เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้นจากความมโนDeux
ไม้ขีดไฟก้านสุดท้าย ในกลักที่เปียกชื้น ในค่ำคืนที่เหน็บหนาว

  • สมชาย ยื่นนิ่งพร้อมปล่อยลมหายใจอย่างช้าๆ เขารวบรวมสติทั้งหมดและพยายามสะกดกลั้นความกลัวที่อยู่ลึกๆ ในใจ ซึ่งตอนนี้มันพุ่งขึ้นมาจนจุกลิ้นปี่จนแทบจะสำรอกออกมา ทั้งๆ ที่เขาคิดมาดีและเตรียมมาพร้อมทุกอย่างตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว


    สายลมอ่อนๆ พัดมาพอให้สมชายได้ผ่อนคลายลงอีกเล็กน้อย มือที่กำหมัดแน่นและขาที่กำลังสั่นเทาก็คลายลงไปได้บ้าง

    เจ็ดปีก่อน
       

     สมชายจากบ้านที่ต่างจังหวัดมาทำงานในเมือง ทิ้งผู้เป็นพ่อให้ต้องทำนาอยู่เพียงลำพัง เพราะหวังจะมีรายได้มากขึ้นกว่าแค่การรอลมรอฝนอยู่ที่บ้านนอก สมชายเข้ามาทำงานเป็นแรงงานรายวันอยู่ในโรงงานตัดเย็บแห่งหนึ่งแถวๆ นิคมอุตสาหกรรมย่านปทุมธานี

      สมชายทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร มีน้ำใจกับเพื่อนร่วมงาน อุทิศตนให้หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ จนได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นหัวหน้าคนงาน


    ด้วยความไม่ย่อท้อและรักความก้าวหน้าทำให้เขาได้เลื่อนขั้นถึงตำแหน่งรองผู้จัดการฝ่ายงานผลิต มีรายได้ดีถึงขั้นที่ผ่อนคอนโดแถวชานเมืองไว้พักพิง แทนที่ห้องเช่าเก่าๆ ที่แถวซอยข้างที่ทำงานที่เคยอยู่ในช่วงย้ายมาใหม่ๆ

    มาลี หญิงสาวอดีตพนักงานฝ่ายตัดเย็บ
       ตอนนี้เธอทำหน้าที่ศรีภรรยาที่แสนดีของสมชาย เขาพบรักกันเมื่อสามสี่ปีก่อนหน้านี้ ครั้งแรกที่เธอพบสมชาย เธอรู้ทันทีว่าเขาคือคนที่เธอฝากชีวิตไว้ได้ แม้เพียงสบแค่แววตาที่จ้องกันเท่านั้น


    ไม่นานหลังแต่งงานกัน ทั้งสองให้กำเนิดเด็กหญิงน่ารักน่าชังคนหนึ่ง ซึ่งถือกำเนิดในเดือนมีนาคม ทั้งสองจึงตกลงใจตั้งชื่อลูกสาวว่า

                                     “มีนา”
     

     ในคอนโดขนาดพอเหมาะกับสามชีวิต ทุกอย่างดูราบรื่นและอบอุ่น สมชายหลังกลับจากทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว หน้าที่สำคัญที่เขาจะทำทุกคืนคือ เล่านิทานก่อนนอนเพื่อกล่อมมีนาให้หลับไหล แน่นอนนิทานเรื่องโปรดของมีนาคือ
    เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ

     มีนาในวัยสองขวบกว่าๆ กำลังเจื้อยแจ้ว มักถามสมชายเสมอหลังนิทานจบว่า


    "ทำไมเด็กน้อยผู้น่าสงสารต้องมาขายไม้ขีดไฟด้วย? 

    "ทำไมพ่อหนูน้อยให้เธอออกมาขายของในคืนที่หนาวเย็นอย่างนั้น?" หรือบางทีก็ถามสมชายว่า "เด็กน้อยจุดไม้ขีดเพื่ออะไรกันแน่ เธอหนาวเหรอ?"
     
