลล์” กวินไหวมือโบกเรียกบริกรหนุ่ม

    ในตอนนั้นเองที่เมอร์ริงรู้ตัวว่ากวินในวัยเยาว์ปั่นป่วนราวกระแสน้ำเชี่ยวใต้ท้องเรือขนส่ง

    ภาพตรงหน้าว่ายทวนเปลวเทียนวูบไหว เงาชะลูดเรียวตั้งล้อมกึ่งกลาง พันธนาการอาหารราคาแพงในภาชนะใบเล็ก นานทีปีหนชายทั้งสองถึงจะได้รับประทานมื้อเลิศล้ำเพราะความโหยอยาก ฝีเท้าของผู้เหนื่อยล้าจวนเกี่ยวรั้งลำไส้แสนตีบกระหายนำพาพวกเขามายังสถานที่แห่งนี้ — ร้านจัดเลี้ยงตามคอร์สของมิสซิสการ์เน็ต ซึ่งได้รับการปันส่วนอาหารโดยเม็ดเงินของภาคเอกชนที่ให้ความสำคัญกับชนชั้นกลางเฉพาะ เฉกเช่นรายรับตามอนุโลมของเมอร์ริงที่ยังเผื่อเหลือพอค่าผ่อนเช่าแหล่งพักงวดถัดไป

    แสงนวลอาบไล้พวงแก้มของกวินทั่วทุกอณู เมอร์ริงจินตนาการถึงทางเลือกในการตัดสิน ซึ่งมักหล่อหลอมขึ้นจากประสบการณ์ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ยามถวิลเยือนสัมพันธ์ล้าหลังของกวิน ตัวตนของเขาพึมพำเฉียดไปครู่หนึ่ง เมื่อมวลกลิ่นจรรโลงใจชืดคลายผ่านละอองฟอดเล็ก พลันอันตรธานล่องเลื่อนตามผิวอุ่นหวามแทรกมวลอากาศทื่อตรง เคว้งเหนือหยาดเหลวชุ่มสีคลับคลาคาราเมลเชื่อม ทว่า ความหวานลื่นของผลองุ่นที่ถูกบ่มเก็บก็คล่ำเคล้าไปด้วยกลิ่นดินไหม้ของไม้โอ๊กตามระยะเวลาในถังหมักเช่นกัน หลังลิ้มดื่ม รสสัมผัสราวก่นทอต้นกำเนิดกดดันให้หมู่ชนโน้มกลืนความขื่นไหม้นั้นให้เป็นความสำราญ ภายใต้รสเข้มข้นปริมาณน้อยนิดช่างโดดเด่น ชวนเคลิ้มใคร่ควานหาอิริยาบถปลอดภัยยามใฝ่คว้าอิสระ— ไร้กฎเกณฑ์ตายตัว ค่ำคืนนี้เขาจะเหมือนเบลเลน เบลล์ อดีตคนรู้ใจของกวินขึ้นมาบ้างหรือยัง มากหรือน้อยแค่ไหน อย่างไหนที่เราเคยเป็นเหมือนกัน หรือยังไม่ถึงขั้นนั้น ชายหนุ่มตรงหน้าเขาอาจต้องการครอบงำการแสดงให้เห็น เพียงพึงใจเรื่องเปรยผิวเผินให้สะเทินตนก่อนไข้ผ่านถ้อยประกอบสร้างถึงบุคคลที่สามในบริบทเท่านั้นเองหรือ

    เมอร์ริงคิดว่าความปรารถนาของคนเราไม่เคยสิ้นสุดเหมือนการพยายามจะมีชีวิตในความไม่อยากใช้ชีวิต บางครั้งมันก็เทียมเท่า บางครั้งมันก็กดปล้ำ เหมือนแรงดันน้ำมหาศาลที่อยากจะฉีกทึ้งเรือนร่างของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โลกจึงวิวัฒนาการให้เราขึ้นมาหายใจบนบกด้วยลำแข้งทั้งสองข้าง แต่จนแล้วจนรอด ความปรารถนาที่จะโบยบินก็ถ่ายทอดมาสู่เผ่าพันธุ์ชนิดนี้ บางที สัตว์เลือดอุ่นที่มีปีกก็คงอยากจะอยู่ใต้น้ำหรือเดินดินได้เหมือนกัน การมีชีวิตชี้ชวนให้เราปรารถนาอยู่เสมอ ในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ความเลื่อนลอยมักถูกสร้างมาอย่างแนบเนียนแฝงรวมกลไกนามธรรม พร้อมบดเป็นดวงเขม่าภายใต้ขอบเขตของการมีอยู่อย่างสมเหตุสมผล แปลงสภาพมาเป็นสิ่งของระบายความใคร่ในกามคุณ ผ่านควันบุหรี่ ผ่านฤทธิ์แอลกอฮอล์ ผ่านเม็ดยาใต้โคนลิ้น ผ่านการจมฝันยามอิงกาย แม้ความเป็นมนุษย์จะปลดกระตุ้นคราคุ้นเคยในผัสสะเร้าปลุกให้ตื่นเท่าใด ไอระเหยนี้ก็ยังเผื่อทิ้งเพียงเฉดเพลิงวงรีเรียว พวยพุ่งล้อมน่านฟ้าตามประสงค์ ทว่า กลับแดดิ้นสิ้นอมตะเมื่อตกตะกอนสู่ก้นมหาสมุทร

