บทที่ 6
งานศพ
งานศพ
ตอนอายุสิบเจ็ด ฉันได้ไปงานศพของคุณยาย เธอเสียชีวิตขณะนอนหลับ เธอเป็นอัลไซเมอร์ ไม่สามารถจำฉันได้ และต้องถามแม่ทุกครั้งว่าฉันเป็นใครตอนที่เราไปเยี่ยมเธอ เจมี่กับฉันไม่ค่อยสนิทกับเธอเท่าไรนัก เราเข้าร่วมงาน รายล้อมไปด้วยคนแปลกหน้า บ้างก็ร้องไห้ บ้างก็แบ่งปันเรื่องราวในอดีต เจมี่กับฉันยืนคุยกันถึงเรื่องอื่น เราไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเธอมากนัก แม่ให้ฉันบอกลา ฉันทำตามที่บอก แต่ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้น ฉันเศร้า เพราะแม่ของฉันเศร้า
สัปดาห์ที่แล้วฉันแหกกฎ แต่แทนที่จะได้รับการลงโทษ ฉันได้รับสารจากเดธ ในขณะที่ออกัสต้องใช้เวลา 12 ชั่วโมงในความว่างเปล่า โทษฐานที่ไม่ดูแลฉันให้ดี
ฉันไม่คิดว่าเดธจะให้ฉันเข้าร่วมงานศพของตัวเอง แต่ฉันก็คิดผิด ออกัสได้รับชื่อของคนที่จะไปงานศพของฉัน เราจึงตามเธอไปจนถึงไบร์ทเลค วิสคอนซิน ฉันเพิ่งจากบ้านไปได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ แต่ฉันก็คิดถึงที่นี่จับใจ
ไบร์ทเลคเป็นเมืองเล็ก ๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของวิสคอนซิน มีจำนวนประชากร 272 คน เรามีบาร์แห่งเดียว ร้านสะดวกซื้อแห่งเดียวที่มีทุกอย่างที่เราต้องการในเซ็นเตอร์ เรามีโรงเรียนประถมหนึ่งแห่ง เด็กในละแวกต่างมาเรียนที่นี่กันทั้งนั้น
สุสานไบร์ทเลคคือที่พักสุดท้ายของฉัน รายล้อมไปด้วยป่า และใกล้กับทะเลสาบลอง ทัศนียภาพของมันสวยสดงดงาม แม่น้ำเล่นแสงตะวันจนเป็นประกายระยิบระยับ กระนั่นที่นี่ก็ยังไม่สวยเท่าเจอริโก้ ไม่มีที่ไหนเทียบเท่าเจอริโก้ได้
พ่อกับแม่ยืนจับมือเคียงข้างกัน เจมี่ยืนติดกับแม่ ตาของเขาแดง ฉันเคยเห็นเขาร้องไห้มาก่อนตอนที่เขายังเป็นเด็กเล็ก ๆ ตอนนี้เขาพยายามกลั้นน้ำตาไว้สุดกำลัง หัวใจของฉันปวดร้าวเมื่อได้เห็นครอบครัวตัวเอง ฉันคิดว่าฉันจะได้อยู่ถึงงานศพของพ่อแม่ เพราะมันควรเป็นแบบนั้น ควรเป็นฉันที่ฝั่งพวกเขา ไม่ใช่พวกเขาที่มาฝั่งฉัน
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สายสืบคาร์ฮาร์ตเดินทางจากนิวยอร์กมาร่วมงานของฉัน เขาทักครอบครัวของฉันแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ เมื่องานเสร็จสิ้นลง ร่างของฉันก็อยู่ลึกลงไปในชั้นดิน
“คุณได้ไปงานตัวเองหรือเปล่า”
ออกัสส่ายศีรษะ เขาเย็นชากว่าเดิมหลังบทลงโทษ ฉันไม่ว่าเขาหรอกในเมื่อตัวเองเป็นต้นเหตุ ฉันพยายามเป็นผู้ตามที่ดี แต่การเห็นสภาพพ่อแม่ ไม่ได้ทำให้ใจของฉันสงบลงแม้แต่น้อย ฉันไม่อยากจากพวกเขาไป ไม่ใช่แบบนี้
“คุณรู้ไหมว่าใครทำแบบนี้” น้องชายของฉันเผชิญหน้ากับสายสืบคาร์ฮาร์ต ตอนที่พ่อแม่ของเรากำลังคุยกับแขก
“ผมบอกคุณไม่ได้”
