เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
numerous | October Prompts 2024wallflowerblu
XXI. TRUTH OR DARE (7)
  •  

    7

     

    เสียงขานนามสะท้อนก้องสถานพยาบาล เรียกสติให้ข้าพเจ้าผุดลุกเข้าห้องตรวจ ฝ่ายหญิงกลางคนในชุดแขนยาวสีดำคั่นตาด้วยผ้าโพกหัวและกันเปื้อนสีขาว ถือกระดานชาร์ทข้อมูลออกมาหันซ้ายแลขวา และเมื่อข้าพเจ้าปราดตรงเข้าไปตามหลังเธอ ก็พบกับชายอายุน้อยสวมชุดสะอ้านเหลือบมองข้าพเจ้าตั้งแต่ท่อนหัวจรดปลายเท้า ราวดวงเรียวรีแกว่งหาบางสิ่งในตัวข้าพเจ้าไม่พบ เขาจึงเลิกรา ก่อนผายมือให้ข้าพเจ้าในวัยเยาว์ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ตามระเบียบ บุรุษผู้เลื่องชื่ออย่างเขาคือขั้วตรงกันข้ามที่ข้าพเจ้าใฝ่ฝันจะทอดน่องเยื้องระแวงตามกลิ่นเมื่อเติบใหญ่ ครั้นนึกอยากแพลงตนเป็นฝ่ายรักษาเฉกนี้บ้าง เหตุเนื่องข้าพเจ้าเกลียดสิ่งกระทำอันเพ้อฝันคล้ายวิปริตใต้สำนึกของสายวิชาชีพนี้เกินทน พักหลังมา ข้าพเจ้าเริ่มคุ้นชินเขาอยู่ไม่น้อยฝ่ายเดียว เมื่อทราบข่าวจากเพื่อนร่วมฝึกหัดว่าชายหนุ่มย้ายสถานะมาจากหัวเมืองทางตอนใต้เพราะวิกฤติเศรษฐกิจ กระทั่งทั่วเขตลือฉาวถึงวิธีช่วยชีวิตผู้ป่วยไข้ทรพิษกลายสภาพโรคเรื้อนหายดีเป็นปลิดทิ้ง หลังพลเมืองพลัดถิ่นมากหน้าค่อย ๆ แทรกอาศัยเกลื่อนพื้นที่จวนซาเซา ทยอยเข้ามาฝากฝังชีวิตร่วมกับเขาไม่เว้นวันเมื่อสิ้นสุดการทหาร

    เขาตวัดปลายกระดาษขึ้นลงอยู่ไม่กี่หน จากนั้นจึงผวนเชิดปลายคางขึ้น ปรายตาข้ามศีรษะข้าพเจ้าไปยังบานพับทรงสูงด้านหน้า

    “ผู้ปกครองเธอล่ะ”

    “อยู่ข้างนอกครับ” ข้าพเจ้ากล่าว แม้จะมีหรือไม่ แม่ก็ทำหน้าที่เพียงสอดส่องตามบริบทของสัญชาตญาณเท่านั้น

    ข้าพเจ้าเองก็ด้วย

    เขาขอให้ข้าพเจ้าเหยียดกางนิ้ว ข้างที่มีอาการปวดระบมอวดแผ่สายตา ก่อนจงใจยื่นนิ้วตนสวมทับลงมา กดรอยต่อกลางข้อช้ำสีเรื่ออ่อนเบาบางช้า ๆ “เจ็บหรือ”

    “...ไม่เท่าไหร่” แม้กายกระตุกขืนเกร็งแต่ข้าพเจ้ากลับแสร้งลวง เกรงว่าการรักษานี้จะกินเวลาส่วนตัว รวมถึงสถานะทางการเงินซึ่งจวนสายธารเหือดแล้งติดอวนประมงของเมืองวิถีชายขอบมาสักระยะ ตลาดส่งออกของที่แห่งนี้เริ่มขัดสนร่วมสองสัปดาห์ ฝืดเคืองพอ ๆ กับช่วงหลังการคมนาคมอุตสาหกรรมเริ่มฟื้นฟู ผันผวนกับแหล่งค้าขายของชนชั้นล่างเสีย ปากท้องข้าพเจ้าไม่เคยอิ่มเอม ฝีเท้าของข้าพเจ้าจึงควรต้องระเหเร่ร่อนร่ำไป เพื่อประคองกอดอะไร ๆ ระหว่างทางสัญจรไว้สุดชีวิต

    เขาสบตาข้าพเจ้าชั่วหนึ่ง หากแต่ข้าพเจ้ากลับหดเกร็งแววกะพริบเนิ่นเสี้ยวนาที นิ่งงัน ทว่า ละล้วงข้อง ดวงกลมคลอนปรุโปร่ง เสมือนแมลงปีกอ่อนจำพวกไหวระเริงกับไส้ไฟ ที่อยากแทรกผ่านช่องตำหนิหลืบแคบของแผ่นพับวัสดุเนื้อแข็งล้อมเรือนพัก และต้องโฉบกระทบม่านนัยน์ดวงนี้ให้รู้จักเจียมกะลาหัวท้วงสำนึกหลังเอ่ยปด ก่อนเขาจะเอนหลังโย้เพียงนิด เรียกผู้ช่วยคนเดิมให้เข้ามารับทราบข้อวินิจฉัยที่ข้าพเจ้าฟังไม่รู้ความ “Finger dislocation little, DIP, Volar plate injury รบกวนด้วยนะครับ”