    ร่องไหววูบโทนน้ำเงินประดับฐานเกลี่ยอุณหภูมิรุ่มร้อนอมแดงแสดสลัวเงาพาดทับผนังสีอ่อน เงาวูบคลอนของเขากลบซ่อน สะท้อนให้เห็นบนผิวลื่นเรียบหลังลาดไหล่กวิน ความรู้สึกมวนท้องถูกกดทับภายใต้แววเฉื่อยชาแสนกันเองคู่นั้น มันเลือนราง เคืองใกล้ แต่ก็เป็นใกล้ชิดเสียละม้ายจะขัดขุ่นจนต้องเขยื้อนถอยออกมา – เหมือนอย่างเคย

    จึงแจ่มชัดไร้ตำหนิ “เธอชอบพูดถึงเรื่องกะเทาะหิน” กวินคว้าบรั่นดีในมือแกว่งเชื่องช้า

    “เธอบอกว่าใจฉันเหมือนหิน”

    “แล้ว...” เมอร์ริงทบทวน

    “ฉันเลยบอกเธอไปว่าโลกนี้ไม่มีอะไรช่วยให้เราอิ่มท้อง”

    “พระเจ้า...” เมอร์ริงส่ายหน้า แรงกอดอกถูกคลี่ทีละน้อย กระทั่งรสหวานเฝื่อนของเครื่องเทศที่ใช้กลบเนื้อเค็มจะถดไหลตามน้ำลายกระเดือกก้อนทาร์ตลงคออึกใหญ่ เขาถึงคลายปมกลางลำตัวขึ้นมา หยิบเนื้อแก้วจรดขอบปากล้างรสชาติทั้งหมดอีกครั้ง ด้วยความขื่นขมขยี้กลืนปลายหวานหยด มันทำให้เขารู้สึกเจริญอาหารขึ้นมาหน่อย

    “ฉันหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ได้”

    “ก็...นายดูเหมือน คนที่จะไม่ยอมตายไปพร้อมกับสิ่งที่รัก” เมอร์ริงกล่าวตามตรง

    ไม่นาน เนื้อไม้ค้ำเบาะรองนั่งพลันถูกโคลงน้ำหนักตามปลายสั่นเคาะใต้ข้อเท้าอยู่สองที ขณะเอ่ยปฏิเสธสิ่งยืนกราน

    “ไม่ซี ดูเหมือน...รักมากจนไม่ยอมตาย ทำนองนั้น” เมอร์ริงย้ำ ราวอยากแบ่งแยกความคลุมเครือแย้งถ้อยประหม่าออกจากความซื่อจริง เหมือนเช่นวลีบริสุทธิ์ไม่กี่เสี้ยวนาทีก่อนหน้า แม้ตามเดิม มันจะเป็นความขดแค้นเพราะการถวิลลึกไม่อาจแยกวงโคจรออกจากสิ่งเท็จจริงได้ตามควร

    แอชตัน กวินเคลื่อนริมฝีปากหยักยก ใบหน้าเหือดแห้งจึงเผื่อเว้นเขตหวงห้ามให้แสงอ่อนชัดปรับองศาขับต้อนประกายแร้งฝัน ผ่านเว้าตื้นบางคล้ำใต้เปลือกดวงประดับรอยยิ้ม เหมือนที่เขาเองเคยโต้ตอบเวลาต้องการจะบอกแก่เมอร์ริงว่าไม่เป็นไร หรือจะเป็นไรไป อยู่ทุก ๆ วัน

