เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
numerous | October Prompts 2024wallflowerblu
XXIV. MEMENTO MORI
  •  

    XXIV. MEMENTO MORI

     

    The Parish in Islington,

    St. Luke’s, 1946 

     

    กวินชะงักปลายเท้าขืนนิ่ง หยุดยืนตรงกันข้ามหว่างกลางร่องระนาบของพนักพิงไม้กับฟูกนอนเพียงไม่กี่ช่วงก้าว ชายหนุ่มเหลือบมองขอบสันของสมุดสีทึบที่กำลังหลีกตัวอย่างไม่คิดจะวางใจใครด้วยองศาพลิกคว่ำ แต่กลับเป็นการปิดซ่อนเสียโดดเด่นดูราวกับจงใจหลอกอุบายกลั่นแกล้ง เมื่อสิ่งค้างคาในอดีตถูกคั่นรอยแยกบานเบ่งเอาไว้ให้เขาหยิบมาคว้าอ่าน

    tempus fugit [1] (อาจเป็นชั่วโมงสุดท้าย) กวินกวาดตาอ่านสมุดบันทึกใต้วลีอนุมานกลัดกลุ้มของเมอร์ริง รอยฉีกกว้างบนเนินเรียบ ยามนี้ กลับขรุขระ กองปนแยกเสี้ยวเล็กเศษน้อยระเกะตาและทิ้งรอยฉาวไว้ข้างแผ่นสีนวลสะอ้านให้ลำรึกถึงแผลเป็นเล่น ทว่า กวินเข้าใจดี ในความไม่กลบเกลื่อนหากแต่ยึดแสร้งอย่างขบถธรรมของสิ่งเหล่านี้ กลับชวนมองอย่างไม่น่าติติง มันถูกวางรวมกันเป็นซากอารยธรรมอล่างฉ่างอยู่บนโต๊ะทำงาน— องศาเดิม ตำแหน่งประจำ มุมโปรดของเมอร์ริง

    หลังเผื่อเวลาส่วนตัวกลับมาจากการบ่มแป้งที่ร้าน เขาถึงทราบว่าเมอร์ริงออกไปธุระแล้ว ห้องพักกลับมาเงียบนิ่ง เงียบงันเหมือนคืนวาน หากปล้องแสงจันทร์นอกบานหน้าต่างอาบไล้ผนัง มันจะเป็นเวลาที่เขาต้องนอนมองฝ้าเพดานสลับกับแผ่นหลังของเมอร์ริง แล้วก็พักสายตาอยู่กับปลายเทียนไหวสั่นเพราะแรงถอดใจบางเบา หลังพบว่าตัวเองบกพร่อง... บนโต๊ะข้างล่างนั่น กวินเห็นว่าประโยคต้นทางพรรคนี้ คงมาจากต้องเก็บแรงกายเตรียมนัดเรื่องเก็บตกคดีปล้น (ที่ไม่มีของสิ่งใดหายไป) เรื่องนั้น แม้จะผ่านมาเพียงหนึ่งสัปดาห์ แต่มันกลับทำให้มิสซิสซิลลิแวนเป็นกังวล จนเธอต้องถ่อความประสงค์ไปขอร้องปนไกล่เกลี่ยให้พลตระเวนอาสาปลีกวิเวกจากงานรับผิดชอบในเขตปลอดภาษียามดึก ล่วงกรายเข้าไปตรวจตราเรือนพักของเธอด้วยอย่างต่ำ จากถี่วัน ก็เริ่มถดเลื่อนเป็นเว้นคืน เพราะไม่มีพยานวัตถุมายืนยันอัตลักษณ์รอยนิ้วนั้นได้อย่างชัดเจน การพะว้าพะวังเรื่องตามหาตัวผู้ร้ายจึงดำเนินไปจากเชื่องช้า กวินจำประโยคราบเรียบของเมอร์ริงได้ขึ้นใจ ที่อีกฝ่ายเล่าเมื่อคืนวาน— แม้ว่าเมอร์ริงจะเอาแต่ก้มหน้าจดเรียงลำดับทุกความเป็นไปได้ลงบนหน้ากระดาษ

    หน้ากระดาษที่เคยซีดขาวไร้การเติมแต่ง ค่อย ๆ ถูกริ้วหมึกกัดกินแผ่นเปล่าดายเหมือนขั้นตอนผสมยีสต์แห้งในน้ำอุ่นพร้อมกับน้ำตาลที่กวินชินตาในวันธรรมดา ไม่ต่างกันนัก หน้าที่ของเขามีอยู่- แค่เพื่อรอให้มันพุพองขึ้นมาอวดโฉมใบหน้าประหลาด ๆ นับไม่ถ้วนรูในชามใบโต เพื่อเบาใจพบว่ามันยังใช้ได้ – มันยังมีชีวิตอยู่และพร้อมใช้งาน

    ทว่า ตามลายมือคงเส้นคงวาของเมอร์ริงที่ไม่อาจจำแนกบรรทัด ภายใต้ชิ้นงานอุตสาหะยามเริ่มต้นนั้นเคร่งครัดอย่างโอหัง เพียงแค่ระหว่างทาง ประกบแทรกบนจุดลงเอยช่างน่าสลด บางครั้งก็อ่อนโยน บ้างก็กระด้างกระเดื่อง และบางหนบางเทียวก็ยังเปราะบางเกินให้อภัย ก่อนจะสะดุดความอลหม่านคาใจทุก ๆ กลางดึกด้วยคราวแพลงข้อมือขยำทิ้ง ครั้นต้องการระบายความฉุนเฉียวลำพังเคียงเถ้าบุหรี่เหล่านั้น