    หลังตรวจทานเสียละเอียดด้วยการฉายรังสี เขาก็ลงความเห็นว่าข้าพเจ้าควรสวมอุปกรณ์ดามนิ้วเป็นเวลา 3-5 สัปดาห์ พ่วงการประคบน้ำแข็งเพื่อลดอาการบวมและปวดร่วมทุก 3-4 ชั่วโมง สม่ำเสมอเป็นเวลา 15-20 นาที ปฏิบัติพร้อมวิธียกข้อนิ้วอยู่ในระดับสูงเดียวกันกับหัวใจเพื่อลดอาการบวมอย่างเคร่งครัด พลางย้ำถึงกฎห้ามฝืนด่วนใช้งาน เพื่อลดการฟกช้ำ

    ขณะสาวเท้าตามหลังไว ๆ ของผู้ปกครอง ข้าพเจ้าจึงเลือกคว้าซาลิไซเลตออกจากกระเป๋า -- ซองยาสังเคราะห์ลดอาการปวดที่ได้รับจากเขาเพียงหนึ่งชิ้น แบจ้องชื่อทางการค้าซึ่งถูกเขียนระบุด้วยอักษรลากยาวไร้จุดยกหัวปากกา เหนือฝ่ามือเผยข้อต่อช่วงปลายนิ้วหว่างกลางเชื่อมติดปลอกอะลูมิเนียมโฟมสวมหุ้มปลายนิ้วก้อยไว้จนมิด ข้าพเจ้าถวิลจำถึงแววใคร่สงสัยคู่ตรงกันข้ามออกเป็นฉาก ๆ ชั่วขณะที่ไออุ่นบนเนินหลังมือของข้าพเจ้ากลับอุ่นวาบสวนการกระทำผิวเผินจากเขาหลายโข แผกปรกติกับมวลเย็นยะเยือกแฝงซึมเนื้อกาย ไอผ่าวขมุกขมัวเฉกนั้นเริ่มทำข้าพเจ้าแคลงใจ ถึงขั้นอยากถนอมเฝ้าเอาไว้เสียไม่รู้ตัว

    “แกบอกใครหรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น” น้ำเสียงของผู้เป็นแม่กระเซ้าถาม ขณะเดินเท้ากลับที่พักระหว่างทาง ข้าพเจ้าไล่ทวนแผ่นหลังบอบบางตรงหน้า เธอไม่ได้หันกลับมา แต่เพราะน้ำเสียงเครือกังวลค่อนเบา คอยเสริมให้ข้าพเจ้าทราบดีว่าเธอเองก็ตระหนกอยู่ไม่น้อย

    “เปล่า”

    “แล้วเขาถามสาเหตุไหม”

    “ถาม” เพราะข้าพเจ้าทราบดีว่าชุดคำถามพรรคนั้น คงอยากได้ยินถ้อยปฏิเสธ การเอื้อนเสียงสั้น ๆ เปล่งลำพัง จึงเรียกความสนใจของแม่ออกจากถนนคมนาคม แวดล้อมพาหนะคันเล็กช่วงย่ำค่ำปลิดทิ้ง

    “ขอแค่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ก็ไม่จำเป็นต้องกลับไป” ข้าพเจ้าชูมือข้างพันครอบอ้างตอบ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอต่อถ้อยเจาะจงเบื้องลึกที่เธออยากฟัง แม่จึงตรงเข้ามาคว้าศอกของข้าพเจ้ายกสูงเหนือหัว ทว่า องศาข้อต่อข้างถนัดนี้กลับถูกเยื้อถก เทียมกลางอกของผู้เป็นแม่เท่านั้น ผลัดทิ้งกับระยะห่างระหว่างบทบาทอย่างสิ้นเชิง สถานที่ที่ข้าพเจ้าไม่อาจหลวมตัวเอื้อมฉวยบาปแห่งตนเพิ่ม

    ข้าพเจ้าจะหาญปล่อยให้ผู้อื่นล่วงความลับส่วนตัวได้อย่างไร

    “นิ้วซ้นเพราะหกล้ม” ดีกว่า “นิ้วซ้นเพราะวิสาสะฆ่า” เห็น ๆ

    “แกทำแบบนั้นทำไม”

    น้ำเสียงกังวานของแม่ยังคงก้องดังอยู่ในฝันข้าพเจ้า บางหนบาดแหลมชวนแสบหู บางหนกลับทุ้มต่ำชวนเงี่ยหูเจรจา ทว่า บางหนก็ถึงขั้นแผดตวาดโทสะ

    ชั่วคืน ปลุกเค้นข้าพเจ้าก่อนอรุณแยง, เรื่อยมา

     

