บอกรักคนที่แอบชอบว่ายากแล้ว
แต่การมีตัวตนในสายตาเขานั้นยากกว่า
“แก พี่แดเนียลนั่งอยู่ตรงนั้น!”
“ไหนๆ ใช่จริงด้วย กรี๊ดๆ”
เสียงหวีดร้องของบรรดาแฟนคลับ แดเนียล ดังขึ้น ร่างสูงที่ใครๆหมายปองอยู่ในชุดนักศึกษาธรรมดาทั่วไปแต่กลับดูโดดเด่นท่ามกลางเหล่านักศึกษาที่นั่งอยู่ในโรงอาหาร ผมจ้องมองริมฝีปากหนาที่คลี่ยิ้ม เผลอตัวเคลิ้มไปกับรอยยิ้มน่ามองที่ใครๆต่างก็พากันเรียกว่าเทพบุตรเดินดินด้วยความเพอร์เฟ็คไม่มีที่ติ ไฝหนึ่งจุดตรงใต้ตาข้างขวาที่หลายคนมองว่ามันเป็นตำหนิแต่กลับเข้ากันได้ดีบนแก้มขาวเนียน
ต่างจากไฝสามจุดของผมที่ใครๆก็ต่างพากันล้อจนกลายเป็นปมด้อยบนใบหน้า
“เรียนเหนื่อยไหม” ผ้าเช็ดหน้าผืนสีชมพูอ่อนถูกยื่นให้ แดเนียลยื่นมือออกรับด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“ไม่เท่าไหร่” ถึงแม้จะนั่งอยู่ไกลกันสองโต๊ะแต่กลับได้ยินบทสนทนาชัดเจน
ผมอยากจะเดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดหากต้องมาเห็นโลกสีชมพูที่ทั้งคู่สร้างขึ้นมาเหมือนมีกันอยู่แค่สองคน นึกอิจฉาเพื่อนสนิทคนน่ารักของแดเนียลที่มีสิทธิ์ได้เห็นรอยยิ้มนั่นใกล้ๆ ถึงแม้จะเป็นแค่เพื่อนกันแต่ข่าววงในก็มีหลุดออกมาให้ได้ยินเสมอว่าที่แดเนียลยังไม่มีแฟนก็เพราะแอบชอบเพื่อนสนิทของตัวเอง พอคิดมาถึงตรงนี้แล้วหัวใจดวงน้อยก็เจ็บจี๊ดขึ้นมาทันที
ได้แต่แก้ต่าง เข้าข้างตัวเองว่านั่นแค่เพื่อน
แต่เพื่อนที่ไหนเขามองกันด้วยสายตาแบบนั้นล่ะ…
ผมก้มมองสภาพตัวเองที่อยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยตั้งแต่หัวจรดเท้า เพื่อนๆพากันเรียกว่า ‘ไอ้หงิ๋ม’ สวมแว่นทรงกลมตาหนาเตอะ ดูยังไงก็ไม่น่ามองเท่าคนน่ารักคนนั้น มีเพื่อนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าผมแอบชอบแดเนียล ซึ่งมันก็ดีแล้ว ถึงแม้จะทำได้แค่เฝ้ามองมาตลอดสองปีก็ตาม
สองปีที่เฝ้ามอง ไม่เคยแม้แต่จะคุยกันในตัวตนที่แท้จริง...
