เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
LOOK A BREATHE (Series 3)nimon
ผู้บริสุทธิ์ (To Kill A Mockingbird)


  •      การตัดสินผู้บริสุทธิ์เพียงเพราะเขาเป็นคนผิวดำ เขาสีผิวไม่เหมือนกับเรา เขามีต้นทุนชีวิตที่แตกต่างจากเรา ก็ไม่ต่างจากกับฮิตเลอร์ที่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนผิวดำ ฮิตเลอร์มอบความตายให้กับคนผิวดำพวกนั้นอย่างโหดร้าย และคนอเมริกามอบความตายทั้งเป็นให้กับคนผิวดำเช่นเดียวกัน ดังนั้น ความตายจริงกับความตายทั้งเป็น อันไหนที่เรียกว่า “โหดร้ายและทารุณกว่ากัน” นี่คือคำถามที่หนังสือเล่มนี้ตั้งไว้ให้คนอ่านได้ขบคิด


    “You never really understand a person 

    until you consider things 

    from his point of view.

    เราไม่มีทางเข้าใจคนอื่นได้อย่างแท้จริง

    จนกว่าจะพิจารณาสิ่งต่างๆจากมุมมองของเขา”


         เรื่องราวแห่งความอัปยศอดสูเกิดขึ้นเมื่อวันที่พ่อของเด็กน้อยที่ชื่อสเกาต์ มีชื่อว่า “แอตติคัส” ทนายผู้ซื่อสัตย์ และมากด้วยคุณธรรมว่าคดีความให้กับคนผิวดำที่นามว่า ทอม เพราะแอตติคัสรู้ว่า “ทอมไม่ได้ข่มขืนหรือทำร้ายร่างกายลูกสาวของยูเวลล์แต่ด้วยประการใด และทอมถูกเป็นแพะรับบาป เพราะเพียงแค่ทอมเป็นคนผิวดำ


    “คนผิวดำทำอะไรผิด

    สุดจะคิดขนาดไหน

    ความจริงเสมอไป

    ไม่ว่าไว้วัดอะไรได้”


         หลังจากที่แอตติคัสรับทำคดีให้กับคนผิวดำ ลูกๆของเขาไม่ว่าจะเป็นสเกาต์และเจ็ม พี่ชายของสเกาต์ถูกเพื่อนล้อเลียนและไม่อยากคุยด้วย เพราะทุกคนเหยียดผิวนั้นเอง แต่ทั้งสองได้ไปเล่าให้พ่อฟัง และฟังที่พ่ออธิบาย จนทั้งสองเห็นใจทอมอย่างมาก ระหว่างนั้นเอง ทั้งสองพยายามจะสืบคดีเรื่องของคนที่ชื่อบูว่า “ทำไมเขาถึงไม่ยอมออกจากบ้านในตอนกลางวัน” อีกด้วย



    “คนผิวดำน่าสงสารนั่น

    ทุกๆวันนี้ไม่ได้ทำผิดไฉน

    แต่ชอบโดนคนผิวขาวใส่ร้าย

    ผิดขนาดไหนเท่าผิดตน”


          วันหนึ่ง คดีของบูถูกปิดไป เพราะว่า “ทั้งสองค้นจนเจอแล้วว่า ที่บูไม่ออกจากบ้าน เพราะบูเคยทำร้ายคนๆหนึ่ง และบูต้องติดคุก แต่เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีคุกสำหรับบู ครอบครัวบูจึงพาบูมาคุมขังที่บ้าน จนทำให้บูไม่กล้าออกมาเผชิญหน้ากับสังคม” และบูจะกล้ามาเผชิญหน้ากับสังคมไม่ เราไม่อาจบอกกล่าวได้


    “ความยุติธรรมหาได้ไม่

    หากไม่ใช่ซึ่งเป็นคน

    เพราะความผิดนั้นผิดตน

    หรือผิดคนผิวขาวไซร้”


         ส่วนคดีของทอมก็คือคดีที่คนผิวดำถูกใส่ร้าย เพราะความจริง คือ ลูกสาวของยูเวลล์ยั่วผู้ชายไปทั่ว และเธอดันชอบทอม จึงยั่วทอม ทอมไม่เล่นด้วย พ่อของเธอมาเห็น พ่อของเธอต่างหากที่เป็นคนทำร้ายร่างกายเธอ และมีคนอื่นอีกไหมที่ทำร้ายเธอ หรือเพียงแค่พ่อของเธอคนเดียวนั่น เราคงจะบอกกล่าวตรงนี้ไม่ได้



    “ความจริงยิ่งกว่าใช่

    ทุกวันไหนขนาดไฉน

    เพราะใจไม่ตรงกันไซร้

    ตลอดไปนำพาทุกข์”


         วันหนึ่ง วันที่ไม่น่าจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ทอมคลุ้มคลั่งขึ้นมา เพราะความเครียดสะสม จนทอมถูกฆ่าตายในที่สุด ส่วนเจ้าคนร้ายตัวจริง ก็ไม่ได้ต่างกับทอม แต่มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยที่จะปรากฎต่อหน้าผู้อ่านทุกท่าน หลังจากที่ทุกท่านเปิดอ่าน


    “ความจริงไม่เหลือไร

    เหลือเพียงไว้แค่ไร้สุข

    เพราะทุกวันเจอแต่ทุกข์

    ที่ทุกวันไร้ยุติธรรม”