สายสืบคาร์ฮาร์ตดูแก่ลงกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็น ใต้ตาของเขาดำคล้ำ ทั้งที่ผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ แต่คดีนี้ก็ทำให้ล้าอย่างเห็นได้ชัด
“เธอเป็น...เธอเป็นพี่ผม ผมมีสิทธิ์ที่จะรู้” เจมี่จ้องสายสืบเขม็ง ฉันไม่เคยเห็นเขามองใครด้วยสายตาแบบนั้นมาก่อน
“เสียใจด้วย ผมทำไม่ได้” สายตาของเขาแสดงความเห็นใจและเข้าใจ “ผมมาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพ และอยากให้คุณกับพ่อแม่ของคุณมั่นใจ ว่าผมจะไม่หยุดจนกว่าจะจับคนร้ายได้”
ระหว่างที่ฟังบทสนทนา ฉันอยากบอกคาร์ฮาร์ตเหลือเกินว่าฆาตกรมีลักษณะเช่นไร และทะเบียนรถของเขา ฉันอยากบอกเขา ฉันรู้ว่าฉันสัมผัสมนุษย์ได้ แต่ฉันกลัวที่จะฝ่าฝืนกฎ ตัวฉันเองยอมรับการลงโทษได้ แต่ฉันไม่อยากให้ออกัสต้องเดือดร้อน เขาไม่ควรต้องทุกข์ทรมานเพราะฉัน
ฉันละสายตาจากน้องชายไปหาแม่ ตาของเธอแดงก่ำ มือของเธอประสานแน่นไว้ด้านหน้า เธอพยายามเข้มแข็ง เพื่อพ่อและน้องชายของฉัน เธอเป็นคนที่ประคับประคองครอบครัวของเรา ตอนที่พ่อเส้นเลือดในสมองแตกเมื่อสองปีก่อน เขาต้องลาออกจากที่ทำงาน และพักรักษาตัวที่บ้าน ถึงตอนนี้พ่อจะดีขึ้นแล้ว แต่ฉันก็ไม่ได้ให้เขากลับไปทำงาน ฉันจะเป็นฝ่ายดูแลครอบครัวของเราเอง เพื่อให้พ่อได้พักผ่อนและใช้เวลาไปกับอะไรก็ตามที่เครียดน้อยกว่า
เห็นพ่อแม่พยายามยิ้มสู้กับแขกแล้ว ฉันก็อยากเข้าไปกอดพวกท่านแน่น ๆ และบอกพวกเขาว่าฉันไม่เป็นไร ฉันสบายดี แม้ว่ามันจะเป็นคำโกหกก็ตาม แต่ฉันจะพูดอะไรกับพวกเขาได้ล่ะ ฉันจะทำอะไรให้พวกเขาได้
ฉันไม่น่ามาที่นี่เลย ฉันคิดอะไรของฉันถึงได้มางานศพของตัวเอง ฉันหวังที่จะเห็นอะไร มันไม่มีทางที่พวกเขาจะยิ้มอย่างมีความสุขได้อยู่แล้ว ไม่มีทางที่จะมีความสุข
ยมทูตร้องไห้ได้ไหม
คำตอบคือ ไม่ได้ มันไม่สำคัญว่าฉันจะปวดหัวแค่ไหน หรือกล้ามเนื้อบนใบหน้าจะเจ็บปวดอย่างไร ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา
ฉันไม่แปลกใจที่ไม่เห็นเพื่อนร่วมงาน เราเจอกันแค่วันเดียว ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาต้องมา
ยมทูตรู้สึกถึงความเจ็บปวดทางใจได้หรือเปล่า
คำตอบคือ ได้ ถ้าฉันได้มีเวลาร่วมกันกับพวกเขามากกว่านี้ เราอาจเป็นเพื่อนซี้กันก็ได้ เราอาจไปไหนมาไหนด้วยกันทุกวัน เพียงแค่ฉันไม่ตาย
