เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้นจากความมโนDeux
แหวนน้อยที่นิ้วนางข้างซ้าย


  •  สนามบินนานาชาติเป็นอะไรที่วุ่นวายมากสำหรับฉัน ทั้งผู้คนที่กำลังลากกระเป๋ากันขวักไขว่ ทั้งเจ้าหน้าที่สนามบินและเหล่านางฟ้าบนเครื่องที่บ้างก็กำลังจะไปขึ้นบิน บ้างก็กำลังจะกลับที่พักหลังเที่ยวบินที่ยาวนานหลายชั่วโมง


     ส่วนตัวฉันนั่งจิบกาแฟมัคคีอาโต้ร้อนในร้านกาแฟเล็กๆ โซนร้านอาหาร ฉันชอบรสฟองนมอุ่นๆ ที่ตัดกับรสขมเหมือนยาพิษของเอสเพสโซ่ได้เป็นอย่างดี กาแฟช่วยทำให้ฉันตื่นตัวดีเสมอ โดยเฉพาะเวลาแบบนี้


    ขณะที่ยังนั่งรอใครบางคนอยู่ในตอนนี้ ฉันเหลือบไปเห็นหญิงชราหน้าตาเป็นชาวเอเชียเต็มขั้น ดวงตาที่เล็กเรียว ผมสีดำสลับกับผมขาวสีดอกเลา รูปร่างผอมบาง แต่มือที่กำลังกำไม้เท้าไว้แน่นนั้น กลับมีข้อนิ้วที่เป็นปุ่มโปนใหญ่ แสดงถึงการใช้งานอย่างหนักหน่วงมาตลอดช่วงอายุที่ผ่านมา เธอทำให้ฉันคิดถึงแม่..


                          ____________________


    “อึนยอง..  อึนยอง..”


     เสียงแม่เรียกพร้อมเขย่าตัวฉันเบาๆให้ตื่นขึ้นตั้งแต่ฟ้ายังมืด


    “เราต้องรีบออกไปตอนนี้นะลูก เช้ามืดแบบนี้ ส่วนใหญ่จะนอนกันหมด เราต้องรีบแล้ว”


     แม่รีบเตรียมห่อผ้าและเสียบขนาดเล็กที่ทำจากเศษเหล็กที่เจอตอนออกไปทำงาน แม่ซ่อนมันมาใต้พื้นรองเท้า เพราะอาจมีการสุ่มค้นตัวเราในบางครั้ง ซึ่งถ้าถูกจับได้ นั่นอาจหมายถึงความตายได้ง่ายๆ


    เราสองแม่ลูกพากัน ย่องออกจากที่พัก ซึ่งสภาพเหมือนซากปรักหักพักมากกว่าจะเรียกว่าบ้านได้


    แม่พาฉันออกมาด้านนอก ลัดเลาะไปเงียบๆ ไปตามพุ่มไม้ข้างรั้ว เราเดินกึ่งก้มไปตามรั้วเตี้ยๆ ที่กั้นระหว่างกลุ่มอาคาร มุ่งหน้าไปยังทุ่งกว้างที่ห่างออกไปไม่ไกล


    พอข้ามถนนดินมาได้ เรามุดลอดรั้วไม้เข้าไป แม่พยายามเพ่งดูในความมืด มองหากองดินสีดำ พอเจอแม่รีบใช้เสียมค่อยๆ เขี่ยกองดินออก เอามือบี้ก้อนดินให้แตกออกอย่างลวกๆ ถ้าโชคดีเราจะเจอเมล็ดข้าวโพดที่มันถูกย่อยไม่หมด


    จริงๆ แล้วดินสีดำที่เห็นมันคือมูลสัตว์ และนั่นคือแหล่งอาหารที่เราพอจะหาได้ง่ายที่สุด ถ้าไม่นับความโชคดีถ้าเราจับหนู สัตว์เลื้อยคลานอื่นๆ เช่น กบ หรือกระทั่ง งู นั่นจะเป็นอาหารที่พิเศษมากทีเดียว


    แน่นอนการแย่งชิงอาหารอาจเกิดขึ้นได้ เพราะคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ภายในเขตรั้วไฟฟ้าที่กว้างใหญ่แห่งนี้ มีสภาพเหมือนซากศพเดินได้ที่หิวโหยอยู่ตลอดเวลา แม่จึงเลี่ยงโดยการออกมาหาอาหารในเวลาเข้ามืดแบบนี้เสมอ



    เราต้องดิ้นรนขนาดนี้เพราะเราเหลือกันแค่สองชีวิตเท่านั้นในนรกแห่งนี้ ความจริงแล้วเรามีกันสามคนพ่อแม่ลูก แล้วคืนวันหนึ่งเราก็ถูกพามาอยู่ที่นี่ ตอนนั้นฉันยังเด็กมาก จำได้แค่เลือนลางว่ามีคนถือปืนมาที่บ้านเต็มไปหมด ชายเหล่านั้นพาพวกเรามาที่นี่ ที่ Area 22 พวกมันอ้างว่าพ่อคือหนึ่งในนักเขียนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานและให้ร้ายพาดพิงรัฐบาล เราจึงถูกจับและนำตัวมาขังไว้ไกลสุดขอบโลก ซึ่งความจริงมันไม่ควรอยู่บนโลกด้วยซ้ำ เพราะมันเหมือนนรกมากกว่า