    ข้าพเจ้าได้กลิ่นเจือชาเลดี้เกรย์ [1] ออกมาจากเครื่องแต่งกายของ มร. อัชเชอร์ ไม่แน่ว่าหากตั้งใจสูดดม มันคงเล็ดลอดแผ่วเบาผ่านลมหายใจ ผิวหนัง และเส้นผมพรมเซทเลิกแสกอย่างดี ซึ่งเบี่ยงกลางกระหม่อมเรียบเปล้เฉียงฝั่งซ้ายเหมือนอย่างทุกวัน บางหนบางคราวข้าพเจ้าก็รู้สึกคล้ายกลิ่นหอมละม้ายสวนแชมเปญอ่อน ๆ ในงานเริงรมย์ ราวดาร์จีลิงถ้วยละมุนเกสรขจรเคล้าบรรยากาศชื้นแฉะ ขณะเขาทำหน้าที่ย่างนำข้าพเจ้าบนบาทวิถีไปยังตรอกซอยตามหมุดหมาย ข้าพเจ้ากริ่งเกรงว่าบทบาทในหน้าที่ของเขา กำลังสวนทิศกับข้อเท้าจากผู้ตกเป็นฝ่ายตามอย่างข้าพเจ้าอยู่หลายโมงเทียว ตามเข้าใจ “บท” ของเขาคือการรักษา และ “บาท” ของเขาก็ควรจะเดินตามวิธีสมานแผลผู้คน ทว่า เขากลับชำนิชำนาญเรื่องการผ่าตัดและการนำทางบทบาทส่วนตัวของข้าพเจ้าเหลือเกิน

    ข้าพเจ้าคงไม่คลางแคลงความเป็นอยู่ของเขา หากมันอยู่ในเวลางาน เว้นแต่การมีอยู่ของเขาค่อย ๆ กัดกินรอยไหวอุดช่องกั้น ซึ่งโผล่ประสานในลักษณะของการหลอมรวมรูปโฉมข้าพเจ้าทีละน้อย ราวเสี้ยวคมแตกหักบางจำพวกทิ้งตัวหล่นกระจายซ้ำเล่า ยามโน้มตัวหยิบตนอันสะท้อนตรึงผ่านกระจกบานใส ใกล้เข้ามาฉายดูเงาหัวด้านหลังที่มักถูกหลงลืมอยู่เป็นนิจ ดวงตาของคนเราจึงต้องจัดวางอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของโครงสร้าง เพียงเพราะคัดลอกแบบอย่างมาจากพระเจ้างั้นหรือ เปล่าเลย วิธีสามัญของมันมีไว้ใช้สำหรับทอดมองท้ายทอยผู้ที่อยู่ข้างหน้าหนึ่งระยะคืบฝีเท้าต่างหาก สัญชาตญาณของผู้ล่าจะกำหนดจุดมุ่งหมายให้เองเสมอว่าเราควรเพ่งเล็งไปในความต้องการใด

    แรกเริ่ม ข้าพเจ้าควรออกห่างฝ่ามือที่เขาผลักไสสัมพันธ์ไร้จุดอิงอาศัยผ่านถ้อยเสนอแต่พอเหมาะ และทิ้งเศษซากแตกเซาะเหล่านั้นเอาไว้ยังจุดที่จะไม่มีใครผ่านมาเหยียบเข้าจนได้รับบาดเจ็บ ทว่า กลับกลายข้าพเจ้าเสียเอง ที่รู้สึกราวเงื้อมมือคู่นั้นไม่เพียงถนัดลิ้มรสชาไร้การินนมผสม และละเลงซับผ้าผืนเล็กประกบผิวเนียนชื้นหยาดพรุดพรายข้างขมับ 

    กระนั้น ยังสามารถประคองแรงสั่น ทะลวงเฉือนอย่างนุ่มนวล ทาบย้ำลงมายังผิวบาดของข้าพเจ้าจนมันหวิ่นเหวอะจวนเน่าโฉ่

    หลังข้าพเจ้าเคยชินปล่อยให้มันตกสะเก็ดอยู่ครึ่งค่อนอายุราชการ โดยเฉพาะการปล่อยให้ความตายของคนที่ยังอยู่ โหมจองจำกาลสะเทือนฝันเป็นอิสรภาพ 2 จำพวก ข้อแรก ข้าพเจ้าเพรียกมันว่าความตายถ้วน คือการสูญเสียที่มิเคยพัวพัน ผู้คนจะยินร้ายผันผ่านเพียงประเดี๋ยว ครั้นตื่นก็ลืมสิ้น แม้คราวรำลึกเคียงข้างเป็นขั้นเป็นตอนเพียงใด การดำเนินกิจวัตรประจำวันก็จะไม่รู้สึกกระดากอายต่อผู้ตายมากนัก ถัดมา ข้าพเจ้าเพรียกมันว่าความตายวอด วอดจากวายหาย ในที่นี้ หมายถึงวอดซึ่งความสัมพันธ์ ปีติแห่งอิสรภาพจะสวมบทเป็นรูโหว่คอยบั่นทอนตัวตนของคนผู้ที่ยังมีลมหายใจ แม้คราวยินดีผ่านหัวข้อดาษดื่นในหน้าที่หรือการเป็นอยู่สามัญ ส่วนใหญ่แล้ว มักรู้สึกราวทรยศแก่การร้างไร้ เสมือนลงมือพลั้งสดุดีแก่อายุขัยแห่งเยาว์วัยผู้วายชนม์ หรือแม้จะเป็นสถานภาพชราอาภัพ อันถูกปรองดองให้เยื้อแต่เพียงนั้น อารามกลัดกลุ้มสุมหทัยจะเป็นตัวบ่งชี้ว่าเรายังมีห้วงอาวรณ์อยู่มากน้อยเพียงไร ข้าพเจ้าชินชาเรื่อยมา มันยังคงเหลือเถ้าถ่านประดำประด่างหลายกองฟอน ทว่า น่าละอายนักที่ข้าพเจ้ากำลังสุมทรวงตนด้วยสภาวะผ่อนปรน เพื่อเฝ้ารอให้ผู้อื่นผ่านมาสลักเพลิงเผา โดยที่ไม่รู้สึกหวั่นแขยงมันอย่างเคย ซึ่งข้าพเจ้ามอบอักษรแก่มันว่าการผ่อนเช่าความเวทนา