    กวินค้นพบว่าภาพรวมนี้ดูแห้งเหี่ยวเหลือทน แม้กรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าขึงตึงด้วยใยลินินจากวิสัยสัตย์ผ่านม่านนัยน์ของเขา ขณะละเลงฝีแปรงอยู่เบื้องหลังเมอร์ริงที่ได้มองลงมาจากชั้นสองบนเตียง จะบังคับให้นิ้วมือของเขาจัดวางทรงทรวดครบถ้วน ท่ามกลางความกว้างขวางในพื้นที่จำกัดความ ตรึงแนบสิ่งสมจริง พ้องสลักคราบ ใต้แผ่นรั้งลายอ่อนช้อย ราวคนธรรมดา ๆ อย่างเขาสามารถกำกับละครน้ำเน่าให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วยขนาดพอดีสัดส่วนกับพู่รียาวบนหน้าตัก

    สำหรับเขา ยามขยับโยก คลอนปลายนิ้วขึ้น-ลง สูง-ต่ำ แคบ-ยาว เล็ก-เด่น ล้วนแล้วแต่ทำให้กวินรู้สึกเหมือนตกจากที่สูงซ้ำไปช้ำมาในทุก ๆ ลมหายใจ มันมีทั้งความอ่อนโยนและหนักแน่น ไม่เพียงขึ้นอยู่กับลายวาดหรือสีสันพลิ้วใคร่ ประหนึ่งจำต้องฉูดฉาดดูเกินมาตรฐานรูปธรรม กระทั่งหม่นจางเกินจุดกระสันในความเว้าวอนอันปริ่มทะลักรสปรารถนา จนกว่าจะประกอบองค์รวมออกมาเป็นความเสร็จสมบูรณ์ ช่องโหว่เหล่านั้นจึงคลายความรู้สึกสะอิดสะเอียนเสียปวดร้าว ปลิอ้างเป็นผิวรองรับนิ่มนวลผ่านสายตาเกลี้ยงเกลาชวนกระอ่วนใจ ทว่า เมื่อพลิกท่า แนบกายจำแลงของผืนผ้าข้างใต้อิริยาบถเดิม ๆ เบียดชิดริมผนัง คนตรงหน้าเขากลับดูแปลกแยก แย้งขัดความสมจริงพร่ำเพรื่อเรื่อยมา เสมือนเรือนกายนั้นสวมรอยเป็นเงามัวหมองตามสิ่งของใต้เชิงเทียนเล่มสูงอยู่ไม่น้อย

    กวินจำได้ว่าเขาเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น

    อิ่มเอมไปพร้อมกับความฝันที่ตัวเองไม่ได้เป็นเจ้าของ...

     

    เช้าตรู่ เขาตื่นขึ้น และพบว่าเมอร์ริงยังมีชีวิตอยู่ ทว่า — ไม่พร้อมใช้งาน ผิวกายของเมอร์ริงไม่อ่อนนุ่ม อุ่นอวลด้วยอุณหภูมิเหลวเผละของไส้เทียนแม้แต่นิด ผลลัพธ์ของการโหมจิตวิญญาณมีแต่จะกระชากผิวเนื้อของเราให้ลิดรอนเหลือเพียงโครงกระดูก สายลมจะค่อย ๆ ปัดเป่า ไม่ใช่เพียงเป่าให้สบาย เพราะหากลองถ้วนให้ดีจะรู้ว่ามันกำลังดูดดุน ทึ้งหัว ถอนขน อยากจะสลายทิ้งซึ่งความเป็นอยู่ของสรรพสิ่งเสมอ เพราะเนื้อตัวภายในนี้ไร้หัวอกหัวใจ เมื่อหลับฝัน วิญญาณจะลอยล่อง พ้นจริง หากถูกควักขว้า มันจะเย็นยะเยือก ไม่รุ่มร้อน หลงใหล เหมือนอย่างเคยอยู่ข้างใต้อาภรณ์ มันไม่ได้ต้องการปลอบประโลมขนาดนั้น ร่างกายของคนเราแข็งแกร่งกว่าที่คิด และไม่พร้อมจะพลีชีพตนตามสัจธรรมให้กับแบคทีเรียหน้าไหนมาตั้งแต่การแพทย์เริ่มวิวัฒนาการภูมิคุ้มกัน

    เช่นกันกับการเลือกยีสต์ให้เข้ากับอุปกรณ์ปรุงแต่งรสชาติ ทั้งสองสิ่งควรเหมาะสมพอ ๆ กับการบ่มแป้งเพื่อเตรียมอบ ระหว่างการหมัก พวกยีสต์จะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา ช่วยให้เนื้อขนมปังมีความนุ่มฟูน่ารับประทาน ไม่เว้นแม้แต่เบียร์หรือไวน์ บทบาทของมันมีส่วนสำคัญในการช่วยแปลงน้ำตาลให้เป็นแอลกอฮอล์และคาร์บอนไดออกไซด์ ผนวกเข้ากับต่อมรับรสของเรา ยามสัมผัสในรสชาติเจาะจงเฉพาะ ก็เนื่องเพราะความเดือดดาลขึงแกร่งของมันรวมตัวกันควบแน่นเป็นละอองเม็ดซาบซ่าน แปลงสภาพราวฟองนุ่มอุ่นหวามและเย็นคล่องแฝงเยือนให้ใครต่อใครต่างก็เคลิบเคลิ้ม ทุกสิ่งล้วนเหตุมาจากมันทั้งสิ้น

    เขาหวังเพียงแต่ เมอร์ริงจะออกจากห้องเย็นเยียบหลังนี้ไปได้ด้วยความอุ่นคั่ง

    เหมือนอย่างที่บรรดาลูกค้าของเขามีเสียที

     


     