    แล้ววันหนึ่งพ่อก็หายตัวไปเฉยๆ ฉันเคยถามว่าแม่ว่าพ่อไปไหน แม่บอกทั้งน้ำตาว่าพ่อถูกส่งไปที่หุบเขา ซูโก

    แม่บอกพลางสะอื้นว่าใครที่ถูกพาไปที่นั่น ไม่เคยมีใครได้กลับมาอีกเลย ซึ่งก็คงจริง เพราะพ่อก็ไม่เคยกลับมาจริงๆ

    ฉันจำได้ว่าแม่ร้องไห้ทุกคืนเกือบเดือน แต่ก็มือยังคงโอบกอดฉันไม่ยอมห่างแม้ว่าจะร้องไห้จนหลับไปแล้วก็ตาม


    หลังจากพ่อหายตัวไป แม่ก็ทำทุกอย่างที่จะทำให้ฉันมีชีวิตยืนยาวให้ได้ และแม้จะเลือนลางริบหรี่เพียงใดก็ตาม


    แม่กระซิบบอกฉันก่อนนอนเสมอว่า..

    “ลูกจะต้องได้ออกไปจากที่นี่ อึนยอง ลูกแม่”


    แม่ทำงานอย่างหนัก เชื่อฟังพวกมันเป็นอย่างดี ทำงานอย่างไม่ปริปากบ่น ข้าวโพดที่ได้รับมาเพียงน้อยนิดก็ยังอุตส่าห์แบ่งครึ่งหนึ่งให้ฉันได้กินจนอิ่ม ส่วนแม่ยอมจะอด หรือบางทีแม่ก็กินแค่น้ำเพียงเล็กน้อยให้พอหายหิว


    โชคดีที่แม่กับฉันถูกส่งมาทำงานที่ส่วนกสิกรรม แทนที่จะเป็นเหมือง เขาว่ากันว่าที่เหมือง พวกนักโทษต่างต้องทนทุกข์แสนสาหัส และชีวิตไร้ค่ายิ่งกว่าเศษฝุ่นเสียอีก


    บางคนถูกเฆี่ยนตีอย่าทารุณ บางคนต้องถูกทำร้ายจนพิการ แต่ก็ถูกบังคับให้ทำงาน แม้จะต้องคลานไปตามพื้นดินที่เต็มไปด้วยกรวดที่แหลมคมก็ต้องทำ และบางคนที่ทำประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว ก็ถูกทำให้สาบสูญไปชั่วกาล


    ฉันได้แต่ภาวนาว่าฉันกับแม่จะได้พ้นไปจากขุมนรกแห่งนี้เสียที และแล้วคืนนั้นก็มาถึง...คืนที่ชีวิตใน Area 22 ของฉันจะเปลี่ยนไป


    ฉันจำได้ มันเป็นคืนข้างขึ้น แสงจันทร์สว่างจนเห็นได้ชัดทีเดียวแม้จะไร้แสงสว่างใดๆ อื่นอีก ฉันได้ยินเสียงร้องของเจ้าหนูโชคร้ายตัวนั้น จึงรีบลุกขึ้นโดยไม่ปลุกแม่ และไม่ลืมหยิบไม้ปลายแหลมที่เอาไว้ล่าสัตว์ติดมาด้วย


    ฉันพยายามตามเสียงนั่นไป แวบหนึ่งมีเงาดำมืดวิ่งอ้อมตึกไปยังพุ่มไม้อยู่ข้างหน้า ฉันตามติดแล้วพุ่งตัวเข้าไปในพุ่มไม้นั่น ไม้แหลมในมือเสียบทะลุร่างของเจ้าหนูนั่นในทันที มันดิ้นพล่าน เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้น พร้อมส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูง ฉันดึงมันออกจากปลายไม้แหลมและออกแรงบีบตัวมันจนค่อยๆ หมดลมหายใจ ฉันยิ้มยินดี เพราะมันจะช่วยให้ฉันกับแม่อิ่มและมีแรงได้อีกเยอะเลยทีเดียว


    “นังเด็กนี่” เสียงคนดังมาจากด้านหลัง ฉันหันกลับไปมอง เห็นชายร่างสูงใหญ่ยืนอยู่กลางแสงจันทร์  ฉันเอาไม้แหลมในมือพุ่งแทงใส่เขาทันทีอย่างไม่ลังเล แค่วูบเดียว เขาปัดไม้ออกจากตัว แล้วพลิกมาคว้าดึงไม้ในมือฉันอย่างแรง จนตัวฉันเซถลาเข้าไปใกล้ แล้วฉันก็สิ้นสติไปในทันที


                             __________________


    “อึนยอง!” ฉันสะดุ้งเฮือกเหมือนในคืนนั้น เพราะมัวใจลอยนึกถึงอดีตบ้าๆ นั่นอีกแล้ว


    “เป้าหมายมาถึงที่หมาย 1 แล้ว” เสียงดังมาจากหูฟังที่แสร้งเสียบอยู่เหมือนกำลังฟังเพลงเพื่อกลบเกลื่อน