    “แล้วเรื่องคดีเป็นไง” กวินวางหางตาบนข้อมือเหนือช้อนส้อมฝั่งตรงกันข้าม ขณะก้มตัวช้อนเนื้อวัวชนิดพิเศษซึ่งถูกปรุงมาอย่างพิถีพิถันขึ้นขบเคี้ยว

    เมอร์ริงชะงัก พลั้งเผลอถึงทรงจำหลงลืมในที่มาที่ไปตั้งแต่เช้าตรู่เสียสิ้นซาก เมื่อปลายลิ้นของเขาลงเอยกับรสอาหาร ความแปลกแยกผวนร้ายจึงเปลื้องหวังข้องสงสัยจากสิ่งยากจะอภิปรายในวงประชุมบ่ายนี้

    “มันเป็นไปได้ ข้อสันนิษฐานของฉัน แต่มร. โดมินิกบอกว่ามันยังไม่ใช่วัตถุพยานที่เหนียวแน่นมากพอ มัน...บกพร่อง” เมอร์ริงพ่นจังหวะหายใจติดขัด ห้วงวรรคทอนในน้ำเสียงแผ่วเลือน “คิดไว้ไม่ผิด ไม่ตรงตามหวังเลยสักนิด”

    “แล้วนายเคยคิดหรือเปล่า...” กวินเอ่ย เสียงกรอบเกลียวหลังโพลงอุ่นสงบงัน สถานะกลัดโถมข้างใต้ผิวร่วงหล่นของชิ้นเนื้อ แปลงตกสู่การลำเรียงเหลวแหลกดังแว่ว สวนมวลหายใจอึกหนึ่ง ให้รับรู้— ชั่วประเดี๋ยว

    เมอร์ริงฉงนแววตอบ “เรื่องอะไร”

    “ที่ฉันกับน้องสาวเองก็อาจจะเคยก่ออาชญากรรม”

    เมอร์ริงหยุดนิ่ง ใช้ความคิดคลี่คลายประสบการณ์ เพราะใบหน้าเฉยชาและน้ำเสียงจริงจังของกวินไม่สะเทือนอารมณ์ต่อสีหน้าทีเล่นทีจริงอันเหลือเชื่อของเขาแม้แต่น้อย

    “อาจจะใช่ แต่การลงมือ มันสามารถเปลี่ยนความรักให้เป็นความโลภหลงได้เชียว”

    “พฤติกรรมบางอย่าง...มันสะท้อนให้เห็นถึงสัญชาตญาณเอาตัวรอดนะ แถมบางที มันก็ทำให้เราได้อ่านความคิดของฝั่งตรงข้ามได้เหมือนกัน ไม่คิดหรือไงว่าความรัก กับความลุ่มหลงมันแยกจากกันได้ยาก เผลอ ๆ มันคือนิยามเดียวกันด้วยซ้ำ แค่ระดับโหยหาดูต่างกัน เรามักแยกแยะบางสิ่งบางอย่างด้วยลำดับ ระดับ ตัวเลข หรือกระทั่งจังหวะอยู่เสมอ เพราะแบบนี้ เราเลยต้องแยกคำคำนั้นให้เหินห่างเป็นคนละความหมาย ที่จริงมันอาจจะใกล้ ใกล้จนดูเหมือนเราเผลอมองข้ามไปก็ได้”

     

    บางอย่าง ชวนให้เมอร์ริงรำลึกถึงวาทะท่ามกลางบทสนทนาของเขาและอดีตสายสืบโดมินิกเมื่อรุ่งสางขึ้นมากะทันหัน

     

    “คดีนี้—” พวงแก้มซูบเซียวเหนือกรอบสันกรามเริ่มเขยื้อน ครั้งนี้ มร. โดมินิกดูผ่ายผอม ต่างไปจากชายรูปร่างสูงโปร่ง สันทัดมัดกล้ามในอุดมคติของเมอร์ริงตามคำลือวงกระเซ้าข่าวสำนักงานหลายโข

    เจ้าหน้าที่ฝึกหัดพร้อมสายสืบภาคสนามเหลือบหลังมือเหี่ยวย่น ทาบประดักประเดินบนกระดาษบันทึกเปี่ยมข้อสะเพร่าไม่วางตา ขณะลุ้นถ้อยสันนิษฐานซึ่งตระเตรียมจะเล็ดลอดออกจากปากของเขา ทั้งสององค์ประกอบนี้กลับยิ่งกระตุ้นแรงจูงใจให้เมอร์ริงคิดว่าการปฏิบัติงานร่วมกับประสบการณ์ เป็นเรื่องจำเป็นที่วิชาชีพของเราไม่อาจแยกจิตวิญญาณโสมมออกห่างตัวได้เลย – แม้ชั่วเวลาเดียว