    ความรัก เริ่มต้นในวันที่รอยยิ้มผุดบางเป็นใจกับสายลม กลีบไม้บานแย้มยลใต้แสงแดด เมฆครึ้มปกคลุมเงาอ่อน เลือนดวงกลมเหลืองนวลเปื้อนจุดดาวเคราะห์แคระ ไกลสุดลูกหูลูกตา อาจแปรเปลี่ยนความระทุ่มระกำเป็นอากาศยามเย็นในฤดูร้อน หรืออากาศอวลอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ กระทั่งพัดโชยมาพร้อมกับละอองหิมะขาวโพลน เป็นท้องฟ้าโปร่งใส หรือพ้นเคลื่อนเป็นวันแจ่มใสกร่อนกลืนผิวให้เฉลียวไอแดดจัดจ้าเกินทน เมอร์ริงไม่เคยจินตนาการถึงมัน เขารู้เพียงแค่เรื่องราวเหล่านั้นคงเพิ่งจะผ่านเข้ามา— ทันทีทันใด ไม่ใช่เพราะพยายามซึมลึกนึกค้นเข้ามาในจิตใจ ความเรียบง่ายของคุณสมบัติที่จะรู้สึกไม่จำเป็นต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น หาก-แต่ผ่านเข้ามาอย่างเงียบเชียบ นิ่งงัน เป็นชั่วโมงธรรมดา ๆ ของคนหนุ่มอย่างเขาที่รู้สึกว่ามันไม่ได้พิเศษมากมาย เป็นเสี้ยววินาทีที่อาการของร่างกายแผกอุปโลกน์ว่าพิสดารชวนครหา ปรากฏขึ้นมาทดแทนความรู้สึกทั้งหมดของวัน ในคราวแรก มันอาจกระวนกระวายชวนกระอักกระอ่วนเสียอยากวิเวกโน้มลาอย่างสุภาพ เพื่อหลีกไปอาเจียนในห้องธุระส่วนตัว แต่เมื่อผ่านไป ผ่านไปสักระยะ เสียไม่อาจเดานิยามออกมาเป็นถ้อยคำ ความรู้สึกที่ไม่เคยคิดว่าจะถูกพังทลายใต้เปลวเพลิงดวงเล็กก็วูบไหว สั่นคลอน ดับสลาย รอให้เขาจุดไฟลุกโชนเหล่านั้นขึ้นมาอีกครั้ง— วันแล้ววันเล่า หาใช่ด้วยพฤติกรรม แต่เป็นเครื่องเรือนของการรำลึกที่ผุดพรายย่างเยื้องเข้ามา ว่ายังคงแสร้งรุกล้ำอยู่บนจินตนาการ เสี้ยวชิดแห่งไอขมุกขมัวอันรางเบามัวเซาจะเร่งเร้าให้เขารีบหาโอกาสไขว่คว้ามันไว้อย่างเป็นนัยยะว่า ไม่ควรขยับห่างออกจากความสงสัยเหล่านั้น ก่อนสิ่ง ๆ ที่เป็นตัวเป็นตนของเธอจะอันตรธาน แต่ความรู้สึกของคนเราในทรงจำ คงชาญฉลาดกว่านั้นมาก มันจะไม่ยอมหยุดค้นหาคำตอบว่าความอุ่นมัวเหล่านั้นมีที่มาอย่างไร ตราบเท่าทุกอิริยาบถจะหาคำตอบมาอธิบายภายใต้สถานการณ์ชวนคลื่นเหียนเล็ก ๆ ที่กำเนิดมาจากตำแหน่งบางจังหวะของฝ่ายตรงข้ามได้

    จังหวะที่เธอแหงนหน้าขึ้นมาหรือไง

    หรือเป็นเพราะท่วงท่างดงามเหล่านั้นบนเวที ฉากไหนกัน อย่างไหนกัน

     

    “พรุ่งนี้ ว่างหรือเปล่าคะ” เดวีส์พูดขึ้น และเพราะไม่ได้รับคำตอบจากเมอร์ริง หลังรอคอยพักหนึ่ง เธอมองท่าทีควานหาบุหรี่ภายใต้โค้ตหนาตัวเขื่อง มันดูราวกับต้องการจะปลดพันธะเยือกแข็งกุมแฝงเนื้อตัวชายหนุ่มให้เป็นความจำเป็นเสียพอ ๆ กับการสูญเวลาเนิ่นนานที่เขาปรารถนาจะเฝ้าเธอจวนเลิกงาน “เราไปทานมื้อค่ำกันดีไหม...ตอนนี้” เธอกล่าวต่อ

    ตอนที่เมอร์ริงได้ยินน้ำเสียงเหล่านั้น มันคลาซ้อนไปด้วยน้ำเสียงสมมติของเบลล์ที่สะท้อนจากปลายสายของกวิน ผ่านท่วงบอกเล่าที่ชายหนุ่มตื่นเต้นกับการใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในรถยนต์ครั้งแรก เพราะฝ่ายเอกชนเข้ามาติดตั้งให้ใช้บริการฟรีแบบจำกัด คาดว่าในอนาคตคงเรียกคืนค่าบริการติดตั้งจากจำนวนครั้งใช้งานของผู้คนในเมืองใหญ่จำนวนไม่น้อย เผิน ๆ มันก็คล้ายโทรศัพท์วิทยุเคลื่อนที่ที่ใช้กันเกลื่อนตลาดในสำนักงาน เมอร์ริงคิด ขณะกวาดตาผ่านจุดบริการ

    ค่ำคืนนั้น ดูเหมือนหมอกสลัวและทิศทางไร้การควบคุมของแรงลมกำลังรบกวนสมาธิเหนือหน้ากระดาษเจ้าหน้าที่สายสืบอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมง ชายหนุ่มตัดสินใจสาวเท้าออกมา หลังลงกลอนประตูเรียบร้อย และบอกกับกวินว่าจะไปข้างนอกสักพัก— สักพักใหญ่ ๆ เลยล่ะ อาจจะดึก...หรือเช้า เขาพูดตามตรง

    “ได้สิ— แต่พรุ่งนี้...” เมอร์ริงกระตุกวงแขนขึ้นมองนาฬิกา ขณะหมุนองศาของสายเคลื่อนห่างให้กระชับบนข้อมือที่ยังต้องการไออุ่นจากมวนขมรำไรปลายนิ้ว “พรุ่งนี้ผมคงไม่ว่าง”