    ฉันหยิบเงินจากกระเป๋าแล้ววางทิ้งไว้ข้างถ้วยกาแฟที่ยังดื่มไม่หมด เก็บของที่ข้างโต๊ะแล้วลุกเดินออกมา ขยับหูฟังให้แน่นเผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลง


    ฉันขยับแหวนที่นิ้วนางข้างซ้าย หมุนมันไปมาหลายครั้งรอบข้อนิ้วมือที่หยาบกร้าน ฉันชอบทำอะไรซ้ำๆ แบบนี้เสมอเวลาที่กังวลและเริ่มเครียด


    ฉันเดินออกมา หันมองซ้ายขวา หยิบถุงที่ซื้อในร้านปลอดภาษีที่หิ้วอยู่ขึ้นมาคล้องที่ข้อพับแขน เพื่อให้เคลื่อนไหวสะดวก


    โน่น เขามาทางนี้แล้ว คนที่ฉันนั่งรอมาเกือบชั่วโมง อ่อ ไม่สิ ต้องเรียกว่าเกือบทั้งชีวิต ชายคนที่จะเปลี่ยนชีวิตฉันไปตลอดกาล


    เขาเดินเข้ามาใกล้มากแล้ว ฉันใจเต้นโครม แม้ว่าจะพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาแบบนี้ฉันก็ยังอดตื่นเต้นไม่ได้เลยซักที


    ฉันเดินตรงเข้าไปที่เขา แกล้งหันไปมองทิศทางอื่น ทำทีเป็นมองไม่เห็นเขาที่เดินใกล้เขามา ฉันขยับตัวพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เหมือนในคืนวันนั้น คืนที่หนูตัวนั้นและชายลึกลับนั่นได้เปลี่ยนชีวิตฉัน


    เราชนกันเข้าอย่างจัง ฉันคว้าแขนเขาไว้ได้ ฉันออกแรงบีบแขนเขาแน่น เพราะฉันกำลังเซจะล้มลง


    พอออกแรงบีบ ของเหลวที่บรรจุอยู่ในแหวนที่ทำขึ้นมาพิเศษกำลังถูกฉีดออกไปยังปลายเข็มเล็กจิ๋วที่อยู่บนแหวน มันกำลังฉีดพ่นอัลคาลอยด์ที่สกัดจากผิวหนังของกบลูกศรพิษที่ฉันแอบเลี้ยงไว้ที่ห้องพัก มันเข้าไปสู้เส้นเลือดใต้ผิวหนังของชายคนนี้อย่างรวดเร็ว


    ฉันรีบก้มหัวขอโทษเขา เก็บถุงบนพื้น แล้วก้มหน้าก้มตาเดินออกมาอย่างรวดเร็ว ก้าวเท้าไวๆ ผ่านผู้คนมากมายในสนามบินนานาชาติแห่งนี้ คนกับความโกลาหลของการเดินทางในสนามบิน การชนกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก


    ฉันเร่งฝีเท้าขึ้นเพื่อตรงไปในห้องน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกมาอย่างสบายใจ ก่อนเรียกแท๊กซี่เพื่อกลับที่พัก รีบเก็บข้าวของที่จำเป็นแล้วเตรียมออกเดินทางอีกครั้ง


                         ________________________


    เช้านี้อากาศสดใส

    ฉันหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านพาดหัวเช้านี้

    “พี่ชายต่างมารดาของผู้นำ...ถูกฆ่าโดยสายลับหญิงด้วยพิษร้าย”


    ฉันยิ้มแห้งๆ มองออกไปดูบ้านเมืองที่วุ่นวายตรงหน้า ช่างต่างจาก Area 22 อย่างสิ้นเชิง


    “แม่คะ รอหน่อยนะคะ แล้วหนูจะพาแม่ออกจากนรกนั่น” ฉันนึกในใจพร้อมเช็ดน้ำตาที่กำลังเอ่อขึ้น ฉันรีบหยิบสมุดบันทึกเล่มจิ๋วออกมา ขีดฆ่าชื่อชายคนเมื่อวานนี้ออก แล้วดูรายชื่อคนที่จะเป็นรายต่อไป ฉันหยิบเอาปากกาวงชื่อเขาไว้


    พาสปอร์ตปลอมพร้อมวีซ่าจะพาฉันไปยังดินแดนแห่งเทพีเสรีภาพได้ไม่ยากนัก ฉันอาจจะหาที่พักเล็กๆ อยู่แถวย่านใกล้ๆ ตึก Dump’s Tower สักพักเพื่อศึกษาเหยื่อคนต่อไป ฉันน่าจะพอหาทางจะจัดการงานหน้าได้ อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่คงพอมีทาง..


    “คราวนี้คงใช้แหวนพิษไม่ได้ซะแล้ว อาจจะต้องเป็นลูกดอกพิษขนาดจิ๋วแทน” ฉันนึกในใจลำพังเบาๆ ขณะเครื่องบินกำลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าสู่อเมริกา



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in