ผมตื่นเต้นดีใจจนบอกไม่ถูกเลยทีเดียวที่จะได้เจอตะปูตัวจริง คราวนี้คงได้มีโอกาสใกล้ชิดและสัมผัสความรู้สึกของคนที่เรารักมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย หัวเราะต่อกระซิบ สบตา กินข้าวดูหนังด้วยกันเหมือนแฟนคู่อื่น ๆ ทั่วไป ไม่ต้องมานั่งทนเหงาเห็นกันเฉพาะรูปถ่าย พูดคุยเฉพาะข้อความในไลน์ ได้ยินเสียงเวลาโทรหากันเท่านั้น
ถึงกระนั้นความดีใจก็พังทลายหายไปสิ้นเมื่อนึกขึ้นได้ถึงวัตถุประสงค์การเดินทางมาเยือนเมืองไทยของตะปูในครั้งนี้นั้นเธอมาเพื่อพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเอง มาเพื่อพิสูจน์ว่าความรู้สึกดีที่มีให้ผมนั้น มันเกิดจากอะไรกันแน่ ระหว่างความเหงาหรือความต้องการที่แท้จริงของเธอ พอนึกได้เช่นนี้มันทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นเกรงว่าจะยอมรับสภาพความเป็นจริงและความผิดหวังได้หรือไม่
ผมขับรถออกจากบ้านไปท่าอากาศยานสุวรรณภูมิตั้งแต่บ่ายสองโมงเพื่อรอรับตะปู ตามหมายกำหนดการของเครื่องบินที่เธอโดยสารมานั้นจะลงจอดที่เมืองไทยเวลาประมาณห้าโมงเย็น ผมถึงสนามบินบ่ายสามโมงก่อนเวลานัดหมายล่วงหน้า ยังมีเวลาอีกนานกว่าเครื่องบินเที่ยวนั้นจะลงจอดจึงเดินไปหาร้านอาหารนั่งจิบกาแฟฆ่าเวลาไปพล่าง ๆ ก่อน อันที่จริงการมาถึงสนามบินก่อนเวลานัดเป็นความตั้งใจของผมเอง เพราะจะได้มีเวลาทำใจและไม่ขวยเขินหรือตื่นเต้นเวลาที่ได้เจอกับตะปู ผมนั่งอยู่ในร้านอาหารเฝ้ารอด้วยใจจดใจจ่อ ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาทุกสิบห้านาที คิดแต่เพียงว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาที่เครื่อนบินร่อนลงจอดเสียที
ใกล้เวลานัดเข้ามาทุกขณะ ผมอดรนทนไม่ไหวจึงเดินออกไปเช็คเวลาว่าเครื่องบินลำนั้นลงจอดแล้วหรือยัง ในที่สุดเครื่องบินลำที่หอบเอาคนรักจากซิดนีย์ก็ร่อนลงจอดยังจุดหมายปลายทางที่เมืองไทยอย่างปลอดภัย ผมตื่นเต้นรีบเดินไปยืนรออยู่ที่ผู้โดยสารขาเข้า ตาจับจ้องไปในประตูว่าตะปูจะเดินออกมาเมื่อไหร่ทั้งที่เครื่องบินเพิ่งลงจอดได้ไม่เกินสิบนาที สักพักมีเสียงสัญญาณเตือนว่ามีข้อความจากไลน์ ผมรีบคว้าโทรศัพท์มาเปิดเช็คดูข้อความทันที ตะปูบอกว่าถึงแล้วกำลังรอกระเป๋าอยู่คงต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะเดินออกไป ผมพิมพ์ข้อความตอบกลับไปในทันทีว่าผมรออยู่ตรงส่วนไหนเพื่อให้เราสองคนเข้าใจตรงกันจะได้ไม่คลาดเคลื่อนหรือหากันไม่เจอ
ผมพยายามมองทุกคนที่เดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาเข้า กวาดตามองไปรอบ ๆ แต่ไร้แม้เงาของตะปู
"เอ้...นี่ตะปูเดินออกมาหรือยังนะ" ผมนึกในใจ
“กรี๊ง ๆ ๆ”เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นผมรีบกดรับปลายสายเป็นเสียงของตะปู
“พี่...ตะปูออกมาแล้วค่ะ”
“อยู่ตรงไหนคะ ทำไมพี่มองไม่เห็นเลย”
“หันมาทางขวามือสิคะ”ผมหันหน้าตามเสียงนั้นไป “เห็นยังคะ”
โอ้แม่เจ้าผมยืนอึ้งไปชั่วขณะไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ผมเขินตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นตะปูยืนถือโทรศัพท์รออยู่ตรงจุดนั้น อาการตื่นเต้นเริ่มถาโถมผมอย่างไม่มีปี่มีขุยจนไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองเลย ตะปูที่ผมเห็นในภาพถ่ายกับตัวจริงผิดกันมากราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว ตัวจริงเธอเป็นคนสวยและน่ารักมาก มากเสียจนผมเขินแทบทำอะไรไม่ถูกทั้งทีก่อนหน้านี้ตะปูจะเป็นฝ่ายเขินอายผมเสียมากกว่า
ผมเดินไปหาตะปู เราสบตากันเป็นครั้งแรก ผมยืนจ้องหน้าเธออยู่นาน เธอยิ้มและกล่าวคำทักทายผมยิ้มตอบและรับกระเป๋าเดินทางมาถือไว้ในเมือพร้อมชวนเธอเดินไปที่ลานจอดรถระหว่างทางตะปูจะเป็นฝ่ายพูดคุยถามสารทุกข์สุขดิบเสียมากกว่า ผิดกับผมที่นิ่งเงียบตลอดทางไม่ค่อยพูดค่อยจาเพราะความเขินอายและตื่นเต้น
“ตะปูเจอพี่ตัวจริงแล้วเป็นไงมั้ง”ผมถามระหว่างขับรถพาเธอไปทานอาหารที่ร้านริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง
“ก็ดีค่ะ ตอนนี้ยังตอบอะไรมากไม่ได้ คงต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันอีกสักพักค่ะ”เธอเงียบนิดนึง “แต่ตะปูไม่ค่อยชอบผู้ชายไว้ผมยาวนะคะ”
ผมอึ้งไปชั่วขณะแค่เจอกันวันแรกผมก็มีข้อเสียให้เธอติซะแล้วอย่างนี้เวลาที่เหลืออีก 7 วันผมจะรอดจากการพิสูจน์ความรู้สึกของเธอได้ไหม หรือจริง ๆผมอาจไม่ใช่ผู้ชายที่ตะปูชอบ ผมกลุ้มใจมากจนอยากจะตัดผมสั้นในวินาทีนั้นเลยทีเดียว
“เมื่อไหร่พี่จะรู้คำตอบของตะปูคะ”
“คำตอบอะไรหรอคะ”
“ความรู้สึกชอบ รัก ของตะปู มันเกิดจากความเหงาหรือเพราะอะไร”
“รอก่อนนะค่ะ ถ้าตะปูมั่นใจมากกว่านี้จะบอกทันทีเลยค่ะ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in