ภาพอักขระโบราณกำลังเลื่อนผ่านสายตาของฉันไปอย่างช้าๆ ข้อมูลมหาศาลที่ฉันต้องคอยแยกให้เป็นหมวดหมู่เพื่อสะดวกในการค้นหาในอนาคต เพราะข้อมูลและเอกสารโบราณเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง มันเป็นความมั่นคงอย่างหนึ่งของอารยธรรมของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ซึ่งฉันได้รับมอบหมายให้จัดการมัน ร่วมกับเพื่อนอีกหลายชีวิต
ฉันอ่านตัวอักขระที่ใช้กันเมื่อกว่าหนึ่งพันห้าร้อยล้านปีที่แล้ว นั่นเป็นระยะเวลาที่ฉันประมาณเอาเองจากการศึกษาจากข้อมูลต่างๆ ที่ถูกบันทึกไว้เท่าที่ยังพอหลงเหลืออยู่ ฉันเดาเอาเองว่าในยุคนั้น มนุษย์คงคิดว่าตัวเองเจริญถึงขีดสุด เพราะจากข้อมูลของบันทึกส่วนใหญ่ ฉันเจอแต่ข้อความโบราณที่บ่งบอกถึงความเป็นที่สุดทางวัตถุอยู่มากมาย อย่างเช่น อาคารที่สูงที่สุด ยานพาหนะที่เคลื่อนที่ด้วยล้อที่ไวที่สุด หรือ กระทั่งมนุษย์ในยุคนั้นที่มีขนาดร่างกายใหญ่โตที่สุด นั่นออกจะเป็นข้อมูลที่น่าหดหู่มากกว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งสุดยอดในความคิดของฉัน
“เอเลน่า นั่นคุณกำลังปลดปล่อยอยู่รึเปล่า” โทมัส ที่นั่งจัดข้อมูลยุคก่อนประวัติศาสตร์อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น
“ไม่นี่ ฉันคงใช้สายตามากเกินไป ไม่มีอะไรหรอกโทมัส” ฉันรีบเช็ดของเหลวที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสอง
“ดีแล้ว คุณก็รู้ดีว่า ถ้าใครมาเห็นมัน คุณอาจโดนตำหนิได้ คุณก็รู้ว่าการปลดปล่อยที่เกิดจากอารมณ์เป็นสิ่งต้องห้ามของเรา” โทมัสกล่าวพร้อมใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
“ฉันรู้น่า..” ฉันขยับริมฝีปากเบาๆ
ใช่...การปลดปล่อยที่เกิดขึ้นเพราะอารมณ์หรือความรู้สึก เป็นสิ่งต้องห้ามในยุคนี้ ถ้าฉันจำไม่ผิดในสมัยยุคโบราณเขาเรียกพฤติกรรมแบบนี้ว่า “การร้องไห้” มันเป็นความรู้สึกแปลกทีเดียวที่เกิดพฤติกรรมแบบนี้ขึ้น ฉันเชื่อว่ามีหลายคนที่อยากจะปลดปล่อยบ้างในบางครั้ง แต่เขาคงต้องแอบทำในที่เล้นลับที่สุด เพื่อไม่ให้คนอื่นสังเกตุเห็น เพราะการปลดปล่อยด้วยความรู้สึกแบบนี้ ในอดีตมันมักใช้แทนความรู้สึกโศกเศร้า เสียใจ และอ่อนแอ ซึ่งนั่นเป็นการแสดงออกต้องห้ามในยุคนี้ ในยุคของ ไพโอนีร่า
ท่านผู้นำของเราประกาศไว้ว่า พวกเราเผ่าพันธ์ุมนุษย์จะต้องไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอและเสียใจใดๆ เพราะนั่นจะทำให้เราพากันไปสู่หายนะและสูญสิ้นอารยธรรม เราต้องแสดงออกได้เพียงความสุข รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ เราไม่อาจปล่อยความความรู้สึกที่แสดงถึงความเสียใจให้เกิดขึ้นท่ามกลางหมู่ประชาชนได้อีก เพราะนั่นหมายถึงการแสดงออกที่ต่อต้านคติสูงสุดในหมู่ชาว ไพโอนีลิส ซึ่งก็คือ “ความหวัง”
----------------
“ความหวัง” ประโยคที่ฉันอ่านผ่านมาเมื่อครู่ คำนี่เองที่ทำให้ฉันต้องแอบปลดปล่อยออกมาเงียบๆ
ในบันทึกดิจิลตอลสามมิติที่ลอยอยู่ตรงหน้า เป็นบันทึกเหตุการณ์เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงมนุษยชาติไปโดยสิ้นเชิง มันเขียนไว้ว่า..