       สมชายไม่เคยตอบคำถามเหล่านี้ เขาบอกมีนาเสมอว่ามันเป็นแค่นิทาน หรือนิทานแค่ต้องการสอนว่าเป็นเด็กอย่าออกไปไหนตอนกลางคืนมันอันตราย หรือนิทานมันไม่ใช่เรื่องจริงหรอก เพียงประมาณนี้ซึ่งเป็นคำตอบแบบส่งๆ เพื่อให้มีนารีบเข้านอนไวๆ เพื่อที่เขาจะได้เอนหลังพักผ่อนจากชีวิตที่แสนแก่งแย่งแข่งขันในเมืองใหญ่แห่งนี้


    หนึ่งปีก่อนหน้านี้
     

     มาลีล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งเต้านม สมชายต้องพาเธอรักษาตัวอยู่นาน ทั้งผ่าตัด ทั้งให้เคมีบำบัด จนมาลีไม่เหลือเส้นผมแม้เพียงเส้นเดียว แต่ทั้งสองยังไม่ย่อท้อต่อโรคร้าย แต่ทว่าความตายเป็นของเที่ยงแท้แน่นอน เพียงแต่ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ก็เท่านั้น สุดท้ายมัจจุราชก็มาพรากเอามาลี หญิงสาวผู้อาภัพแต่เป็นแม่ผู้เปี่ยมด้วยรักไปจากครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวนี้จนได้

            “พ่อจ๋า แม่หลับเหรอ? หนูหิวข้าวแล้ว”

      มีนายื่นมือมาจับนิ้วก้อยของสมชาย ขณะที่เขายืนอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยเพื่ออำลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย พยายามกลั้นเสียงสะอื้นในลำคอให้เบาบางที่สุด เพื่อไม่ให้นางฟ้าตนน้อยที่ยืนข้างๆ ต้องเจ็บปวดแสนสาหัสในวัยไร้เดียงสาเช่นนี้

       เขาจูบลาเธออีกครั้ง ก่อนบอกมีนาให้หอมแก้มแม่ ก่อนจะอุ้มเธอกอดไว้ในอ้อมอกแล้วรีบเดินออกจากห้องไป พร้อมละล่ำละลักพร่ำบอกมีนาว่า...

     “นางฟ้ามารับแม่ไปแล้วลูกจ๋า แม่ไปสวรรค์แล้ว มีนาอยู่กับพ่อนะ อยู่กับพ่อ..”
        

    มีเพียงเสียงร้องไห้จ้าของมีนา ที่กำลังเบาลงและเบาลง ตามหลังเงาของสองพ่อลูกที่กำลังเดินลับไป

    หลังจากมาลีจากไป สมชายเหมือนถูกสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ ชีวิตที่เคยเรียบง่ายสบายๆ กลับเหมือนถูกกลั่นแกล้ง โรงงานเริ่มมีปัญหาจากค่าแรงที่เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด แรงงานที่ขาดแคลน และการตีตลาดจากสินค้าจีน ทำให้รายได้โบนัสต่างๆ เริ่มลดลง รถที่ผ่อนอยู่ก็ดึงเอาสภาพคล่องที่เคยมีให้ลดลงไปมาก จนสุดท้ายสมชายต้องขายรถและหันไปพึ่งรถเมล์แทน เขาพยายามทำงานนอกเวลามากขึ้น จนบางวันต้องกลับไปรับมีนาจนมืดค่ำ เพราะต้องฝากคนงานอาวุโสที่คุ้นเคยให้ช่วยดูแลช่วงที่เขาทำงานนอกเวลา


    มีนาเองก็โตขึ้นทุกวัน ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว แถมช่วงนี้สมชายสังเกตุว่ามีนาดูอ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย สมชายจึงพาเธอไปหาหมอที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่ง และสายฟ้าอีกสายก็แล่นแหวกอากาศผ่าลงกลางตัวสมชายอีกครั้ง

    “น้องต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อซ่อมผนังหัวใจห้องบนครับคุณพ่อ”
      

    เสียงหมอดังก้องอยู่ในหูของเขา ขณะที่อุ้มมีนาที่หลับไหลในอ้อมกอด สายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถเมล์ แต่ในความคิดมีเพียงหน้าของมาลีลอยผุดขึ้นเป็นฉากๆ รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ เสียงเรียกของมาลีตอนวิ่งไล่เค้าขณะอุ้มลูกตัวน้อยวิ่งหนีเธอไปรอบๆ ห้องนอน