    “...เหรอคะ” นักแสดงสาวกำชับกระเป๋าหนังเนื้อเงาใบโปรดขึ้นถือแนบโค้ตลำลองแน่น การพยายามเดินเคียงไหล่ของเธอดูตะขิดตะขวงไม่น้อย กอปรเป็นความประหม่าที่ไม่กล้าสอดข้อมือรั้งวงแขนเขาพอ ๆ กับระยะห่างที่เจ้าตัวจงใจถอยร่นให้เทียมทัด ไม่เช่นนั้น ก็คงเพราะเมอร์ริงยอมปล่อยให้มันเป็นอิสระเพราะเคยตัว สถานการณ์ไม่คุ้นชินนี้พาลลั่นให้ชายหนุ่มนึกถึงรองเท้าหุ้มข้อฐานต่ำที่มักก้าวนำปลายทางของเขาอยู่เสมอ เมื่อพูดถึงเรื่องการกินอาหาร สิ่งเจาะจงนั้นมักทำให้เขาเผลอลืมไปว่าความสำคัญของการแนบชิดที่ไม่ค่อยแสดงออกนักต่อหน้าคนสนิท คืออาการรีบเร่งอย่างเดียวกัน แต่ว่าไร้ซึ่งจุดมุ่งหมาย ทั้งที่มีเรื่องของอาชญากรรมและผิดศีลธรรมปะปนรวมเนื้อหาเป็นประพันธ์อันนิยมมายาคติ ประท้วงภายใต้ใบหน้ากลัดกลุ้มเรืองเปลวขมไหม้อ่อน ๆ โชยผ่านสีหน้าใคร่สงสัยของหญิงสาวข้างกายเสียไม่วางตาแต่แรก

    เขาควรจะเลิกทรมานตัวเองด้วยหัวข้อเหล่านั้นแต่แรก ชายหนุ่มนึก

    เมอร์ริงเหลียวใบหน้าครึ่งเสี้ยวที่ยังเปล่งปลั่งแม้อ่อนล้า “เหนื่อยหรือเปล่าวันนี้” เธอระบายยิ้มตื้นเขิน เหมือนครั้งแรกที่เขาถือวิสาสะเข้าไปสนทนาชื่นชม ก่อนส่ายหน้า

    เมอร์ริงยิ้มตอบ ทั้งกิริยาในประโยคใฝ่เค้นของเขาเอง ก็ดูเหมือนจะไม่อยากให้แย้งกลับทันควัน ในเวลาเดียวกัน เขาไม่กล้ายอมรับเลยว่าตัวเองกำลังพอใจกับท่าทีสวนตอบอัตโนมัติแบบนั้นของนักแสดงมากความสามารถอย่างโจลีย์ เดวีส์

    เขาดูกระจอกสิ้นดี เมอร์ริงนึก

    มันเหมือนกับเวลาที่เธอเองก็รู้เช่นกัน หลังขยับกายออกห่างจากฝ่ามือโอบรั้ง เมื่อมื้อค่ำดังทราบไม่อาจจบลงบนโต๊ะประปรายเครื่องเคียงเพียงเพราะละโมบหิวเท่านั้น เมอร์ริงซบใบหน้าลงบนลาดไหล่นุ่มนวลของเธอ ทันทีที่ลากยาวถึงห้องพัก ซึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากสถานอภิรมย์จากการทำงานส่วนตัวของเดวีส์นัก

    “เหมือนคุณจะมีธุระไม่ใช่หรือไงคะ วานซืนนี้เอง คุณเพิ่งจะบอก...” เธอเอียงคอ ปล่อยให้คนรักสูดดมกลิ่นกายชุ่มราคะหยาบโลนเหนือเนินอกคู่สวย

    การกระทำอันพิลึกพิลั่นหน้าสักขีพยานอย่างเครื่องเรือนของโถงนั่งเล่นอพาร์ตเมนต์ คล้ายดึงลากและผลักไสอย่างบอกไม่ถูก เดวีส์รู้สึกอย่างนั้น ในน้ำเสียงคลุมเครือผ่านลมหายใจเหือดกระหายของเมอร์ริง ประหนึ่งร่างกายของเขากำลังหลั่นไหลร่วงหล่นออกจากหลุมที่ขอร้องให้เธอควานไต่ลำดับจากรสมัวเมาอันขื่นหวานนี้ รสจูบของเมอร์ริงแตะแผ่วเหมือนดวงอาทิตย์ยามเย็น เขาไม่ควรปล่อยให้ความคิดที่ว่าเสียงของเธอจะเล็ดลอดผ่านไปถึงผนังห้องเพื่อนร่วมชั้นมากไปกว่าจะคิดถึงถ้อยเปรยวิธีเยินยอมือไม้รุ่มร่ามใต้ชายเสื้อที่มันช่วยให้เขาได้ปิดกลั้นส่วนชื้นแฉะข้างใต้กระโปรงผ้าสีซีดซึ่งถูกถลกร่นขึ้นไปกองเหนืออกเปลือย ยามที่แขนข้างถนัดของเขากำลังช่วยเธอดึงขอบคอปกซึ่งเกี่ยวติดอยู่กับเส้นผมออกห่างใบหน้าเรื่อใส ขณะโน้มตัวแนบชิดเรียวลิ้นบนส่วนที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะชิงชังแต่กลับชอบพอเป็นพิเศษเมื่อเขาเอื้อมมือบีบเค้นเนินนิ่มเคล้าป้อนเรียวนิ้วให้แก่ความอุ่นร้อนหลังถอนจูบออกจากความสั่นไหวดิ้นพล่านชวนให้ฝ่ายใต้ร่างแตะปลายเท้าเย็นเยียบลงบนสีข้างเขาด้วยความพึงใจ เมื่อไม่มีอย่างไหนเชื่อมตอบ เธอจึงผละไล้ลิ้นร้อนออกจากปลายนิ้วของเขาก่อนคล้องคออีกฝ่ายเข้าประกบป้อนความต้องการทั้งหมดในคราวเดียว นอกจากเอ็นน่องที่เมอร์ริงเคยเห็นจนชินตาขณะยกรวบชายกระโปรง ถัดจากนั้น มันก็ชี้ชวนให้เขาจดจำต้นขาโอบรั้งเหนือปีกสะโพกถัดขึ้นไปจนถึงข้อต่ออุ้งเชิงกรานที่คอยเคลื่อนขยับขณะเบียดเสียด เหมือนจะเป็นหนึ่งในกิจลักษณะที่เขารู้สึกได้ว่ามันตีรวนเสียตรึงแน่นทรวง แม้อารมณ์อึดอัดอันผลุบรับกับความกดกลืนคงพยายามอย่างหนักคราวต้องต่อกรกับความปวดแสบเหนือกระเบนเหน็บขึ้นจรดเหงื่อพรายข้างขมับ เสียรู้สึกหนาวสั่นในความพรั่นร้อน ความปวดร้าวทั่วทั้งร่างที่เคยมีทิ้งตัวเปลื้องล้ำและรุนแรงพลันถลำซ้ำ ๆ จนช่วงชิงทุกเหตุการณ์ในชีวิตที่เขาไม่อาจคิดถึงเรื่องที่เคยคิดมาแล้วก่อนหน้าให้ผุดแจ้งเป็นถ้อยเป็นคำ ราวกับกระจกหลังม่านสลัวใต้ชานขอบหน้าต่างของเดวีส์อยากจะคุมขังเขาไว้กับความกระสันอยากนี้ไปจนวันสุดท้ายเท่าที่จะปรารถนามันออกมาได้ ก่อนมอดดับไปอย่างไม่เคยมีทั้งอย่างนั้น