ความหวังในการค้นพบสิ่งมีชีวิตนอกโลก เมื่อนาซ่าประกาศการพบระบบสุริยะแทรปปิสต์-วัน
“แทรปปิสต์-วัน” เป็นคำต้องห้ามของชาวไพโอนีร่า ไม่มีใครเลยแม้กระทั่งจะเอ่ยคำนี้ขึ้นมา เป็นที่รู้กันดีเพราะคำว่าแทรปปิสต์ เป็นคำที่สร้างความบอบช้ำอย่างเหลือคณาในหมู่มนุษย์อย่างเรา อาจจะเพราะมันพ้องเสียงกับภาษาโบราณที่เขียนว่า “Trap” ที่หมายถึง กับดัก ด้วยก็อาจเป็นได้ เพราะนี่คือกับดักมหาภัยของมนุษย์โลกผู้ไม่เคยพอ
เริ่มจากการค้นพบระบบดาวแคระแดงน้อย ในตอนนั้น นับเป็นการค้นพบที่สร้างความตื่นเต้นไปทั่วโลก นักวิทยาศาสตร์ต่างมุ่งความสนใจไปในการศึกษาดาวเคราะห์ที่โคจรอยู่ในระบบสุริยะแทรปปิสต์-วัน กันมากมาย จนในที่สุดก็ค้นพบว่าบนดาวเคราะห์ f ที่ตอนนี้เราเรียกกันว่า โพรมีเทียส มีสภาพใกล้เคียงโลกมากที่สุด ทั้งในแง่ของสภาพแวดล้อม และความเหมาะสมของวงโคจร ซึ่งนั่นหมายถึงกลางวันและกลางคืนที่มนุษย์คุ้นเคยและพอปรับตัวได้
จากการค้นพบในครั้งนั้น ทำให้มนุษย์พยายามพัฒนาวิทยาการต่างๆ ทั้งการสร้างยานอวกาศความเร็วสูงใกล้เคียงแสง ระบบร่างกายเทียมเพื่อสภาวะจำศีล การสร้างอาหารบนสภาพไร้น้ำหนัก เครื่องครรภ์เทียม และเทคโนโลยีอีกมากมาย ซึ่งส่วนหนึ่งถูกพัฒนามาจนยังมีการใช้กันจนทุกวันนี้
แม้ว่าจะมีความพยายามในการสร้างเครื่องบิดมิติของกาลอวกาศเพื่อย่นระยะทางในการเดินทาง แต่ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันยากที่จะควบคุมเจ้ารูหนอนที่ว่า ซึ่งการทดลองเดินทางผ่านรูหนอนนี้เองที่เราต้องสูญเสียนักบินอวกาศที่มีชื่อเสียงไปหลายต่อหลายชีวิต
ที่เลวร้ายยิ่งกว่าการศูนย์เสียนักบินอวกาศไปในรูหนอน กลับกลายเป็นการที่เราต้องสูญเสียโลก ดาวเคราะห์สีน้ำเงินของเราไปอย่างไม่มีโอกาสได้คืน
เพราะหลังจากเราพบว่าเรามีโอกาสเดินทางไปยังดาวโพรมีเทียสได้ และมีความหวังในการตั้งรกรากในดาวดวงใหม่
ชาวโลกก็ต่างมุ่งไปในการเดินทางไปยังดินแดนที่สดใหม่ ปล่อยให้โลกถูกทำลายไปอย่างช้าๆ ทั้งการใช้ทรัพยากรใต้พื้นดินจนแทบสูญสิ้น ซึ่งมนุษย์เอาไปในการสร้างวัตถุต่างๆ รวมถึงใช้แร่ธาตุและโลหะหายากไปในการสร้างยานอวกาศขึ้นไปสำรวจเอกภพ เราปล่อยให้โลกเสื่อมโทรมอย่างไร้ความปราณี เราเร่งสร้างความสบายให้มนุษย์จนหลงลืมธรรมชาติ และแล้วหายนะก็มาถึง