       มาลี ผมคิดถึงคุณ คุณช่วยลูกด้วยนะ ช่วยลูกด้วย
        

       สมชายพยายามหาทางออกกับแพทย์เจ้าของไข้ของมีนา ซึ่งแพทย์แนะนำให้ผ่าตัดให้ไวที่สุด เพราะอาการของเธอเริ่มไม่ค่อยสู้ดี อาการเลือดไหลปนกันของหัวใจห้องบนทั้งสองข้าง นับวันอาการจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งสมชายได้รับแจ้งจากแพทย์ว่าค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดนั้นสูงมาก เพราะเป็นเทคนิคใหม่ซึ่งปลอดภัยมากขึ้น แต่ต้องใช้เครื่องมือที่ทันสมัยและแน่นอนว่า ค่าใช้จ่ายย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งคุณหมอจะพยายามช่วยอีกทาง...


                              _________________


    “สมชาย ผมต้องปิดโรงงานแล้วนะ เราขาดทุนติดต่อกันมาเกือบปีแล้ว ผมจะชดเชยให้คุณสองเดือนแล้วกัน เข้าใจผมนะ ผมก็แย่แล้วเหมือนกัน”
        

     สมชายเก็บข้าวของเพียงบางชิ้น แล้วเดินจากโรงงานตัดผ้า สถานที่ที่เคยเป็นที่พบกันครั้งแรกของเขาและมาลี เดินผ่านประตูเหล็กเก่าๆ ที่เคยยืนพิงเวลามารอรับมาลีเวลาเลิกกะดึก เดินผ่านโต๊ะที่นั่งทานข้าวเที่ยงด้วยกันสมัยจีบกันใหม่ๆ ตอนนี้ทุกอย่างมันเป็นเพียงอดีต เหมือนภาพหนังที่ถ่ายด้วยฟิล์มเก่าๆ สีซีดจาง

          สมชายถือซองจดหมายสีขาวที่ดึงจากตู้รับจดหมายด้านล่างคอนโด เขากำมือมีนาแน่น เดินไร้เรี่ยวแรงเข้าประตูมา มีนาเดินกึ่งวิ่งปรี่เข้าบ้าน ไปนอนเล่นกับตุ๊กตาหมีบนเตียง

    “พ่อจ๋า หนูเหนื่อยจัง ง่วงนอนด้วย พ่อเล่านิทานให้ฟังหน่อยค่ะ นะ นะ…”
       

      สมชายเล่าเรื่องเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาเอ่อรินจากใต้ตาไหลย้อยลงไปอาบแก้ม

    สมชายหันหลังให้ลูกสาวที่เริ่มเคลิ้มหลับบนเตียง เขายังคงเล่านิทานไปเรื่อยๆ จนถึงตอนที่เด็กสาวจุดไม้ขีดไฟก้านสุดท้ายขึ้น

    แสงสว่างจากไม้ขีดก้านสุดท้ายกำลังมอดลง เด็กหญิงยังคงรอซานต้าคลอสที่จะมาในค่ำคืนนี้ อากาศหนาวเหลือเกิน หิมะยังคงโปรยปรายลงมาไม่มีท่าทีจะหยุด....เด็กน้อยหลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า ภาพห้องที่อุ่นด้วยเตาผิงที่เห็นกำลังเลือนลางลงอย่างช้า...
       


      สมชายหันไปมองมีนาอีกครั้ง เขาเฝ้านั่งมองเธอจนเลยเที่ยงคืนมาแล้ว เขาเหลือบไปมองที่ลิ้นชักโต๊ะข้างเตียงแว่บหนึ่ง จึงลุกขึ้นเดินไปนั่งที่เก้าอี้แล้วเปิดเอากระดาษสีขาวสะอาดขึ้นมาหนึ่งแผ่น พร้อมหยิบแฟ้มบรรจุกรมธรรม์ประกันชีวิตที่ทำไว้เมื่อสามปีก่อนออกมา ในนั้นระบุผู้รับผลประโยชน์เป็นพ่อของเขาและนางฟ้าตัวน้อยที่กำลังหลับสนิทอยู่ข้างๆ  