    ข้าพเจ้าฉวยข้อมือกวัดแกว่งตรงหน้ากระชั้นหาตัว ปลายเท้าเยื้องจุดหมายชะงักกลบแรงสะเทือนเตะร่องแอ่งน้ำโดยไม่ตั้งใจ หลังสายฝนซาทิ้ง เคลื่อนห่างวงจรครามครึ้ม ดูท่าเขาจะฉงนไม่น้อยที่ข้าพเจ้าล่วงเจตนาจนเกินควร

    “คุณร้อนหรือ” ข้าพเจ้ามิเคยเห็นเลยว่าเขาจะยอมถกข้อมือให้ชำเลือง

    เขาหลุบต่ำ ดวงสีเข้มที่ตกทอดมาจากการระหกออกจากยุโรปทางตอนใต้ มักแผดประกายเปลือกวาวอ่อนยามต้องไอแดด ครานี้ ดูหยั่งลึกกว่าคราวไหน ๆ เมื่อเขาพยามยามจะมองฝ่ามือชื้นเหงื่อของตนอย่างไร้นัย ซึ่งเกลือกเคล้ารอยเปียกเปื้อนนิ้วข้าพเจ้าไม่มากนัก

    “เปล่า...ผมขี้หนาว แต่เหมือนยิ่งอายุมาก ความดันก็ไม่เคยลดอย่างเคย บางคราวเหงื่อเลยอาบมือ อาบหน้า อาบผม เป็นบางช่วงน่ะ ต่างคนอื่น”

    นั่นซี...

    เขาจะสวมโค้ตเนื้อดีไปทำไม หากกายสะดวกเขยื้อนโดยเร้นผ้าซับหน้า

    “ผมว่า...เราอาจคว้าน้ำเหลวอีก” มร. อัชเชอร์โพล่งลอย ขณะเหลียวสายกั้นเส้นเหลืองระโยงล้อมอาณาบริเวณเรือนผู้เสียหายนานร่วมสองสัปดาห์ หากความคืบหน้าอื่นกลับริบหรี่ ราวก่อแสงไต้ผืนนที กลางสมรภูมิสีเลือดนกพัดกรรโชกท้องนภาย่ำค่ำโถมหยาดเหลว ไอหมอกตามวจีพร่ำเพ้อประสาชาวค้าขายชนบทลือหนักหนาเรื่องคำสาปแช่งจากปิศาจเห็นจะคล้องจองแก่การณ์บ้านเมืองก็คราวนี้ สิ่งอุปโลกน์นานาใต้กลุ่มก้อนที่ข้าพเจ้าเชื่อมาตลอดกาลว่าปราศจากตนของมวลทั้งปวง กลับเปลือยล่อนจ้อนต่อรูปลักษณ์ในรูปธรรมเสียนัยน์ตามืดบอดดวงนี้จะทอดเห็น สวมชิดประสาทตื่นรู้ครั้นยังมิปักหลักลงรอยกับสัญญาณระทึกดี

    จุดอับแสงอุทธรณ์แหล่งอิงมลทินนี้เอง ยังคงสืบธุระรับผิดชอบดำเนินเป็นพิษสง ซึ่งข้าพเจ้าแสร้งว่ามันปรกติถ้วนอย่างไม่หน่ายคอยแตกแยกเป็นอาจิณขณะใคร่ทวนซ้ำ

    “คุณรู้หรือเปล่า...โลกใบนี้มันไม่เคยมีต้นแบบ ผมหมายถึง ตัวตนของเราเองก็หาใช่เรื่องของตัว” ข้าพเจ้าหยุดปลายเท้าข้าง ๆ สถานภาพของเขา กลิ่นโชยอ่อนชื้นดินเปียกของหย่อมหญ้าพัดผ่านร่างเราสองล่วงไปทางด้านหลัง หลังซึ่งอาจหมายถึงทางด้านหน้าที่เราต้องย้อนกลับไปทำเนินชีพเช่นกัน