    รอไม่กี่อึดใจ ถัดมา เสียงลากฝีเท้าของใครบางคนก็กระแทกขัดขึ้นอย่างไร้ทิศไร้ทาง

    ชาร์ลส์และเมอร์ริงเอียงศีรษะ หันตามประโยคทายทักของอดีตสายสืบ

    เหนือชานพักบันได ระหว่างซี่ของวัสดุปูนเปลือยแต่ละช่วงห่างช่วยให้เขามองลอดได้เพียงชายกระโปรงลูกไม้ขาว ที่กำลังปลิวไหวตามแรงสะเทือนก้าวใต้ปลายเท้าเผือดสี เม็ดเลือดที่ควรจะไหลกองตามแรงถ่วงใช้งานยิบย่อยชั่ววันชั่วคืน ดูราวพรากไกลไม่ให้เยือนผิวกายหญิงผู้นี้เลยก็ว่าได้ แม้ผิวพรรณจะงดงามตามวัยแรกแย้ม แต่เธอกลับดูไร้ชีวิตชีวา

    “ภรรยาผมเอง— อีฟลีน นี่...ฮัมเฟรย์ เมอร์ริง สายสืบภาคสนามจากสำนักงานตำรวจนครบาล รับผิดชอบดูแลพื้นที่เกรเทอร์ลอนดอน ส่วนนี่ เอเดรียน ชาร์ลส์ เจ้าหน้าที่ฝึกหัด”

    หลังแนะนำ เธอจึงพยักเพยิดปลายคางขณะแย้มยิ้ม ดูเหมือนจะเยาว์อ่อนกว่าอายุของอดีตสายสืบหลายเท่า

    “เธอคงเป็นอาวุธประจำเขตสำนักงานงั้นสิ” ชายอายุมากกว่าเปรยก้อง ขณะตบฝ่ามือไม่เข้าจังหวะบนบ่าเป็นล่ำเป็นสันของชาร์ลส์

    แม้เจ้าตัวจะยังไม่แน่ชัดเรื่องวลีที่มร. โดมินิกแสร้งหยาม แต่เมอร์ริงก็ไม่อยากจะเสียเวลาอธิบายต่อสีหน้าขอความกรุณาข้างกาย การตกเป็นสิ่งของรองรับคำสั่งไม่เคยประนีประนอมใครอยู่แล้ว ไม่แปลกที่จะถูกผู้อาวุโสเย้าแหย่ด้วยวลี ‘อาวุธ’ แบบสักแต่จะได้ยุยงไปทีเช่นนั้น

    บ่อยครั้งที่ความชินชากร่อนกินตัวตนของเขาไป เมอร์ริงรู้ตัว ทั้งที่ตบตาว่าไม่รู้

    “ที่เธอสงสัยก็คือ...หล่อนมีสาวใช้ แต่กลับไม่ยอมทำความสะอาดฝ้าเพดานน่ะหรือ” เมอร์ริงลอบมองธารเดือดฉุยไหลหลากจากพวยคอกา ทุกหยาดหยดจรดร่วงพร้อมเสี้ยวใบชาผึ่งแห้ง ใต้การประคองกกโถเหล็กของอีฟลีนที่กำลังรินให้ครบกับแขกทั้งสองคนตามมารยาท

    ชายหนุ่มเปลี่ยนแววกะพริบไปยังใบหน้าของอดีตสายสืบพลางกล่าวแนะ “บางที มันก็ทำให้ผมสงสัยเพิ่มขึ้น เรื่องที่เธอเลี่ยงรับอาหารบางเวลา”

    “ที่นั่นเคยเป็นแหล่งกบดานเหรอครับ” ชาร์ลส์ถามขึ้น ขณะมองสีหน้าเรียบเฉยของเขา

    คงเพราะต้นปีก่อนมีสายข่าววงในรายงานเรื่องเชลยลักลอบการจับกุม พยายามหลบเข้า-ออกเมืองโดยมีเรือนพักของพลเมืองเป็นสถานหักหลังเจ้าหน้าที่พลเรือน ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้ช่วยกลบวาจาแพร่งสะพัดของฝ่ายอุปลวงตรงข้ามฝั่งที่ร่วมมือกันลือทั่วมุมตรอกพ้น