    สมชายหยิบปากกาขึ้น จรดลงบนกระดาษสีขาว แต่ก็นิ่งสนิทในท่านั้นอยู่ราวสิบนาที น้ำตาอีกหยดตกลงบนกระดาษจนมันเริ่มพองและยู้ย่น เขาขยับปากกาอีกครั้ง

      “พ่อครับ...ผมขอโทษ”
           


    ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว สมชายเดินตาแดงก่ำไปตามบันไดที่ทอดยาวไปสู่ดาดฟ้าของอาคารสูงที่เขาอาศัยอยู่ บนนั้นไม่ค่อยมีคนขึ้นไปเพราะมันทรุดโทรมไปมากจนไม่มีใครอยากมาเดินบนนี้แล้ว สมชายเดินราวร่างไร้วิญญาณไปยังริมขอบตึก ปีนขึ้นไปที่ราวกันตก นั่งบนนั้นพร้อมพ่นลมหายใจออกทางจมูกฝืดใหญ่ มือที่จับราวเริ่มเปียกชื้น
        


    สมชายยืดตัวขึ้นยืนตรง ลมพัดกรรโชกมาเป็นระยะ ทำเอาตัวโงนเงนไปมา หรือเป็นเพราะความอ่อนเพลียที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็ไม่ทราบได้ หากมีใครเห็นสภาพตอนนี้คงคิดว่าเขากำลังเมายาเป็นแน่ ขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นเทา เพราะสายตาที่มองไปพื้นเบื้องล่างนั่นเอง

    สมชายหลับตาลง แต่กลับทำให้ร่างกายกลับยิ่งโงนเงนกว่าเดิม


    ผมเข้าใจแล้ว ไม้ขีดไฟนั่น คือความหวังสินะ มันคือทุกอย่างที่จะยึดโยงชีวิตให้อยู่ต่อได้ มิน่าเด็กหญิงที่น่าสงสารจึงจุดไม้ขีดไฟทีละก้านจนหมด นั่นคือความหวังเล็กๆเท่าที่เธอจะหวังได้ใช่มั้ย ความหวังที่จะทำให้มีเรี่ยวแรงหายใจต่อไป ไม้ขีดไฟก้านสุดท้ายของเราก็คงใกล้มอดลงแล้วเช่นกัน

        สมชายยืนมองทอดสายตาออกไปสุดขอบฟ้า เขาเห็นเค้าหน้าลางๆ ของมาลีลอยอยู่ไม่ไกล เป็นใบหน้าที่แฝงด้วยความเศร้าเหลือประมาณ

    “คุณเสียใจที่ผมเลือกทำแบบนี้ใช่มั้ย มาลี ผมขอโทษ”
       


    ใบหน้าของมาลีที่เลือนลาง ตอนนี้ค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มนิดๆ ที่มุมปาก แล้วพลันจางหายไปในทันที สมชายพอจะเข้าใจได้ว่าเธอคงยินดีที่อย่างน้อย เธอจะไม่ต้องเหงาแต่เพียงผู้เดียวในโลกหน้าอีกต่อไป เพราะเขากำลังจะตามไปพบในไม่ช้านี้

         สมชายกำลังกลั้นใจครั้งสุดท้ายแล้วปิดเปลือกตาทั้งสองข้างลง ค่อยๆไสเท้าขวาขยับออกไปจนถึงริมสุดขอบรั้วกันตกที่กว้างเพียงแค่สองคืบ เขาพร้อมแล้ว พร้อมแล้วจริงๆ นี่สำหรับความหวังครั้งสุดท้าย ความหวังที่มีนาจะมีชีวิตรอดได้ต่อไป มันเป็นการเสียสละเพียงน้อยนิดแต่จะให้ผลที่ยิ่งใหญ่สำหรับเขา เพราะแก้วตาดวงใจของเขาจะรอดชีวิต ความหวังจะลุกโชนได้อีกครั้ง

    ภาพร่างชายคนหนึ่ง ปลิวร่วงลงด้วยแรงโน้มถ่วงไปยังพื้นเบื้องร่าง เปลือกตายังคงปิดสนิท เพียงครู่เดียว กลับกลายเป็นภาพร่างที่บิดเบี้ยว มีของเหลวสีแดงค่อยๆไหลรินออกมาจากพื้นข้างๆ นิ้วมือยังกระตุกเบาๆ เสียงกรีดร้องดังขึ้นไปทั่ว