    ทั่วทุกหยาดไคลและผิวอุ่นเอียนชวนกระสันมั่นเหมาะจะกระเสือกพล่านบทกวีอยู่ภายใต้การควบคุมของแผ่นหลังไหวระริก — เดวีส์รับรู้ได้ว่าความวิตกของเมอร์ริงสั่นกระเพื่อมมาถึงเธอในทุก ๆ จังหวะ

    เฉกเช่นกัน

    และเช้าอันหม่นชืดก็ล่วงถึง ทุกหยาดหยดของไอระเหย เม็ดฝน ความลุ่มร้อนสุมเรือนผมปรกเหงื่อแขยงยาวสลวย กลิ่นหืนฝันราวผลฮันนีดิวฉ่ำซอสน้ำผึ้งแทรกผ่านละอองอุ่นวาบบนโซฟาหนังสีเข้มพลันแห้งสูญ เธอตื่น เพื่อพบว่า เมอร์ริงเองก็จากไป— ชั่วคราว ผมจะกลับมา น้ำเสียงนุ่มทุ้มบอกไว้กลางดึก เดวีส์คิดว่ามันเปรียบเสมือนแววโหยอยากที่เขามีจนล้นอก มันกะลิ้มกะเหลี่ยอยู่บนใบหน้าของเขา เป็นความตายของเธอที่ปลิดพรากรอยรักเย็นย้อนริ้วบ่มผิวเคืองแสบไม่ให้เกาะรัดตามเนื้อตัว ขณะมันค่อย ๆ ทอดห่างไปจากเขา หรือบางที อาจเป็นเมอร์ริงเสียเอง ที่นำพามันเข้ามาและกลับออกไปพร้อมมัน — เงียบเชียบ เปลี่ยวเหงา และยังนับเป็นความจืดชืดระคนหลืบเงาแข็งกระด้าง เขามีทั้งสองสิ่งไว้ในครอบครองเหมือนเป็นเครื่องประดับชิ้นกระจ้อยที่ทำให้เมอร์ริงดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

    เดวีส์ยอมรับ ทั้งที่ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าหล่อนไม่อยากนึกถึงเขา อีกต่อไป

     


     