         นี่คือหนังสือแห่งยุค หนังสือแห่งปีก็ว่าได้ เพราะเป็นหนังสือที่ดีมากฉบับหนึ่งที่เล่ามาจากคดีจริงจากนักเขียนที่ฟังมาจากพ่อของเธอ คดีที่เขย่าความยุติธรรมของโลกนี้ว่า “หลายครั้งเราก็ฆ่าผู้บริสุทธิ์อย่างม็อกกิงเบิร์ดไปโดยไม่สนใจความถูกต้อง และเราปล่อยนกบลูเจย์กลับมายังมีชีวิตรอดไปทำร้ายคนได้ต่อไป” เพราะทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าด้วยคนผิวดำนั้นชั่ว คนผิวดำนั้นผิด แต่คนผิวขาวเท่านั้นที่ดี จึงทำให้คนกลุ่มหนึ่งลืมมองความเป็นจริงที่ว่าด้วย “ม็อกกิงเบิร์ดคือนกที่ร้องเพลงเพราะผิดกับนกบลูเจย์ที่สร้างแต่ความเดือดร้อน” ทั้งคนผิวขาวและคนผิวดำย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดีเท่ากัน เพราะย่อมเกิดมาเป็นคนเท่าเทียมกัน ดังนั้น เราจะไปบอกว่า “คนผิวขาวไม่ผิด คนผิวดำผิดตลอด นั้นมันไม่ได้จริง” 


    “ลูกจะยิงนกบลูเจย์ยังไงก็ตามใจเถิด

    แต่จำไว้ว่า ถ้าฆ่านกม็อกกิงเบิร์ดจะเป็นบาป”


         เราคิดว่า “คนผิวดำย่อมไม่ต่างจากคนผิวขาวตรงมีทั้งดีและไม่ดีเหมือนกัน แค่แตกต่างที่สีผิวเท่านั้น” เราเคยเจอคนผิวดำที่อยู่ที่สตาร์บัคส์ที่อังกฤษ และเก็บของที่เราลืมทิ้งไว้ให้ ทั้งกระเป๋าตังค์ โน้ตบุ๊ค เสื้อโค้ทที่ทิ้งไว้ และเขายังซื่อสัตย์อีก เขาบอกให้เราตรวจสอบเงินให้เรียบร้อย บัตรทุกอย่าง ถ้าเผื่อมีอะไรหาย เขาพร้อมยอมรับผิดชอบ และเราตรวจดู ไม่มีอะไรหาย เพราะเราจดไว้ถึงเงินที่อยู่ในกระเป๋า และเงินไม่หาย บัตรอะไรก็ไม่ถูกรูด และทุกอย่างอยู่ครบ และเราขอบคุณเขา ก่อนที่เขาจะยิ้มและบอกว่า “ระวังไว้ก็ดีนะครับ” เราตอบรับเขาก่อนที่จะจดจำเขาตลอดไปเลย เพราะความเป็นจริง ตอนแรกที่ซื้อกับเขา ก็แอบกลัวเขาเหมือนกัน แต่ไม่กล้าแสดงออก พอเรารู้ว่า “เขาเป็นคนดี” เราคิดได้เลยว่า “สิ่งสำคัญไม่ใช่สีผิว แต่คือข้างในจิตใจของคนต่างหาก ที่จะเปิดเผยว่า คนนั่นดีหรือไม่ดีต่างหาก เราจะวัดคุณค่าของคนผ่านสีผิวไม่ได้ แต่เราต้องวัดคุณค่าของคนผ่านการกระทำ คนผิวดำทุกคนไม่ใช่คนไม่ดี แต่เขาแค่มีสีผิวที่ต่างจากเราเท่านั้นเอง” ตั้งแต่นั้น ไม่ว่า เราเจอเขาทีไหน เรามีโค้งๆให้เขา และอีกครั้งที่เคยเจอคนผิวดำให้ความช่วยเหลือ คือ ตอนนั่งรถเมล์ที่อังกฤษ เราถือของหนักมาก และเขามาช่วยถือของ พร้อมกับสละที่นั่งให้ และเขากว่าจะลง เลยท่ารถเมล์เราไปอีก เราก็นับถือในน้ำใจเล็กน้อยนี้ของเขาเหมือนกัน



         หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือใสๆแต่กลับกลายเป็นหนังสือที่หนักตามหน้าหนังสือ เพราะยิ่งช่วงหลังๆ ยิ่งเต็มไปด้วยความไม่ยุติธรรมของสังคมคนผิวดำมากยิ่งขึ้น และยิ่งอ่านก็ยิ่งเครียดตาม เพราะไม่ว่า “จะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย จนคนขึ้นท่องอวกาศได้แล้ว คนผิวดำยังไม่เคยได้รับความยุติธรรมอยู่ดี คนผิวดำก็กลายเป็นคนผิดอยู่ร่ำไป การเหยียดผิวก็ไม่หมดไปจากโลกนี้สักที” เราชอบคำพูดของพ่อเด็กที่พูดถึงคนผิวขาวและผิวดำนั้นก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ดังนั้นเราต้องกำจัดคนไม่ดีอย่างนกบลูเจย์ (คือ นกจำพวกอีกา) ให้หมดไปจากโลกนี้ แทนที่จะคิดกำจัดนกม็อกกิงเบิร์ด (คือ ผู้บริสุทธิ์) นั้นเอง


    LOOK A BREATHE

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in