มีเพียงช่วงเวลาเดียวเท่านั้นที่ผมจะได้อยู่ใกล้แดเนียล ได้รับอ้อมกอดอบอุ่นและสายตาเอ็นดูอย่างที่อยากได้
“เฮ้ย ไอ้น้องแว่น จะรีบกลับบ้านไปไหนวะ” พอเดินผ่านคณะวิศวะก็โดนพวกผู้ชายที่นั่งอยู่ใต้ตึกกลุ่มเดิมตะโกนหาเรื่อง ผมที่ชินกับการตกเป็นเป้าหมายของคนพวกนั้นก็ทำหูทวนลม ไม่ได้ยินเสียง เดินตัวปลิวผ่านไปอย่างเร่งรีบเพราะกลัวจะโดนตามมาหาเรื่องจนทำให้ไปไม่ทันเวลา
ก้มมองนาฬิกาเรือนเล็กบนข้อมือก็พอจะมีเวลาเถลไถลไปหาของกินในตลาดได้ประมาณยี่สิบนาทีแต่พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เจอภาพบาดตาบาดใจที่เป็นเหมือนหนังมวนเดิมฉายวนซ้ำไปซ้ำมา
แดเนียลมากับจีฮุน เพื่อนสนิทคนนั้น
ทั้งสองคุยกันกระหนุงกระหนิงผ่านหน้าผมไปโดยไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของผม กระพริบตาสองสามทีก่อนจะถอยหลังตัดสินใจเดินออกมาเพราะไม่อยากเห็นภาพที่สร้างความปวดหนึบให้หัวใจ
เฮ้อ…
ไม่รู้จะทำอะไรต่อ ไม่อยากกลับบ้านเวลานี้เลยเดินเตะฝุ่นไปเรื่อยจนเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมตาโต รีบเปลี่ยนเส้นทางไปยังสถานที่คุ้นเคย
.
.
.
.
บ้านสไตล์โมเดิร์นชั้นเดียวเปิดไฟไว้ภายในบ่งบอกว่าเจ้าของบ้านกลับมาแล้ว ผมสอดตัวผ่านรั้วประตูเหล็กหน้าบ้านที่เปิดแง้มเอาไว้ เดินเอื้อยอิ่งเข้าไปในตัวบ้านอย่างใจเย็น ส่งเสียงเรียกเจ้าของบ้านเบาๆก็ได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตรงมาอย่างรีบร้อน เหมือนกลัวว่าผมจะหนีไปเสียก่อน
“มาแล้วเหรอ” หลบทางให้ผมเข้าไปในบ้านที่คุ้นเคย เขาคลี่ยิ้มให้เมื่อเห็นผม ได้กลิ่นอาหารมาจากห้องครัว พอเงยหน้ามองเขาก็เห็นว่าบนชุดนักศึกษามีผ้ากันเปื้อนสวมทับอยู่ แปลกใจนิดหน่อย เขาไม่เคยทำอาหารแต่วันนี้นึกยังไงถึงได้เข้าครัว
“วันนี้จะทำอาหารให้กิน คงเบื่ออาหารพวกนั้นแล้วใช่ไหมล่ะ” เขาเกาหัวเกาคางผมอย่างเอ็นดู ทิ้งผมไว้ในห้องรับแขกก่อนจะกลับไปทำอาหารที่ทำค้างไว้ต่อ แอบได้ยินเสียงร้องโหวกเหวกโวยวายกับเสียงอะไรไม่รู้กระทบกันดังโช้งเช้ง ดูท่าแล้วไม่น่าจะรอด
“ได้ปิดประตูรั้วหรือเปล่า”
-ปิดไม่ถึง-
“โอเค เดี๋ยวไปปิดประตูก่อนละมากินข้าวกัน” เขาหายออกไปปิดประตูครู่เดียวก็กลับเข้ามา ถอดผ้ากันเปื้อนที่มีคราบเขม่าดำออก ผมถูกอุ้มให้นั่งบนตักเลยเอาหัวถูไถอย่างออดอ้อนด้วยความเคยชิน เขาเองก็ดูพอใจ ฟัดพุงผมกลับตั้งหลายที ผมดิ้นในอ้อมกอดของเขา ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างพอใจก่อนมื้อเย็นของเราจะเริ่ม อาหารหน้าตาแปลกๆถูกป้อนเข้าปาก ผมเบือนหน้าหนีอาหารพวกนั้นก็ถูกเขางอนใส่เลยทำใจกล้าใช้ลิ้นแตะลองดู แต่พอได้ลองชิมรสชาติมันก็ไม่ได้แย่ถึงแม้หน้าตาจะประหลาดไปบ้างก็ตาม