    แอชตัน กวินคิดว่าการมีความลุ่มหลงซุกซ่อนไว้ยังเบื้องลึกของจิตวิญญาณยังห่างไกลจากสัญชาตญาณแห่งองค์สำนึกสิ้นเชิง เขาเคยวาดเรียวนิ้ว ไม่ใช่ของใครอื่น แต่เป็นของตัวเอง นิ้วที่ใช้มันตรากตรำงานไร่ งานขนคลังค้า งานซ่อมแซมโครงสร้าง ไปจนถึงงานทำความสะอาดเล็ก ๆ น้อย ๆ งานสารพัดอย่างที่ไม่กระดากอายพอจะเก็บมันมาใส่ใจ และแม้กระทั่งงานวาด ที่เขาเองก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าควรคงอยู่เพื่อสิ่งใด ไม่ใช่เพื่อค้าขาย ถนอมธนบัตร เกี่ยวรีดราคา งานที่เขาคิดว่ามันช่างไม่มีมูลค่าอะไร พอ ๆ กับช่วงเวลาที่ถูกเรียกตัวให้กลับไปยังโรงพยาบาลสถานีหลังย้ายไปทำหน้าที่คนเฝ้าประภาคารเพราะลูกพี่ลูกน้องของเขาส่งจดหมายมาถึง เพื่อแจ้งข่าวเรื่องอาการทรุดป่วยเรื้อรังของแม่ในการดูแลของพ่อสลับกับน้าที่อายุมากขึ้นทุกปี อนึ่ง เขาเคยเข้าใจว่าชีวิตเป็นเส้นขนานสำหรับทางเลือกทั้งสองคู่มาตลอด การตัดสินใจมักแบ่งออกเป็น ทำหรือไม่ ไม่ก็ เลือกหรือไม่ กระทั่งจดหมายฉบับหนึ่งเปรอะลายลักษณ์ตวัดชุดศัพท์รากเหง้าเป็นตราเอกลักษณ์ตัวเขื่องแสนโบราณจากทางการ หมายมาเยือนบ้านพักหลังเดิมของเขาด้วย ผ่านคำบอกเล่าของลูกพี่ลูกน้องข้างใต้ลายมือลาดเอียง คล้ายดื้อดึงเกินกว่าจะเทียมเท่าบรรทัดตามคำเล่าเรียนเท่าไหร่นัก เสียงอันเงียบเชียบของมันอวดอ้างลวดลาย เหมือนถ้อยร้องขอจากปลายปากกาของลูกพี่ลูกน้องที่ประกอบอาชีพค้าส่งละแวกทางตะวันออกเฉียงเหนือเวียนตัวมาเกี่ยวข้อง ระหว่างต้องรักษาผู้คนหรือสิ่งของ เขาขอเลือกอย่างที่สอง แม้ว่าตัวเขาเองในตอนนั้น จะทราบดีว่ามันไม่อาจทดแทนให้เขาได้ใกล้ชิดครอบครัวเหมือนอย่างทางเลือกที่ผ่านมาทุกครั้ง แต่ก็ยังดีกว่าต้องตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์หวาดกลัวที่ไม่อาจรู้แน่ชัดว่าจะปะทุขึ้นเมื่อใด และควรจะแสดงอากัปกิริยาเช่นไรให้ผู้คนพึงใจ เขาเหนื่อยเหลือเกิน กวินถอนใจ ไม่ว่าจะทั้งตอนไหน ๆ เขาก็ขอเลือกจะเป็นตัวของตัวเองวันยังค่ำ — เงาดำมืดที่ไม่เคยออกมาจากหลุมนิรภัยผู้นั้น

    ในเวลายากลำบาก ภายในระลอกคลื่นไร้อารมณ์ของห้วงฝันช่างสัปดนงนงก เขาไม่อาจเพ้อฝันถึงอดีตวัยเยาว์ ทุ่งหญ้า น้ำทะเล เสียงห่ากระสุน ปืนกล กลิ่นคาวเลือด เสียงฝีเท้าชุลมุน สีหน้าเศร้าสร้อยของบรรดาญาติพี่น้องผู้อื่น หรือแม้แต่อนาคตอันชื่นมื่น กระทั่งภาพปริศนาของความมืดมิดที่ยังตกตะกอนอยู่ในเสี้ยวจำ เรื่องการหายตัวไปของผู้ดูแลในเรื่องเล่าจากสหายกลางเกาะ ที่มักเดินทางมาถึงช่วงเย็นผลัดเวรเมื่อครั้งเฝ้าประภาคาร หากแต่เป็นเรียวนิ้วของเมอร์ริง เรียวนิ้วที่หยาบกระด้าง แข็งแกร่ง และไม่เป็นทรงสวยเหมือนอย่างของเขา กวินรู้ คนเราถูกออกแบบมาให้ต่างกัน แม้ต้องพบเจอสถานการณ์หรือถูกอบรมบ่มเพาะมาอย่างเดียวกัน หากไม่ใช่เพื่อดึงดูด ธรรมชาติก็คงหมายจะให้หนึ่งในเราพรากทำลาย เปรียบดังความอ่อนโยนโอนอ่อนไม่ก็กวัดไกวเคืองมวลเดือดดาลพุ่งพล่านสาดระรัวเป็นสงคราม ความต่างมีหน้าที่ดังนั้น ทว่า ในความแปลกแยกนี้กลับชี้เชิญให้เขาอยากรู้นักรู้หนา ว่าหากฝ่ามือเมอร์ริงเคลื่อนแตะผิวเผินลงบนผืนผ้าของเขา... มันจะเป็นเช่นไร จะละเมียดละไมขึ้นหรือไม่ หรือจะยิ่งฝืนขื่นเหมือนสีหน้าของเขาซึ่งมักเปิดเผยให้เชยชมเป็นปรกติ ครั้งหาเหตุผลมาละลายความเกลียดชังกลิ่นเคล้าดินไหม้ระเหยจางในทรงแก้วใสบรั่นดี ยามตักตวงความหรูหราไม่พบ สิ่งนี้ มักท้าทายความเป็นไปได้ด้วยการถลำลากวิญญาณมอซอของเขาให้สูญสิ้นจากร่างกายนี้ตามภวังค์หลังตื่น สลับเสียงขีดเขียนซึมสะท้อน — ง่ายดายร่ำไป