ออกัสและฉันตามเป้าหมายไปยังบ้านพ่อแม่ ลอร่า อดัมส์ วัย 47 ปี เธอเป็นเพื่อนสมัยมหา’ลัยของแม่ ลอร่าอาศัยอยู่ที่นวร์ก และเห็นข่าวการพบศพของฉัน เธอมาเจอพ่อแม่ตอนที่พวกท่านบินไปนิวยอร์กเพื่อยืนยันอัตลักษณ์ ลอร่าจึงตัดสินใจมาร่วมงานด้วย ฉันไม่เคยเห็นเธอมาก่อน พวกเขารู้จักกันก่อนที่ฉันจะเกิด เธอดีกับแม่มากและช่วยทุกอย่างเท่าที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม อีกสองวันต่อมา ไตของเธอจะหยุดทำงาน และนำไปสู่ความตายในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า สัญญาณแรกเริ่มแสดงออกผ่านร่างกายของเธอ ทั้งข้อเท้าบวม มือบวม ความอยากอาหารที่ลดน้อยลง เธอไม่ได้กินอะไรเลยนับตั้งแต่มาถึงวิสคอนซิน เธอรับรู้แต่ไม่ได้ให้ความสนใจ
ตอนที่ทุกคนอยู่ในห้องนั่งเล่น ฉันเดินขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตัวเอง ในห้องหน้าตาเหมือนเดิมทุกอย่าง ผนังห้องทาด้วยสีฟ้าอ่อนซึ่งเป็นสีโปรดของฉัน ส่วนเฟอร์นิเจอร์เป็นสีขาวและสีดำ บนชั้นหนังสือเต็มไปด้วยนิยายเรื่องโปรด และตำราเรียน ฉันไม่ได้ขนทั้งหมดไปที่บ้านในนิวยอร์กเพราะมันเยอะเกิน บนผนังห้องมีรูปวันสำเร็จการศึกษาติดอยู่ มีอีกภาพที่เหมือนกันอยู่ในห้องนั่งเล่น แม่นำไปแขวนที่นั่นเพื่อฉัน เธอบอกว่ารูปนี้จะเป็นเครื่องเตือนใจ ถึงความมุมานะในฐานะนักเรียน และมนุษย์คนหนึ่งของฉัน ฉันโดนดูหมิ่นตอนเรียนไฮสคูล เพราะครอบครัวไม่รวยและมาจากเมืองเล็ก ๆ นั่นทำให้ฉันตั้งใจเรียนอย่างหนักเพื่อเป็นที่รู้จัก เป็นที่ยอมรับ พวกเขาคิดว่าฉันไม่มีวันประสบความสำเร็จ ฉันทำให้เห็นว่าพวกนั้นคิดผิดด้วยการเข้าเรียนที่วอร์ตัน แต่พวกนั้นก็ไม่ได้คิดผิดเสียทีเดียวหรอก จริงไหม ฉันไม่ได้ประสบความสำเร็จ ฉันตาย
พอมองภาพวันสำเร็จการศึกษา มันทำให้เห็นว่าพ่อแม่มีความสุขมากขนาดไหน พวกเขาภูมิใจในตัวฉันมาก ถึงกับบอกทุกคนในเมือง ทุกคนในภาพถ่ายกำลังยิ้ม แม้แต่น้องชายของฉัน ถึงเราจะทะเลาะและโต้แย้งกันไปมา แต่นั่นเป็นการแสดงความรักของพวกเขา
เสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังใกล้เข้ามาอย่างช้า ๆ มันเป็นของแม่ เธอหยุดยืนหน้าห้อง ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่เตียง ความคิดของเธอล่องลอยออกจากความเป็นจริง
ฉันเดินเข้าไปหาก่อนจะต้องหยุดชะงัก ฉันกอดเธอไม่ได้ เธอมองไม่เห็นฉัน เราอยู่ห่างกันแค่ไม่กี่นิ้ว แต่เราถูกกั้นออกจากกัน
ฉันหลบไปด้านข้างตอนแม่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง เธอนั่งลงบนเตียง มองรูปถ่ายรูปเดียวกันกับที่ฉันเพิ่งมองไป มุมปากของฉันยกยิ้มน้อย ๆ ฉันเฝ้ามองเธอมองรูปถ่ายนั่น เธอไม่ได้พูดอะไร แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเธอกำลังสื่อสารกับฉันอยู่ คิดถึงฉัน อยากเจอฉัน
“แม่” ฉันเรียก แม้รู้ดีว่าเธอไม่ได้ยิน “แม่ หนูขอโทษ หนูขอโทษที่อยู่กับแม่ไม่ได้ ขอโทษที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ ขอโทษที่ทำตามสัญญาที่บอกว่าจะดูแลแม่ พ่อ และเจมี่ไม่ได้ หนูขอโทษที่ต้องจากแม่ไป แม่ แม่จะไม่เป็นอะไร หนูรู้ ว่าแม่จะไม่เป็นอะไร”