    “คดีฆาตกรรมที่ยังปิดไม่หมดก็ล้นโขอยู่ เท่าที่ผมทราบ ป่านนี้ฆาตกรรายนั้นคงหนีไม่พ้นสื่อข่าวละมัง เพราะถ้าผมเป็นผู้ลงมือ ผมจะไม่เอามือไปลงกับจดหมายแน่นอน” เขาสูดหายใจลึกเต็มปอด ยาวนานพอ ๆ กับท่วงกลั้นจังหวะผ่อนทิ้งลมหายใจของข้าพเจ้า ขณะรอฟังวลีถัดไปอย่างเป็นกันเอง

    “มันเสียเวลา” เขาสารภาพ ทำนองเบียดชิดเร้นวรรค ปะปนถ้อยสำนึกของข้าพเจ้า

    “แกทำแบบนั้นทำไม”

    “เพราะมันคิดแบบเดียวกันกับผม มันอยากฆ่าแม่ เปล่า ข้าพเจ้าหาได้แพร่งพราย มันอยากลงมือ มันอยากทำให้พวกเราเยือนสู่ความรวดร้าวในโชคชะตา มันอยากทอดทิ้งความกระหายเต็มกลืน กระนั้น ข้าพเจ้าจำต้องฆ่ามันก่อนเสีย ก่อนหนึ่งในเราจะต้องตายต่อสิ่งควรประสงค์ไปอีกโดยไร้ความหมาย เพราะความหมายของความตายจะไม่รีรอ ไม่ยื่นคำถาม ไม่เสวนาร่วมใคร มันอุ้มชูอาวุธสังหารซุกซ่อนใต้ผิวเนื้อเปลื้องมลทิน ปราศจากคมเขี้ยว ไม่เร่งเร้าเพื่อให้มนุษย์ผู้ใดไหวตัว มันลงมือเวลานั้นเสมอ ชั่วกาลที่เราไม่เคยทำความเข้าใจอะไรของโลกใบนี้ได้

    มันยืนอยู่ตรงนั้น

    “ผ้าซับหน้าผืนนี้ คู่หมั้นผมให้มาน่ะ” มร. อัชเชอร์สาธยายต่อ เขาดูเหมือนอยากทะลวงมวลอึมครึมของแสงสลัวใต้ดวงจันทร์ เสียกว่าจะป้อนข้อมูลเกินจำเป็นให้ข้าพเจ้าฟูมฟักด้วยการล้วงสิ่งสิ่งนั้นออกมาอีกครั้งอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “โค้ตผ้าฟลีซวันนั้น กลิ่นน้ำมันสนของคุณมันเป็นเจตนาแบบไหนกัน” ข้าพเจ้าเหตามประสงค์ชั่วเดียว จากนั้นจึงเดินนำเขาเข้าไปยังโถงประตูแทรกผ่านรั้วกั้นเตี้ย ๆ ในมือถืออุปกรณ์สำหรับออกตรวจภาคสนามติดมาน้อยชิ้น แต่ก็เพียงพอต่อการจะหาวัสดุพิเศษละอองเล็กจำพวกนั้น ผงขัดสำหรับใช้ขึงตึงเส้นสายบรรเลงเครื่องสาย

    “มันไม่ใช่รหัสลับเรียกคู่หูของคุณให้ออกมาจับผมใช่ไหม” เขากล่าว น้ำเสียงเหมือนรู้ตัวว่ากำลังสนทนามุกทึมทื่อที่ข้าพเจ้าคงไม่มีทางกลั้วสัญญาณเริงร่าให้จับสังเกต

    ข้าพเจ้าหันหลังกลับ แสร้งปริกลีบขนาน เหยียดมุมเฉยเมยสองฝั่งผันทิศตรงข้ามกัน ประดับตรึงใบหน้าอย่างที่เขาไม่เคยพิจารณา หางตาขีดเรียบถ่วงแรงโน้มยามกิจวัตรธรรมดา ๆ หนนี้ คงจรดแนบแขนงเคียงขมับเสียน่าเกลียด ถลำอิริยาบถแปลงขัยควรผายกิริยาเคารพไปไกลเทียว แต่ช่างปะไร ข้าพเจ้าหาได้หิวศรัทธาจากเขา

    “no man’ s land” ข้าพเจ้าถดชิดจังหวะ ทวนก้าวหนึ่งหน่วยชะลอเทียมฝ่ายติดสอย “มันก็เหมือนกับคืนที่คุณพาผมไปดูจุดชันสูตรแลคุณหมอ ผมแค่ต้องการจะทราบ...นอกเหนือจากจุดบอดที่คู่หูของผมปกปิดอีก ก็เท่านั้น”

    “เรื่องต้นแบบ โค้ตผ้าฟลีซหนนั้นคุณนับหรือ มร. ฟลานเดอร์ส?”