    ครั้งแรกที่เมอร์ริงแจ้งให้รู้ว่าเขาจะย้ายไปประจำการที่จุดหัวเมืองใด ประโยคราบเรียบจากริมฝีปากระแหงล้านั่นก็ดูราวเปลื้องยินดียินร้าย เช่นประกาศสำคัญขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่แค่ออกมาแถลงแก่พลเรือนเมื่อปลายเดือน คราวป้อนข่าวควบรวมเขตฟินส์เบอร์รีรวมเข้ากับมหานครอิสลิงตันให้ราษฎรส่วนน้อยในเมืองรับทราบ เพื่อก่อตั้งอุตสาหกรรมการสนับสนุนทางการเมืองเป็นเขตลอนดอนอิสลิงตัน ด้วยเหตุจำนวนประชากรเริ่มย้ายออก สืบจากผลข้างเคียงพิษเศรษฐกิจหลังขาดแคลนสินค้าแปรรูป ประกอบผลเข้ากับการรองรับความนิยมอุปโภคของผู้คนในโรงละครแซดเลอร์สเวลส์ซึ่งอยู่ใกล้เคียง การขยายเรือนอาศัยในอิสลิงตันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องเพราะการนำระบบโดยสารรถม้าประจำทางเข้ามาแจกจ่ายถ่ายถอนระบบคมนาคมยิ่งขึ้นและด้วยจัตุรัสดูทันสมัย การหลอมเขตมหานครนี้จึงดึงดูดช่างฝีมือ เสมียนแรงงาน และผู้เชี่ยวชาญทางวิชาชีพให้เข้ามาในย่านนี้ ไม่นาน เขตมหานาครเล็กอย่างฟินส์เบอร์รีจึงถูกรวมเข้ากับเขตมหานครอิสลิงตันอย่างไม่ต้องสงสัย ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการงานเขตโฮลบอร์น สภาเทศบาลเมืองเคลอร์เคนเวลล์ และสภาเทศบาลเมืองเซนต์ลุค ไอหมอกจางรางโถมคลุมท้องฟ้ามัวหมองของเมืองผ่านแห่งปลายทางความรุ่งโรจน์ทีละช้า ๆ กวินรู้สึกอุ่นเคือง ก่อนจะลืมตาตื่น เขาพบว่าแดดเช้าคลี่บางเบาเหนือเปลือกตาขมวดมุ่น เฉกเดียวกับแววระย้าอันไร้ระเบียบของวงกระเพื่อมเหนือเกลียวคลื่นสาดกระเซ็นมวลชื้น เคลือบขั้นบันไดพลบค่ำใต้แสงตะเกียง และเมื่ออรุณทอแสง ผิวเย็นยะเยือกจากผีสางและความตายก็มาเยือนแหล่งพักของเขาด้วยการเกี่ยวเกาะตะไคร่ลื่นหนืดเป็นคำเตือน ซึ่งต้องออมแรงไว้ขัดทุก ๆ บ่ายที่ไม่เคยหวงห้ามละอองอุ่นอวลจากแสงจ้า แม้วิธีนี้จะลามไปถึงเวลางานตรวจตรา ทุกอย่างภายในหัวของกวินเริ่มโถมกระหน่ำ มันยุ่งเหยิงเหมือนภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ไม่ทันตั้งตัวรับมือ มรสุม – มรสุมพัดทึ้งร่างกายราวโกรธแค้นแสงไต้สะท้อนดาวฤกษ์แก่นักเดินเรือ กระทั่ง น้ำเสียงของเมอร์ริงเอ่ยปากเองว่า เขากำลังเดทกับหญิงนักแสดงจากโรงละครผู้หนึ่งอยู่ เธอมีผมบลอนด์ประบ่าซึ่งปล่อยลอนหนาหยักศกเกลี่ยเรี่ยเนินไหล่แคบ ทั้งยังซ่อนลอนม้วนหนาไว้ข้างใต้หมวกปีกกว้าง [2] เนื้อสักหลาดเบื้องหลังพรมละครแสนเลิศหรู แม้ระหว่างทาง กวินจะเห็นว่าการแต่งกายทึมเทาของเมอร์ริงมักทอดน่องเตร็ดเตร่สายถนนด้วยการแนบอาภรณ์ขัดแต่งความเรียบหรูของสาวเจ้า เช่น ต่างหูมุกและสร้อยพอดีอกที่เป็นเนื้อเข้าชุดมากับต่างหู ดวงตาสองชั้นแสนสุขุม เสงี่ยมอิริยาบถ ระยิบระยับท่ามกลางความมืดสลัวใต้มุมถนนเยื้องห้องพัก – ที่เขามักผินตามองลอดลงมาพบอยู่บ่อยครั้ง ขณะท้าวศอกวางเทียบริมระเบียงเพื่อมองความหรรษาของดาวฤกษ์เหมือนอย่างเคย กลับกัน นัยน์กลมโตคู่นั้นยังสามารถยากเกินจะหยั่งได้ในคราวเดียว มันวาวแววดั่งระลอกธารอันไร้ทรงสะท้อนจากหมู่เมฆ เมื่อเจ้าหล่อนผลิกเรือนกายสะโอดสะองเฉกลำคอระหงยามชายตาเหลือบผิวเผินครั้งเอ่ยทัก ทว่า เมื่อเรือนกายของเธอต้องไอร้อนของปลายฤดูฝน แม้สบผ่านเปลือกรั้นแฝงสีสันฉาบคลาเครื่องสำอางบิดเปื้อน เธอก็ยังสะสวยไม่หยอก เอวคอดกิ่วภายใต้เข็มขัดกลัดขอบโลหะสีทอง ข้างใต้ผัสสะเหนี่ยวรั้งนั่นเผยรูปร่างชวนฝันตามอุดมคติ ขืนหยัดในแจ็กเก็ตสีดำเข้ารูป พ้องรับกับกระโปรงเอวสูงทรงดินสอ แม้บางครั้งบางคืน กวินจะเห็นว่าเธอเองก็เรียบง่ายได้เพียงทรงผมแสกกลางลอนยาวเคล้าลำคอระหง เหนือเสื้อคอปกแขนสั้นผ้ากำมะหยี่พร้อมกระโปรงพลีทที่มีเครื่องประดับเป็นผ้าพันคอและกำไลข้อมือ ชายหนุ่มไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสหายคนสนิทของเขาจึงตกหลุมรักง่ายดายนัก

    กวินจำได้แค่- มันเป็นคืนธรรมดา คืนหนึ่ง ที่ร่างกายของเขายังหนาวเย็นเพราะแสงจันทร์อาบไล้ไส้เทียนบนโต๊ะทำงานของเมอร์ริงผู้เดียว ถึงขั้นสบประมาทให้เขากระจ่างเสียทีว่ามันไม่ใช่ความฝัน แท้จริง เขาอาจไม่เคยฝันเฟื่อง แต่เป็นความทรงจำเปื้อนฝุ่นที่ไม่ยอมลาสะอื้นในความรู้สึกต่างหาก

    เขาไม่แปลกใจ

    ไม่แปลกใจเลย

    ที่นึกครึ้มอยากวาดปลายนิ้วเล็มไล้ปลายปากกาจรดกับตัวอักษรเหล่านั้น คืนวาน

     

    กวินหลับตา... กลิ่นสีน้ำมันสาดกระเซ็นลงบนแป้งรสหวานละมุนลิ้น แปรเปลี่ยนเป็นเงาตะคุ่มของเมอร์ริงที่มักหันหลังอยู่เบื้องหน้าเขา— บนนิ้วมือของเขา คือละอองผงสีขาว ขาวเสียปราศจากสิ่งมัวมืดที่เขาพยายามจะไม่คิดถึงมัน เมื่อเปลือกตาหนักอึ้งลืมขึ้น...