เมื่อพันสี่ร้อยล้านปีที่แล้ว เกิดโรคระบาดขึ้นบนโลก เป็นการผสมข้ามสายพันธุ์ของไวรัสกับไวรอยด์ เกิดเป็นเชื้อไวโรนอยด์ที่กระจายอย่างรวดเร็ว มันทำลายล้างไม่ว่าพืชหรือสัตว์ และต่อมาก็เป็นมนุษย์ที่ต้องพบชะตากรรมเดียวกัน ในตอนนั้นเหล่าสิ่งมีชีวิตบนโลกต้องตายไปกว่าแปดส่วนในสิบส่วน เราหมดหนทางต่อสู้กับโรคร้าย เพราะเราสิ้นแล้วซึ่งทรัพยากรสำคัญๆ ไม่มีแม้กระทั่งน้ำสะอาดที่จะพอเพาะปลูกพืชได้ด้วยซ้ำไป
เคราะห์ดีที่มีการทดลองปล่อยที่อยู่อาศัยกลางอวกาศได้สำเร็จก่อนหน้าไม่นาน มนุษย์บางส่วนที่ถูกคัดเลือกจึงถูกอพยพมายัง ไพโอนีร่า แห่งนี้ เรายังมีนิคมขนาดย่อมอีกสามแห่งที่ลอยอยู่กลางอวกาศคือ เทียนซาน ที่สร้างจากเอชีเนีย หิมาลายันสถาน ที่สร้างโดยกาฬทวีปร่วมกับไมโครเชีย และ เทลเบซเซอร์ จากสหภพยูโรรัสเซีย เราเรียกนิคมกลางอวกาศของมนุษย์ที่เหลือรอดเหล่ารวมกันว่าว่า ฮิวมาโคโลนีส
โลกถูกทิ้งไว้เบื้องล่าง พร้อมทั้งประชากรที่เหลืออีกหลายล้านคนที่ไม่ได้ถูกคัดเลือก ความโกลาหลเกิดขึ้นไปทั่ว ฉันได้ยินมาว่าอย่างนั้น ถ้าเราได้ยินเสียงจากพื้นโลกได้ คงมีเสียงกรีดร้องโหยหวน และเสียงสาปแช่งของมนุษย์ที่ถูกละทิ้งไว้ข้างหลังดังก้องอยู่ไปมาราวเสียงสะท้อน
จนเมื่อหลายร้อยล้านปีผ่านมา มีการส่งดรอยด์ขนาดเล็กลงไปสำรวจที่พื้นโลกอีกครั้ง เราพบว่าตอนนี้เหลือสิ่งมีชีวิตที่ผิวโลกเพียงแค่ แบคทีเรีย ไวโรนอยด์ และเชื้อราเท่านั้น ไม่พบมนุษย์อีกแล้วบนพื้นผิวดาวเคราะห์สีน้ำเงินที่เคยสวยงาม
หลังจากเราย้ายกันขึ้นมาบนฮิวมาโคโลนีส มีการใช้สถานีอวกาศที่ดาวอังคารเป็นฐานการผลิตยานอวกาศเพื่อไปสำรวจที่แทรปปิสต์-วัน เราสำรวจไปจนถึงโพรมีเทียส และเราก็พบสิ่งมีชีวิตที่ทรงสติปัญญายิ่งกว่าเราเสียอีก เราส่งผู้เชี่ยวชาญไปเพื่อติดต่อขอสำรวจดาวเคราะห์อื่นๆ ที่อยู่ในแทรปปิสต์-วัน ด้วย แต่เรากลับถูกปฏิเสธ ชาวโพรมีเทียสให้เหตุผลว่า
“มนุษย์เป็นสายพันธุ์ของการทำลายล้างทุกสิ่ง” พวกเขายกเรื่องโลกของเรามาเป็นตัวอย่างเสมอในการเจรจา
พวกเขาจึงขับไล่เราออกมา มนุษย์ต้องร่อนเร่อยู่กลางอวกาศมายาวนานกว่าสามร้อยล้านปีแล้ว โดยไพโอนีร่าขอแยกตัวออกจากฮิวมาโคโลนีสเพื่อออกแสวงหาดาวเคราะห์ดวงใหม่ ซึ่งในตอนนี้หุ่นยนต์สำรวจของเรากำลังส่งข้อมูลมาให้ว่า ไกลออกไปที่กาแลคซี่แอนโดรเมด้า มีระบบดาวฤกษ์ที่ใกล้เคียงระบบสุริยะอยู่ ซึ่งห่างออกไปจากโลกราวสองล้านปีแสง ไพโอนีร่ากำลังพยายามเดินทางไปที่นั่น เราได้แต่หวังว่าเราจะเดินทางไปถึงเข้าซักวันจนได้