           ซองจดหมายบนโต๊ะที่สมชายเก็บเข้าห้องมาเมื่อวานเย็น ถูกลมพัดปลิวไปตกที่พื้น หน้าซองจ่าหน้าว่าถูกส่งมาจากบ้านเกิดของสมชาย ในจดหมายเป็นเนื้อหาสอบถามทุกข์สุขของลูกชายและหลานสาว พร้อมถ้อยคำให้กำลังใจมากมาย รวมถึงข้อความท้ายๆ ของจดหมายที่เขียนถูกบ้านผิดบ้าง ตามประสาคนอายุมากที่จบเพียงประถมสี่

    สมชายเอ้ย ถ้าเหนื่อยนัก กรับบ้านเราไหมลูก เอาหลานมาให่ปู่เลี้ยง พ่อจะช่วยเอ็งเลี้ยงหลาน เอ็งมาช่วยพ่อทำนาทำไร่ เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ พ่ออยู่แบบนี้ไม่เคยอดอยาก เอ็งไม่ต้องกลัว กรับบ้านเรานะลูก ถ้าเหนื่ยนักก็กรับมาหาพ่อ พ่อรอเอ็งกับหลานอยู่นะ แค่พอใจแล้ว เราอยู่ได้ทุกที่ไม่ต้องกลัวลูกเอ้ย
      

    จดหมายยังคงถูกผนึกในซองเช่นเดิม รอเพียงใครซักคนมาเปิดอ่าน ความหวังเล็กๆ ที่บ้านนอก ยังเป็นแสงเล็กๆ ที่ฉายมาท่ามกลางคืนอันมืดมนและหนาวเหน็บ แต่สมชายกลับลืมเสียสนิท

       เสียงครางของเด็กสาวตัวเล็กบนเตียงดังขึ้น เธอร้องขึ้นมาเบาๆ ครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนยามที่เธอร้องหาแม่ตอนตื่นนอนใหม่ๆ แต่คราวนี้ไม่ใช่

                           “พ่อจ๋า.....พ่อ..จ๋า”

         สมชายสะดุ้งเฮือกจากภาพร่างที่นอนนิ่งจมกองเลือดบนพื้นเบื้องล่างในสมองของเขา เพราะเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงดังขึ้น มันสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงพร้อมส่งเสียงเรียกเข้าที่สมชายทำขึ้นเอง  

               พ่อจ๋า แม่จ๋า มีนารักพ่อจ๋าแม่จ๋า...      

                     พ่อจ๋า แม่จ๋า มีนารักพ่อจ๋าแม่จ๋า...

    สมชายยังคงยืนนิ่ง พยายามไม่สนใจเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ ที่ยิ่งทำให้หัวใจที่อ่อนแอของเขาแทบแหลกสลายลงตรงนั้น เสียงของเด็กสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ ยิ่งทำให้สมชายต้องรีบทำอะไรซักอย่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายไปกว่านี้

    ที่ปลายสายที่โทรเข้ามาเมื่อครู่....
     

    “กรุณาฝากข้อความไว้หลังเสียงสัญญาณ.....          คุณสมชายคะ ดิฉันโทรมาจากโรงพยาบาลxxx  คือคุณหมอวิชัยให้รีบโทรมาแจ้งค่ะ  ว่าเด็กหญิงมีนา ได้รับพิจารณาให้ได้รับการผ่าตัดด่วน โดยทางมูลนิธิของโรงพยาบาลยินดีช่วยเหลือให้เป็นคนไข้ในความอนุเคราะห์ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดครั้งนี้ค่ะ ถ้าได้รับข้อความ กรุณารีบติดต่อกลับมาด่วนด้วยนะคะ เพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยค่ะ”

       