     

    บ่ายนี้ ร้านขนมปังคอร์ทของเขาคลาคล่ำฝูงชน— เนืองเสียดกรรมาชีพชั้นกลางท่ามกลางเสื้อโค้ตหลากใยสังเคราะห์เหมือนเช่นเคย ผู้คนเข้ามาและจากไปเฉกเช่นเดิม เสียเมื่อไหร่ ที่เขากลับมานั่งจมจ่ออยู่บนเตียง เสียงข้างในไม่สบตอบคำถามของเขา รู้ตัวอีกที กวินก็เห็นว่าเมอร์ริงกลับมาถึงห้องเสียค่ำ แม้แสงตะวันเพิ่งจะลาลับผืนครามคล้อยต่ำ แต่ใบหน้าของกวินก็ยังไม่ขลาดทุกข์อันเปลื้องคราบออกไม่พ้นกับความเหนื่อยล้า เป็นเขา— ฮัมเฟรย์ เมอร์ริงที่กำลังยืนกุมเข่าหอบระทวยอยู่ริมฝั่งถนน แม้ขวักไขว่ด้วยฝีเท้าสัญจรของผู้เหนื่อยอ่อนบนใบหน้าของคนแปลกหน้าที่กวินไม่รู้จัก พวกเขาอาจจะต่างถิ่นต่างแดน ต่างลุ่มน้ำ ต่างหลังคาเรือน ผู้คนทั้งหลายจึงไร้บริบทมัดตัวให้ผูกพัน ชุดสุภาพของเมอร์ริงอยู่ในสายตาของกวิน ทว่าดูยาวไกลคนละฟากฝั่ง ถัดจากกวินราว ๆ หนึ่งร้อยเมตร ก่อนรวมเป็นภาพของชายในชุดสูทสีเทาพร้อมเนคไทด์ราวผลราสเบอร์รีสุกงอมสลับใบหน้าเคร่งเครียดภายใต้หมวกฮอมเบิร์ก [3] สีเทาเข้ม ซึ่งไม่อาจปิดซ่อนสันกรามเรียวยาวดูสะดุดตาได้พ้น

    เมอร์ริงพยายามวิ่งเลียบสายถนน ข้ามตัดมาหยุดอยู่ตรงหน้า— ตรงหน้าที่ยังเป็นฝั่งตรงข้าม ขณะเอ่ยปากชวนเขาไปร้านอาหารของมิสซิสการ์เน็ตเหมือนอย่างที่ทั้งสองเคยไปเยือนเมื่อนานมาแล้ว

    สามเดือน...หรือสี่เดือนกันนะ หรือมากกว่านั้น

    กวินพยายามนึก แทนที่จะรีบตอบในสิ่งที่เขาไม่มีโอกาสปฏิเสธ

    เขาจำได้เพียงความฟุ้งฝัน

    คือทัศนีย์ของความลับในความว่างเปล่า — ที่สามารถเป็นได้ทุกสิ่ง ทั้งทิวทัศน์ อุปกรณ์ประดิษฐ์ เครื่องแต่งกาย ทัศนวิสัยอันลึกซึ้ง มองลงมาเป็นหอสังเกตการณ์ ผิวมหาสมุทร หรือโลกดาราจักร เขาเห็นมันทั้งหมด ไม่เว้นกระทั่งความดับสลาย ก็คงเป็นดังนี้ เป็นเรื่องที่จะอุบัติซ้ำ- โดยตั้งใจหรือไม่ก็บังเอิญ สอดคล้องด้วยผลลัพธ์แห่งตนหรือไม่ก็อิสระ สืบเนื่องเป็นลางหรือไม่ก็ขัดแย้งเกินพอดี

    หากราคาของการถวิลหายังเพรียกจะปรารถนาอย่างสิ้นเปลือง — 10 ชิลลิง นั่นไงราคาที่เขาต้องชดใช้ กวินคิด

     

     

    เชิงอรรถ
    1. ^วลีภาษาละติน ซึ่งแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "เวลาผ่านไปเร็ว" มักใช้เป็นคำตักเตือนเรื่องความเกียจคร้านและการผัดวันประกันพรุ่ง สำนวนนี้มาจากบรรทัดที่ 284 ของหนังสือเล่มที่ 3 ในหนังสือ Georgics ของเวอร์จิล
    2. ^saucer hat คือ หมวกปีกกว้าง ทรงกลม หรือทรงจานบิน ทำจากวัสดุหลากหลายชนิด เช่น ฟางหรือสักหลาด และมักมีกระหม่อมต่ำ
    3. ^หมวกฮอมเบิร์กเป็นหมวกกึ่งทางการทำจากขนสัตว์หรือผ้าสักหลาด มีลักษณะเด่นคือมีรอยบุ๋มตรงกลางของยอดหมวก (เรียกว่า "ยอดหมวกแบบมีร่อง") มีแถบริบบิ้นไหมแบบแถบกว้างที่คาดหมวก ปีกหมวกแบนที่มีลักษณะเป็น "ลอนดินสอ" และมีแถบริบบิ้นที่ขอบปีกหมวก โดยทั่วไปหมวกจะมีให้เลือก 2 สี คือ สีดำหรือสีเทา

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in