    “...ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากให้ผมเชื่อแบบไหน”

    เขาขยับข้อเท้าตามติดข้าพเจ้า หรือคงอยากพิจารอิริยาบถของข้าพเจ้าแต่เนิ่นเผื่อระแวงภัยกระมัง ภายในโถงเรือนไม้ชั้นเดียวสลัวรางอวลกลิ่นอับชื้นของฐานวัสดุผุกร่อน แม้เว้นสัปดาห์ก่อนรุ่งอรุณ สายตรวจพยานวัตถุจะมีเจ้าหน้าที่ผลัดเวรเทียวอยู่ไม่เว้นวัน ราวตะไคร่เขียวหนืดและเชื้อราจำพวกหนึ่งเริ่มเห็นสภาวะรกร้างอับไอแดดเหมาะจะเป็นแหล่งพำนักเพื่อขยายขอบเขตของเผ่าพันธุ์ ข้าพเจ้าจึงต้องระแวงฝีเท้าคุ้มกันสถานพยานวัตถุที่คู่หูตรวจจนถ้วนไม่พบให้เป็นนิสัยเฉพาะ ขณะกวาดแสงไฟดวงใหญ่สาดปรี่ตรงซอกมุมหลังบานพับ – ที่ซึ่งง่ายต่อเหตุฆาตกรรมดึงสายรัดกระจุกรั้งหลอดลมใหญ่ให้ขาดอากาศสิ้นใจโดยง่าย ทว่า ลำแสงในมือต่อเงามืดรายเครื่องเรือนกลับดูทึมทื่อเฉกเปลวเทียนจ่อผืนป่าไม่ปาน

    “ที่จริง เรื่องที่คุณอยากทราบที่มา ของผ้าผืนนี้... เดิมที มันผ่านมานานสิบกว่าปีแล้ว แต่ผมยังรู้สึกว่าเธอไม่จากไปไหน เป็นความผิดผมเองที่ไม่เอะใจเลยว่าการโบกมือลาบนท่าเรือนิวยอร์กวันนั้น จะพาเธอไปไม่ถึงปลายทางเทียบท่าเมืองลิเวอร์พูลช่วงบ่าย ความเขลาของผมคือ การปล่อยให้ระยะห่างของเรากลายเป็นชนวนเสี่ยงตราย ที่ผมจะไม่มีวันได้พบเธออีก”

    ข้าพเจ้ารู้สึกปวดหนึบท้ายทอยอย่างมิอาจเลี่ยง เมื่อยินห้วงอดีตอันน่าประหวั่นพรั่นพรึงฉากเดิม เสียงประกาศจากวิทยุของสถานีโรงเรียนฝึกหัดและหน้าหนังสือพิมพ์นิวยอร์กในปี 1915 ของวันที่ 22 เมษายน กระจายเกลื่อนตามหัวเมืองสำคัญจากสถานทูต ยังติดตรึงอยู่ในน้ำเสียงใต้โสตลำพังของข้าพเจ้าขณะกวาดตาอ่าน แม้การมอดไหม้หนนั้นจะพะเนินสิ่งพลิกผันหลาย ๆ อย่างตามมา ครานั้น หนึ่งในความรับผิดชอบหลัก ๆ จึงตกระกำอยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายเจ้าหน้าที่เรือลาดตระเวนราชนาวี เสริมพลพรรคกองราบเข้าสบทบอย่างทันท่วงที ลำดับแรกในย่อหน้าห้าบรรทัด อวดแผ่เนื้อความเหนือกระดาษตวัดอักษรหมึกเข้ม ดังว่า “พื้นที่ของสงครามนั้นครอบคลุมไปถึงบริเวณน่านน้ำในแถบเกาะอังกฤษทั้งหมด ทางรัฐบาลจักวรรดิเยอรมันจึงขอประกาศให้ทราบถ้วนกันว่า เรือลำใดที่ชักธงของบริเตนใหญ่ หรือของพันธมิตรบริเตนใหญ่ทั้งหมด จะต้องเสี่ยงต่อการถูกทำลายให้จมสู่ก้นสมุทร...”

    ขณะนั้น ข้าพเจ้ายังชดใช้แรงอุปการะต่อวิชาชีพและอ่อนหัดเกินกว่าจะเข้าใจสิ่งขบถริก่อบาง ๆ สุมทรวงอกหมู่ชนหลังสื่อพิมพ์ และเพราะซากเรือจมกะทันหันเพียงเสี้ยววินาทีท่ามกลางฝูงชุลมุนหนีรอดเอาชีวิต หลังถูกระเบิดกราบเรือพุ่งโจมตี เนื่องเรือดำน้ำเยอรมนีระบุคำเตือนมูลขนยุทธปัจจัย หาได้อาวรณ์เรื่องพลเมืองตาใสอำนวยร่วมพาหนะ จึงทำให้เรือกู้ชีพที่ควรจะผละออกจากลำเผื่อสำรองช่วยพลเรือนถึง 48 ลำ เกิดเสียหาย กระทั่งไม่สามารถพลิกแพลงวิกฤติได้ทันการณ์ การเหลือรอดทั้งสิ่งของและผู้ประสบสำหรับกู้ชีพจึงมีเพียง 6 ลำคอยเคลื่อนย้ายเท่านั้น