“อร่อยอ่ะดิ่” เขาถามเมื่อผมร้องขอกินอีกคำ
มื้อนั้นจบลงด้วยจานอาหารที่ว่างเปล่า แต่ใบหน้าคนทำเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผมนอนกลิ้งอยู่บนเตียงที่ตอนนี้เจ้าของห้องเข้าไปอาบน้ำล้างตัวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอาหาร ตาที่มองทีวีเริ่มปรือปรอยลง ความง่วงเล่นงานผมจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ เผลอสัปหงกไปตั้งหลายครั้ง
“ง่วงแล้วเหรอ” เขาเดินออกมาด้วยสภาพนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว ผมเบือนหน้าหนี แม้จะเห็นทุกวันแต่มันก็ยังไม่ชิน
ถ้าคนที่แอบชอบมายืนจังก้าในสภาพกึ่งนุ่งกึ่งเปลือยจะทนได้ไหมล่ะ
“อะไร อายเป็นด้วยเหรอเรา” เขาจงใจเดินมาหาผม ยกตัวผมขึ้นนั่งทับหน้าอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม กอดผมเอาไว้ในอ้อมแขน จับแก้มที่ย้วย ยืดออกอย่างหมั่นเขี้ยว ผมที่สู้อะไรไม่ได้ ได้แต่ดิ้นด้วยแรงอันน้อยนิด ส่งเสียงร้องเบาๆเป็นสัญญาณบอกว่าเริ่มเจ็บที่แก้มและหากเขายังไม่เลิกแกล้งผมจะโกรธจริงๆ
-เจ็บนะ!-
“โกรธเหรอ ไปแต่งตัวก่อน เดี๋ยวมาง้อ”
เขาใช้เวลาไม่นานก็อยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลต่างจากเวลาอยู่ในคณะราวกับเป็นคนละคน ไม่มีมาดเทพบุตรอย่างที่ใครพากันกรี๊ดแต่ก็ยังดูดีเหมือนเดิม
“มานอนตรงนี้มา” เขาตบลงบนเตียงนุ่มปุๆ ผมเดินนวยนาดเข้าไปหา เรามีเวลาอยู่ด้วยกันทั้งคืน เลยไม่รีบร้อนหรือกลัวว่าอ้อมกอดอบอุ่นนั่นจะหายไปไหน
“หอมจังเลยนะ” เขาก้มลงสูดกลิ่นแชมพูฟอดใหญ่
-ก็พึ่งสระเมื่อเช้า-
“มาอยู่ด้วยกันเลยไหม หืม”
-ได้เหรอ-
อยากอยู่ใกล้ๆ ถึงแม้มันจะดูฉวยโอกาสไปบ้างแต่มันเป็นทางเดียวที่ทำให้ผมได้อยู่ใกล้เขา
ได้อยู่ใกล้แดเนียล
แบบที่ใครหลายๆคนอยาก
“ตกลงจะมาอยู่ด้วยกันถาวรเลยไหม เนียลจะได้ซื้อปลอกคอมาให้”
“เจ้าของเหมียวคงไม่ตามหาแล้วแหละ หายออกมานานขนาดนี้”
“เหมียว~”
แต่ผมไม่ได้อยากมีตัวตนในสายตาเขาในร่างที่ไม่ใช่ผมแบบนี้
คืนนั้นก็เป็นเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ผมได้นอนในอ้อมกอดแดเนียลมาตลอดสองปี ใช่ ผมอยู่กับเขาโดยที่เขาไม่รู้ว่าจริงๆแล้วผมคือองซองอูไม่ใช่เจ้าเหมียวอย่างที่เขาเข้าใจ
1 comment = 1 ♡
Hastag #ลมบทนอ
ไอเดียดีมากเลยค่ะ