เราสองคนตื่นกันแต่เช้าตรู่จัดแจงเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเตรียมตัวออกเดินทางไปภูทับเบิกแหล่งท่องเที่ยวที่ตะปูอยากไปเห็นและสัมผัสทะเลหมอก ผมใช้เส้นทางหล่มสักในการเดินทางไปในครั้งนี้ แต่ดูเหมือนฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจมากนัก ระหว่างทางฝนเจ้ากรรมดันเทลงมาอย่างไม่ขาดสาย หนักบ้าง เบาบ้าง สลับกันไปเกือบทุกจังหวัดที่เราผ่านจนทำให้เราสองคนอดนึกในใจไม่ได้เลยทีเดียวว่าตอนเช้าจะมีโอกาสชมความงดงามของทะเลหมอกภูทับเบิกหรือไม่ ถึงกระนั้นผมเชื่อว่าการเดินทางมักให้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่กับชีวิตอยู่เสมอ
เราสองคนใช้ชีวิตอยู่บนรถยนต์เป็นส่วนใหญ่ ทำได้มากก็แค่จับมือพูดจาหยอกล้อกระเซ้าเย้าแหย่กันตามประสาคู่รักทั่วไปจนผมอดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่านี่ตะปูรู้สึกดีกับผมจริงๆ ใช่ไหม เป็นความรู้สึกที่แท้จริงไม่ได้เกิดจากความเหงาหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตามบางครั้งอะไรที่มันแน่นอนอาจไม่แน่นอนก็ได้ ผมพยายามสลัดความคิดเข้าข้างตัวเองออกไปเสีย และรอคำตอบจากปากของเธอน่าจะเป็นอะไรที่ดีที่สุดอย่างน้อยก็ไม่ต้องฟุ้งซ่านมากไปกว่านี้
เรามาถึงห้องพักที่ภูทับเบิกจวนค่ำเพราะระหว่างทางผมแวะพักตามสถานที่ต่างๆ เกือบตลอด ไม่เร่งรีบขับรถชมทัศนียภาพตลอดสองข้างทางไปเรื่อย ๆ อากาศที่ภูทับเบิกค่ำนี้ค่อนข้างหนาวแม้ว่าจะเป็นฤดูฝนก็ตาม ลมพัดแรงมากจนได้ยินเสียงเล็ดลอดเข้าไปในห้องพักเลยทีเดียว ผมมีความสุขมากที่ได้มีโอกาสไปเที่ยวกับตะปูในครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่เราเจอกันและเที่ยวด้วยกันในฐานะแฟน แต่เสียอยู่อย่างเดียวเท่านั้นถ้าเธอบินกลับไทยเที่ยวนี้ไม่ได้มาพิสูจน์ความรู้สึกที่มีต่อผมก็คงจะดีไม่น้อย
ก่อนตะปูเดินทางกลับไทยเราสองคนช่วยกันวางโปรแกรมเที่ยวต่างจังหวัดสองสามแห่งเพราะเธอมีเวลาอยู่ไทยได้แค่ 6 วันเท่านั้นซึ่งน้อยมากสำหรับการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในฐานะแฟนหรือคนรัก แต่กระนั้นผมก็เข้าใจว่าทุกคนต้องมีหน้าที่ ตะปูต้องกลับไปทำงานลาหยุดมาได้เพียงเท่านี้ ดังนั้นทุกวินาทีที่ผมอยู่กับตะปูจึงมีค่ายิ่งนัก ผมจะใช้เวลาที่มีเหล่านี้ให้คุ้มค่ามากที่สุด เพื่อจะพิสูจน์ให้ตะปูเห็นว่าความรู้สึกดีที่มีให้ผมไม่ได้เกิดจากความเหงา แต่มาจากความรู้สึกที่แท้จริงจากก้นบึ้งของหัวใจเธอ
การเดินทางท่องเที่ยวในต่างจังหวัดของเราสองคนครั้งนี้ ทำให้ผมสัมผัสถึงความเป็นตัวตนของตะปูมากขึ้น เรียนรู้วิถีการใช้ชีวิต อารมณ์ ความรู้สึก การแสดงออกและนิสัยของเธอเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หลังจากที่พยายามเรียนรู้จากการคุยผ่านข้อความในไลน์และการโทรไลน์หากันแทบทุกวัน ผมเชื่อว่าตะปูก็คงสัมผัสถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของผมเช่นเดียวกัน
ค่ำคืนที่ภูทับเบิกเราสั่งอาหารเข้ามากินในห้องพักเพราะฝนเทลงมาไม่ขาดสาย ลมแรง อากาศหนาว ขณะที่เช้าวันรุ่งขึ้นฝนยังคงโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสายเช่นเคย ทะเลหมอกที่เราสองคนตั้งไจไว้ในตอนแรกว่าจะมาชมความงดงามต้องพังทลายลงสิ้น วินาทีนั้นผมกับตะปูแทบไม่สนใจหรือโกรธลมฟ้าฝนที่ทำให้เราสองคนไม่ได้ชมความงดงามของทะเลหมอกเลย เรามีความสุขที่ได้ไปเที่ยวและอยู่ใกล้ชิดกันแบบนี้มากกว่า แต่อย่างน้อยการเดินทางมาเยือนภูทับเบิกครั้งนี้มันทำให้เราสองคนมีความสุขจนล้นปรี่ และนับได้ว่าเป็นสถานที่แห่งความทรงจำที่ดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ตอนสายฝนเริ่มซาเม็ดแล้ว เราสองคนเก็บของเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพฯ ผมขับรถยนต์แวะไปจอดที่ลานจอดรถด้านล่าง ซึ่งเป็นที่อยู่ของผู้ดูแลห้อง ระหว่างที่ผมกำลังลงจากรถนั้นตะปูขอตามลงไปด้วยแต่ผมห้ามปราบไว้บอกให้เธอนั่งรออยู่ที่รถ เพราะคงใช้เวลาไม่นานในการเข้าไปเอาเงินมัดจำค่าห้องคืน
ผมเดินกลับมาที่รถยนต์ที่จอดสตาร์ทเครื่องรออยู่นั้นมองทะลุเข้าไปตรงช่องหน้าต่างตรงประตูรถด้านคนขับซึ่งขณะนี้กระจกเลื่อนลงเปิดอยู่ ภาพที่เห็นตรงหน้าตะปูกำลังนั่งอ่านข้อความในโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาโกรธผิดกับครั้งแรกที่ผมลงไปจากรถ "เกิดอะไรขึ้น" ผมนึกในใจ ทว่า!!! นี่คงเป็นสัญญาณร้ายที่เตือนว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่มันจะเป็นเรื่องอะไร ใครเป็นต้นเหตุของเรื่อง ผมยังไม่แน่ใจ ผมเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถหันไปมองหน้าตะปูที่ดูหงุดหงิดและบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
“เป็นอะไรหรือเปล่า”ผมเอยถามทำลายบรรยากาศความตึงเครียอด
“เปล่าค่ะ”
“มีอะไรบอกพี่ได้นะ” ผมรบเร้า
“พี่รู้จักผู้หญิงคนนี้ไหมคะ ใครคะ” ตะปูส่งโทรศัพท์มาให้
ผมถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ หัวใจแทบหยุดเต้นภาพที่อยู่ตรงหน้าเป็นรูปผมกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถ่ายคู่กัน
“น้องรู้ไหมว่าพี่เป็นแฟนกับเค้า”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in