“เฮ้ เอเลน่า คุณดูภาพสัตว์ยุคโบราณนี่สิ มันชื่อว่า มด ผมว่าเจ้าตัวนี้หน้าตาคลายพวกโพรมีเทียสเลย คุณว่าจริงมั้ย” โทมัสสะกิดฉันให้หันไปดู จนฉันสะดุ้ง
“อืมม” ฉันรับคำแค่นั้น แล้วหันกลับไปมองบันทึกโบราณที่เรียกกันว่า หนังสือพิมพ์ ตรงหน้าตัวเองต่อไป บนนั้นมีรูปคนกำลังกอดกัน และกำลังปลดปล่อยกันอยู่บนการรวมตัวอะไรซักอย่างอยู่ในกรอบภาพเล็กๆ อักษรโบราณข้างล่างภาพมีเขียนไว้ ถ้าฉันแปลความหมายไม่ผิด น่าจะมีใจความว่า เกิดความผิดพลาดบางอย่างในการมอบรางวัลภาพยนต์อะไรซักเรื่องหนึ่ง ซึ่งฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่ามันคืออะไร ฉันเห็นเพราะมันเป็นภาพที่อยู่ข้างๆ ภาพจำลองระบบแทรปปิสต์-วัน พอดี
ฉันแค่แอบอิจฉาที่เห็นมนุษย์ในยุคนั้นสามารถปลดปล่อยได้อย่างอิสระ ไม่เหมือนพวกเราในตอนนี้ ที่แค่ของเหลวที่ไหลออกจากดวงตา ก็อาจพาเราให้ถูกกักบริเวณได้ง่ายๆ บางทีในตอนที่ฉันจัดเรียงข้อมูลของบันทึกโบราณต่างๆ ได้เห็นภาพมนุษย์ยุคโบราณมากมาย พวกเขาดูมีความสุขดี มีรอยยิ้ม มีการร้องไห้ มีอิสระเหลือเกินที่จะแสดงออกอย่างไม่ต้องกังวล
ฉันหวังแค่ว่าในอนาคตถ้าหากเราได้ลงหลักปักฐานยังดาวดวงใดซักดวงในอวกาศแห่งนี้ พวกเรามนุษย์จะไม่ต้องพึ่งความหวังกันมากมายขนาดนี้ และคงมีอิสระที่จะมีชีวิตแบบที่มนุษย์ควรจะมีเสียที
“นี่ คุณที่กำลังอ่านอยู่น่ะ คุณเห็นข้อความนี้ใช่มั้ย”
“คุณช่วยอนาคตเผ่าพันธุ์คุณได้นะ ถ้าคุณเห็นข้อความนี้”
“ฉันกำลังส่งข้อความแบบ เทเลเอ็นเซฟาแกรม ผ่านระบบแปลงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าส่งไปในรูหนอน”
“เป็นการทดลองของ โอลิเวีย เธอบอกว่าข้อความนี้อาจไปปรากฎบนโลกในอดีตได้แบบสุ่ม”
“ฉันหวังว่าคุณจะเห็นและได้อ่านมันและส่งต่อมันออกไป คุณช่วยโลกได้นะ ฉันหวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แม้ว่ามันจะทำให้ฉันกลายเป็นเพียงความว่างเปล่าในมิตินี้ก็ตาม”
“ฉันแค่อยากจะมีโอกาสร้องไห้ได้แบบพวกคุณบ้าง”
“...ได้โ..รด ...ช่ว..โล…ด.ย”
“ไ..้..ปรด…”
“..ขอบ..ุณ..”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in