    ข้าพเจ้าได้ยินน้ำเสียงพึมพำของ มร. อัชเชอร์ พรรณนาถึงหญิงอันเป็นที่รัก ซึ่งได้ปะหน้ากันด้วยฐานงานภายใน เพราะเขาย้ายสายงานหลังศึกษาทางการเพิ่ม เพื่อบรรจุยังสถานประกอบแห่งใหม่ กระทั่งได้พบกับเธอ จวนลงเอย แต่แล้วโชคชะตานั้นก็ขาดสะบั้น ถึงเพียงนี้ เขาเงียบลง สบพอกับข้าพเจ้าที่อยากสารภาพว่าตนพร่องอุตสาหะฟังอย่างใจจดใจจ่อ เพราะมีหลายสิ่งใต้เศษทรงจำรวมถึงทัศนตรงหน้าให้ชำเลืองกว้างขวางเหลือเกิน จุดบอดสีขาววงเล็กในหัวต่างหาก คือสิ่งที่ข้าพเจ้าเคร่งใฝ่ค้นล้วนแล้วสำคัญกว่าธุระนัยสารผ้าซับหน้าของเขาเพียงผู้เดียวอยู่โข

    หากเขาอ่านข้าพเจ้าออกหมดจรด จรดหัวแนบเท้า ตรึงเสียข้าพเจ้าราบคาบ เหตุใดข้าพเจ้าจึงควรยอมให้เขาขมวดต้อนฝ่ายเดียวเล่า

    เหตุผลอื่นล่ะ คุณหมอ” ข้าพเจ้าอ้างถาม ขณะเลือกกดปุ่มวงจรข้างกระบอกฉายอันจงใจเกลี่ยเพ่งเศษฝุ่นใต้พรมให้มอดดับ โสตแทรกเหตุว่าเขาหยุดรอยเท้าพลันค้อมศีรษะก้มมองใบหน้ารอนกระปุกไส้ไฟของข้าพเจ้าที่ยังคู้กายชันเข่าขวางหน้าประตูโถงรับแขกผ่านเงาตะคุ่ม เรือนกายสูงโปร่งฉาบคร่อมโครงร่างทึบแสงข้าพเจ้าจากทางด้านหลังเสียมิด

    “เหตุผลที่คุณดื่มชา... มันไม่สำคัญไปกว่าผ้าซับหน้า... อ้อ ของต่างหน้าจากคู่หมั้นคุณหรอกหรือ หรือความที่คุณต้องสาธยายเหตุนองเลือดออกมาโดยใช่เหตุนี้ไม่ใช่เพราะช้ำรัก แต่เป็นเพราะผมจับสังเกตออก...ว่าคุณถนัดซ้าย จากการรินกาและกระดกแก้วชาล่ะ มันต่างสิ้นกับวิธีเผลอไผลใช้มือขวาควานผืนผืนนั้นจนผมลืมไม่ลงเชียว” ข้าพเจ้าเงยสบ ดวงกลมนิลคู่เดิมสลัวเงาอับแสงจากมุมเหนือกว่า ดูคลุมเครือเสียข้าพเจ้านึกติฉินส่วนเพิกมักง่ายของสัญชาตญาณ เรื่องไม่ทันพิรุธถึงร่มผ้าข้างใต้ว่าเขาพกอาวุธใดหอบติดมาด้วยหรือไม่ หากมี ก็ถือได้อุบัติเถิด ข้าพเจ้าจะได้ชดใช้บาปเสียตรงนี้ บาปประเภทเดียวกัน ด้วยน้ำมือคนประเภทเดียวกัน หากพระประสงค์ของพระองค์ผู้กดขี่ต้องการปกครองด้วยโทษเด็ดขาดดังนั้น ใยข้าพเจ้าควรต้องหลั่งรินห้วงอาวรณ์สำนึกตนกลายอาภัพดั่งวัวลืมตีนร่วมกระบวนอีกราย

    “มันบังเอิญเกินไป เกินกว่าจะยอมเชื่อได้ว่ากลิ่นเฉพาะของชา...”

    ข้าพเจ้ารู้ถึงกระแสลมผ่อนหลังสูดลึก ทว่า ยั้งยินประพฤติแฝงล่วงเกินสิ่งกระทำโผงผางอย่างผู้ร้ายคะเนทางหนี เทียวนั้น ความขบถทิ้งซึ่งอันตรธานอันสุขุมลุ่มลึกชวนข้าพเจ้าหยัดกายเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริง

    ตามแต่เขาปรารถนาจะมอบให้ข้าพเจ้าหลงเชื่อ

    “จะช่วยกลบโรซิน [2] ได้”

    “แล้วยังไงครับ คุณจะใช้ตรรกะแบบนั้นจับผมเข้าตารางหรือไง ลมปากไม่มีมูลฐานเกยน้ำตื้นหนนี้...คงยากหน่อย จริงไหม

    “หาก ณ โมงนี้ ผมคล้ายสิ้นลม ก็คงเป็นไปตามขั้นการณ์ของคุณมิใช่หรือ” ข้าพเจ้าระรัวถาม เพรียกเสียงแค่นจางอารมณ์เฉียดยินร้ายจากเขา

    “สำหรับคุณ ผมดูเหมือนคนชอบทำอะไรโดยไม่ตรองหรอกหรือสารวัตร”

    น้ำเสียงลุ่มลึกปรุงแต่งให้ข้าพเจ้ารู้สึกราวกับเสี้ยนไม้ตระหง่านที่เผลอข้ามไปเหยียบเข้าจนบาดลึกเพราะตัวสะเพร่า