     หลังการสั่นเตือนสองครั้งว่ามี voice mail เข้ามาตอนนี้โทรศัพท์นิ่งลงไปแล้ว ความเงียบปกคลุมดาดฟ้าอีกครั้ง สมชายน้ำตาไหล ตอนนี้ภาพในหัวกลับกลายเป็นภาพของมีนา ในชุดคลุมกันหนาวบางๆ กำลังเดินขายไม้ขีดไฟท่านกลางหิมะเหน็บหนาวและกำลังอ่อนแรง ในมือถือกล่องไม้ขีดที่เริ่มชื้นจากหิมะที่กำลังละลายเปียกไปทั่วตัว ไม้ขีดในมือก็จุดติดยากขึ้น บางก้านก็หักไปซะก่อนจะติดไฟ เด็กน้อยกำลังหายใจขัดจากความเย็นเยือกที่แทรกเข้าไปตามมวลอากาศที่ถูกสูดเข้าปอด เหลือไม้ขีดไฟไม่กี่ก้านแล้วในกลัก

    “พ่อจ๋า ทำไมพ่อของเด็กน้อยขายไม้ขีดไฟ ถึงให้เธอออกมาขายของในคืนที่หิมะตกอย่างนั้นคนเดียว?”

          สมชายนึกถึงคำถามของมีนาในคืนหนึ่งที่นิทานเรื่องนี้ถูกเล่าเป็นครั้งที่ร้อยกว่าแล้วกระมัง เขาจำได้ว่าเขาเคยตอบมีนาไปว่า

    “พ่อของเธอคงต้องทำงานอื่นๆ อยู่บ้านละมังลูก แต่คงเตรียมอาหารอุ่นๆ เอาไว้ให้เวลาที่เด็กน้อยกลับถึงบ้านแล้ว”

    “แต่ถ้าเป็นพ่อนะ พ่อจะไม่ปล่อยให้หนูออกไปลำบากอย่างนั้นคนเดียวหรอก พ่อจะไปกับลูกด้วยเสมอ ไม่ว่าที่ไหน และเมื่อไหร่นะ”
          

    สมชายสูดลมหายใจอีกครั้งเฮือกใหญ่ น้ำตาหยดสุดท้ายไหลไปกองรวมกับเม็ดก่อนหน้าที่ปลายคาง คำสัญญาเล่นๆ ตอนเล่านิทานกลับมาย้อนแย้งและทิ่มตำจิตใจของเขาอีกครั้ง คำสัญญาที่จะไม่ทิ้งเธอให้เดียวดายในโลกที่โหดร้ายนี้เพียงลำพัง แต่เขากำลังจะผิดสัญญานั่นเพราะความจำเป็นและหมดหนทาง

    ไม้ขีดไฟก้านสุดท้ายจำเป็นต้องจุดขึ้นหรือไม่  หรือเพียงห่มผ้าให้กระชับและหดตัวให้แน่นเข้า แล้วแนบกายเข้ากับกำแพงร้านที่อุ่นขึ้นเพราะเตาผิงด้านใน อีกสองสามชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว แสงแดดอบอุ่นกำลังจะส่องขึ้นมาอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าชีวิตจะได้เริ่มต้นใหม่ไปอีก 1 วัน ที่เหลือก็แค่รอ....อีกเพียงอึดใจ
          


    มีนาขยับตัวอีกครั้งก่อนลืมตาขึ้น บนตัวมีผ้าห่มที่ถูกเท้ารั้งไปเหลือเพียงครึ่งท่อนล่าง มือถือที่ถูกเปิดฟัง voice mail ถูกวางลงบนโต๊ะข้างเตียง ซองจดหมายถูกเก็บขึ้นจากพื้น และมือกร้านๆ ของชายที่ผ่านช่วงสุดลำเค็ญของชีวิตเมื่อสิบนาทีก่อนหน้า ตอนนี้กำลังจับผ้าห่มเพื่อคลุมให้เจ้าหญิงตัวน้อยๆ ได้อบอุ่นขึ้นอีกครั้ง รอยยิ้มและคราบน้ำตาแห่งความยินดีเอ่อขึ้นอีกรอบ

    “พ่อจ๋า หนูรักพ่อนะ”  มีนาเอ่ยขึ้น ก่อนม้วนเอาผ้าห่มเข้าแนบกับอกแล้วหลับไปอีกครั้ง ในตอนเช้าตรู่ของวันที่แดดสดใสอีกวันหนึ่ง
          __________________________________________

    ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่

    BOOKster.blog หรือที่
    https://www.facebook.com/bookster.blog/

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in