    เมอร์ริงครุ่นสีหน้าปฏิเสธ “แค่สงสัยน่ะ”

    “เธอมีแรงจูงใจจากอะไรล่ะงั้น การสูญเสียสามี การอยากได้ความภักดีของสาวใช้ หรือความเปลี่ยวดายของตัวตน อืม...อะไรอีกดี” หางลากน้ำเสียงของอดีตสายสืบที่มีตำแหน่งใหญ่โตกว่าเขาเริ่มโถมซัด แม้จะอยู่ในวัยเกษียณ ทว่าความเลือนรางนี้ก็ยิ่งกดเบ่งให้เมอร์ริงรู้สึกตัวหดเล็กเข้าใกล้วัสดุมุงเบาะหุ้มหนังนุ่มของโซฟาตัวยาวอีกคืบหนึ่ง และยิ่งสวมทับน้ำหนักลงมาอีกหน เมื่อแรงสันนิษฐานของเขาดูราวกับจะเป็นได้แค่เครื่องประดับบนนิ้วนางข้างซ้ายของคนอื่น เสียมากกว่าจะยอมปรักปรำสมาธิอยู่กับการให้คำปรึกษาตามข้อลงตก

    “รู้อะไรไหมสายสืบเมอร์ริง ผมน่ะ เคยยอมแพ้โชคชะตามานับครั้งไม่ถ้วน การเก่งแต่ในกรอบของตัวเองมันไม่ได้ช่วยชีวิตใคร และการทำให้คนอื่นยอมรับไม่ได้ มันก็ไม่ได้ช่วยชีวิตใครได้อีกเหมือนกัน มันบกพร่อง...ข้อนี้คุณต้องแก้ไขให้ได้ ถ้าอยากจะเก่งให้มากกว่านี้”

    เขาลากวงแหวนที่ถอดออกมาประกอบเทียบอักษรน้อยใหญ่ ยามกวาดตาแปลงใจความเรียบเรียงครั้งถัดไป บนเนื้อหาบรรทัดใหม่ แทนที่จะเป็นแว่นขยาย

    “เป็นไปได้ที่เธออาจมีอาการช็อก จากภาวะสูญเสียกะทันหันภายหลัง แต่มันเป็นไปได้ยาก...ที่เธอจะโกยเงินประกันของสามีมาเพื่ออยู่กับหล่อน ให้ตาย ผมรับไม่ได้ซะจริง ไอ้พวกรักร่วมเพศแบบไม่อายบาป ช่างน่าไม่อายที่กล้าปฏิเสธธรรมชาติแสนงดงามนี้จากพระเจ้า”

    มร. โดมินิกสวมแหวนแต่งงานดังเดิม “ผมจะถือว่าคุณไม่ได้เขียนมันมาให้อ่านก็แล้วกัน กรุณาลบเสียก่อนจะเข้าประชุมล่ะ ถือว่าเห็นแก่พระเจ้าสักนิด”

    เมอร์ริงมองถ้วยชาอัสสัมสีน้ำตาลเข้มอันคงเอกลักษณ์ตรงหน้า มันควรเป็นรสแบบไหน เขาไม่ทราบ ไม่แม้แต่จะทันสูดกลิ่น ชายหนุ่มรู้เพียงแค่ทั้งวันของเช้านี้ยังไม่มีอาหารรสชาติใดตกถึงท้องเลยสักชิ้น

    หิวไส้จะขาดอยู่แล้ว... เขาพึมพำให้ชาร์ลส์ได้ยิน หลังเดินพ้นจากประตูกรอบขาวออกมาสูดอากาศนอกเรือนพัก ตัวตนของเขาค่อย ๆ เดินหน้าจากไปพร้อมประโยคตลบหลังที่ได้ยินมันชัดเจน เสียจนอยากลาออกจากอาชีพที่เคยใฝ่ฝันมาทั้งชีวิตโง่เขลาของวัฏจักรกำลังพัฒนาแต่กลับสูญเสียอะไรไปตั้งมากมาย

    “อีกอย่าง คุณควรจะสืบตัวผู้ร้ายของรอยนิ้วนั้นมากกว่าข้อสันนิษฐานเพ้อพบนี่ คุณกำลังหลงทางอยู่นะ ผมขอเตือน”

    เขาอยากรู้เสียจริงว่า อีฟลีนจะพลอดรักกับอดีตสายสืบโดมินิกท่าไหน

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in