    “ผมเห็นมานับไม่ถ้วน นับรวมน้ำมือตัวเองก็ด้วย” ประหนึ่งกัดก้อนกรวดฝืดลงคอ ผัสสะต่างรสถนอมได้มาซึ่งข้าพเจ้ากรกัติให้เขาเป็นสถานปลอดพันธะนี้ ช่างดูไม่สมกับเป็นสำนึกของข้าพเจ้ายิ่ง “มันอยากฆ่าแม่ พวกนอกระบบ ผมถึงต้องเร่งลงมือ ก่อนจะย้ายไปประจำการ-”

    “มีด้วยหรือ คนที่ไม่เน่าเหม็นแม้ยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่า...ผมคงไม่เคยเห็น ตลอดการรักษาจรรยาบรรณวิชาชีพ ผมก็ต้องรักษาความฟอนเฟะตามร่างกายจนชินชาเหมือนกัน” เขาสวนแย้ง กะทันหันกับลมแผ่วชะงักถ้อยเปลื้องอักษรไร้ขีดลากอวดการศึกษา อย่างที่ขอบเขตของชนชั้นจะวัดระดับฝูงชนจากอัตตาสมประกอบนั้น ความประณีตอันสง่างาม และความถ่อมตนอันสุขุมลึก ฉะนั้น คำปดของข้าพเจ้าก็ควรจะเป็นอย่างที่ข้าพเจ้าใคร่ประกาศิตผ่านไออุ่นของกระแสโลหิตทะลักรอยบาด แผกเชิงจากสันหลังกุมมวลยะเยือกสุมศีรษะในอดีตเช่นกัน

    “ดูก็รู้ คนอย่างคุณคงไม่ฆ่าคนในอุดมคติหรอก” เขาอ่านข้าพเจ้าอีกครา แววกลมโตเฉดผลแพร์บอสก์ [3] คู่ตรงข้ามราวยิ้มเย้ยแก่อาลัยช้ำตรมเขลา ๆ ของข้าพเจ้า ที่บางคราวเศษทรงจำตนก็พิลั่นฉลองซึ่งกันและกันต่อโทสะแห่งห้วงอดีตเบื้องลึกลำพัง

    “เช่นนั้น คุณคงเลือกฆ่าผมไปนานแล้ว” เขากระตุกเรื่อสายสัมพันธ์จากข้าพเจ้าเข้าหาอีกหนึ่งระดับ “โลกของเรามันไม่มีวันเหมือนกันแต่แรกอยู่แล้ว หรือคุณจะบอกผมว่าไม่จริง”

     


    end.




    เชิงอรรถ
    1. ^Lady Gray ชาที่มีกลิ่นน้ำมันมะกรูด คล้ายกับชาเอิร์ลเกรย์ แต่จะมีกลิ่นที่อ่อนโยนกว่า โดยเลดี้เกรย์จะมีส่วนผสมของส้มเพิ่มลงไปด้วย ช่วยให้รสสัมผัสนุ่มนวลลงกว่าชาเอิร์ลเกรย์
    2. ^Rosin ยางสน หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Colophon หรือ Colophony คือยางไม้ (Resin) ที่ได้จากต้นสน (Pine) ซึ่งมีอยู่กว่า 110 ชนิดทั่วยุโรป เอเชีย อเมริกาเหนือ และนิวซีแลนด์ ซึ่งสารเมือกหรือขี้ผึ้งธรรมชาติที่ได้จากน้ำมันสน คือ เรซิน (Resin) เป็นสารเหนียวข้นจากต้นสน โดยจะถูกสกัดเรซินจากน้ำมันสน ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นเรซินจากต้นสนอีกทอดหนึ่ง คือ น้ำมันสน (Turpentine) และชันสน (Rosin) โดยปกติแล้ว น้ำมันสนจะระเหยได้ ส่วนชันสนจะเป็นของแข็งที่เหลือจากการกลั่น ใช้ในการเพิ่มแรงเสียดทานระหว่างสายชักและเครื่องดนตรี
    3. ^แพร์บอสก์ (Bosc pear) เป็นลูกแพร์ชนิดหนึ่ง (Pyrus communis) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกกันทั่วไปในเขตอบอุ่น ยุโรปออสเตรเลีย บริติช โคลัมเบีย ออนแทรีโอ แคนาดา รัฐแคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน และออริกอนของสหรัฐอเมริกา โดยทั่วไปลูกแพร์จะมีความหลากหลายของพันธุ์, สี, ขนาด, และ รสชาติ แพร์บอสก์เป็นที่รู้จักจากผิวสีน้ำตาลอมเหลืองและรสชาติที่หวานเล็กน้อย โดยเบอร์เร บอสก์ เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกกันครั้งแรกในเบลเยียมหรือฝรั่งเศส ชื่อบอสก์ตั้งตามชื่อนักจัดสวนชาวฝรั่งเศสชื่อ หลุยส์ บอสก์ และ "เบอร์เร" แปลว่า "เนย" ซึ่งหมายถึงเนื้อสัมผัสที่นุ่มและชุ่มฉ่ำของผลไม้ ในช่วงต้นของวงจรความสุก ลูกแพร์จะมีความชุ่มฉ่ำ กรุบกรอบ และหวาน เมื่อสุกเต็มที่ ผลจะหวานและนุ่มขึ้น และเปลือกจะย่น

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in