ยิ่งพูด ฉันยิ่งโมโห ถ้ามันไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนั้น เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น ครอบครัวของฉันคงไม่ต้องเผชิญกับโศกนาฏกรรม แม่คงไม่ต้องมาลูบผ้าห่มขณะมองภาพถ่าย แม่จะลูบเส้นผมของฉันขณะมองหน้าฉัน เธอคงยิ้มออกและเห็นฉันยิ้มกลับ
“แม่” เจมี่ยืนอยู่หน้าประตู เขาลังเลที่จะเข้ามา “แม่ พวกเขาจะกลับแล้ว เขาอยากลาแม่กัน”
“เดี๋ยวแม่ลงไป” เธอปาดน้ำตาและเห็นว่าเจมี่ยังไม่ขยับ “เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้นเอง เจมี่”
“แม่ไม่ต้องทำแบบนั้น” เขาพูด “ต่อให้ไม่รู้สึกดี มันก็ไม่เป็นไร”
แม่ไม่ได้พูดอะไรไปหลายนาทีก่อนจะส่งยิ้มให้น้องชายของฉัน ทั้งคู่เดินลงไปด้านล่างพร้อมกัน เพื่อบอกลาญาติและเพื่อนสนิท ฉันเห็นสายสืบคาร์ฮาร์ตคุยกับพ่อในห้องนั่งเล่น ตอนที่เห็นแม่เดินลงมาด้านล่าง เขาก็ลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวกลับ
“คุณนายแลงดอน ผมขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ” สายสืบคาร์ฮาร์ตแสดงความเสียใจอีกครั้ง มันฟังเหมือนเขาต้องพูดประโยคนี้มานักต่อนัก
“หาคนที่ทำแบบนี้กับลูกของฉันให้พบ เอาตัวเขามาลงโทษ”
“ผมจะทำ คุณนายแลงดอน อย่างที่ผมบอกคุณแลงดอนไป เราเชื่อว่าคดีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เรามีทีมที่ดีที่สุดทำคดีอยู่”
“ไม่ใช่ครั้งแรก คุณหมายถึงฆาตกรต่อเนื่องเหรอ” เจมี่ถาม
“เราจะคอยแจ้งความคืบหน้า แล้วก็ พิธีจัดได้งดงามมากครับ” เขาจับมือแม่ของฉันเป็นการบอกลา ก่อนจะเดินจากไป
ฉันตามสายสืบออกไปด้านนอก เขากำลังจะเข้าไปในรถ ฉันต้องทำอะไรสักอย่างให้เขาได้รู้เกี่ยวกับตัวฆาตกร ฉันควรทิ้งข้อความอะไรสักอย่าง
“จะทำอะไรน่ะ”
ออกัสเรียกขึ้นจากด้านหลัง ฉันหยุดตามสายสืบที่เดินขึ้นรถ ติดเครื่องยนต์และขับออกไป
“ไม่มีอะไร” ฉันโกหก และออกัสดูออก
“ลิลิธ ปล่อยเขาทำหน้าที่ของเขา และเธอทำหน้าที่ของเธอ”
ออกัสไม่ได้โกรธอย่างที่ฉันคิด เขาอาจเหนื่อยเกินกว่าที่จะโกรธแล้วก็เป็นได้
“กลับกันเถอะ อีกสองวันเราค่อยมาเช็คคุณนายอดัมส์”
ฉันหันกลับไปมองบ้านที่เงียบเหงาขึ้นมาทันทีที่แขกกลับกันหมด ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้เห็นหน้าครอบครัวอีก
“ออกัส ขอบคุณที่ให้ฉันมาที่นี่”
“ฉันไม่ได้ให้เธอมาที่นี่ มันเป็นส่วนหนึ่งของงาน”
เขาไม่จำเป็นต้องตามลอร่ามาวันนี้ในเมื่อมันยังไม่ถึงเวลา แต่เขาก็เลือกที่จะมา
“ขอบคุณนะ”
“นี่ฟังที่ฉันพูดหรือเปล่า” ออกัสถอนหายใจ แล้วยื่นมือมาตรงหน้า “ไปกันเถอะ”
ฉันจับมือเขา และเราบลิงก์กลับไปยังเจอริโก้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in