ฉันเป็นโรคซึมเศร้าเมื่อปีที่แล้ว แต่ก็เข้ารับการรักษาจนเมื่อประมาณต้นปีคุณหมอที่อยู่ในการดูแลก็ตัดสินว่าฉันอยู่เกณฑ์ปกติและไม่ต้องทานยาหรือเข้ารับการรักษาอีกต่อไป แน่นอนว่าตอนนั้นฉันดีใจมาก ราวกับว่าได้ปลดสัมภาระอันหนักอึ้งออก แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไปด้านบนว่าเงามืดนั้นแค่หลบฉากไปซ่อนตัวเพื่อบ่มเพาะพลัง รอคอยวันที่จะกลับมายึดครองร่างกายของฉันแล้วออกไปโลดแล่นบนแสงไฟ
ก่อนจะเลิกกับแฟนฉันรู้สึกแปลกๆในใจตลอดเวลา แต่ก็คิดว่ามันเป็นเพียงแค่อาการข้างเคียงของประจำเดือนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไร ซึ่งตัวฉันในตอนนั้นที่ละเลยต่อเจ้าเงามืดก็ไม่สามารถคุมอารมณ์ได้ดีพอ จนสายธารแห่งอารมณ์ที่ปั่นป่วนในหัวของฉันมันพรั่งพรูออกไปทำร้ายคนที่ฉันรัก
เมื่อเลิกกันไปฉันก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ฉันก็ลองสังเกตุตัวเองดูเพื่อที่จะหาต้นตอแห่งความไม่สบายใจที่ฉันยังคงรู้สึกอยู่ลึกๆในทุกเมื่อเชื่อวัน ฉันพบว่าจากปกติที่ทานอาหารได้น้อย ในตอนนี้กลับน้อยในด้านปริมาณ และจำนวนมื้อต่อวัน นอกจากนั้นยามที่มีสติตื่นก็ไม่ต้องการที่จะหลับไหล ครั้นยามที่ได้พักผ่อนกลับอยากจมจ่อมอยู่ในห้วงความฝันตลอดไป รู้สึกเหนื่อยแม้จะไม่ได้ขยับกาย
จากอาการต่างๆที่กล่าวไปก็ทำให้ฉันไม่ได้นิ่งนอนใจ เห็นดังนั้นฉันจึงตัดสินใจที่จะนัดพบคุณหมออีกครั้งเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นอยู่ ซึ่งเวลานัดก็คงมาถึงในเร็ววันเพราะฉันไม่อยากปล่อยให้เงามืดคืบคลานเข้ามามีอิทธิพลกับฉันเฉกเช่นเมื่อก่อน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in