เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้นจากความมโนDeux
First chance, Last chance


  •  เสียงดนตรีบนเวทีกำลังบรรเลง นักดนตรีดีดกีตาร์เบาๆคลอกับเสียงนักร้องหญิงตัวเล็กจิ๋วแต่น้ำเสียงกลับทรงพลังอย่างประหลาด เธอกำลังขับกล่อมเสียงเพลงอยู่ไกลๆ แต่ที่ดังจนสับสนไปหมดใกล้ๆ คือเสียงเหล่าเพื่อนสมัยมัธยมที่กำลังคุยกัน (หรือตะโกนคุยกันก็ไม่รู้) ราวกับว่าไม่ได้พบกันมานับสิบปี

     แต่ก็เกือบสิบปีแล้วจริงๆ ที่เพื่อนร่วมชั้นไม่ได้รวมตัวกันตั้งแต่เราแยกย้ายกันไปเรียนมหาลัย ตามแนวทางที่แต่ละคนเลือกเดิน
     
     หลังจากทักเพื่อนๆ หลายคนแล้ว ผมปลีกตัวไปนั่งที่นั่งติดริมกระจกใสบานใหญ่ที่มองออกไปทางหน้าร้านได้ วิวต้นไม้สลับแสงไฟสีส้มจากนอกถนนกับกระจกที่เป็นฝ้าจางๆจากอากาศด้านนอกที่เริ่มเย็นขึ้น

     "ใช่ นี่มันเดือนธันวาแล้ว อากาศหนาวมาทักทายอีกแล้วสินะ" ผมรำพึงเบาๆ กับตัวเอง

            " You give your hand to me
                 Then you say hello
                  I can hardly speak
                 My heart is beating so
                 And anyone can tell
           You think you know me well
              But you don't know me "

      เพลงที่นักร้องกำลังร้องอยู่ตอนนี้ ทำนองช่างแสนเศร้า ดนตรีเบาๆยิ่งทำให้เนื้อเพลงเด่นชัดขึ้นมาราวกับบทบรรยายภาษาอังกฤษวิ่งอยู่ใต้ภาพที่ผมมองเห็น ภาพตรงหน้าคือ 'เธอ' กำลังเดินผ่านซุ้มประตูไม้ด้านหน้าร้านเข้ามา
     

        นี่เป็นเหตุผลเดียวของการเลือกนั่งตรงนี้และการมางานเลี้ยงรุ่นในวันนี้...

                              -----------------

       สมัย ม.1 วันแรกของการเปิดเทอม ผมเลือกนั่งกับเพื่อนจากโรงเรียนประถมเดียวกันที่โชคดีได้อยู่ร่วมห้องกันราวกับนัดแนะกันไว้ ส่วน 'เธอ' เด็กหญิงผมสีดำสนิท ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม รูปร่างที่สูงโปร่งของเธอโดดเด่นอยู่ท่ามกลางโต๊ะเรียนหลังห้อง ส่วนผมเด็กชายตัวลีบเล็กแถมเกือบจะเตี้ยสุดในชั้น แน่นอนคนตัวเตี้ยต้องนั่งแถวหน้า บ้าชะมัด..

    ถ้าได้นั่งมองเธอจากด้านหลังทั้งวัน ผมคงไม่ต้องได้เรียนหนังสือเป็นแน่ ต้องขอบคุณความเป็นวัยรุ่นชายที่จะโตช้ากว่าเพื่อนหญิงในวัยเดียวกัน ไม่งั้นคงได้ซ้ำชั้นกันไปตามสมควร
     
     ธรรมดาของเพื่อนๆ ที่วันไหนได้นัดกันมาทำงานห้องงานกลุ่ม บทสนทนาที่ขาดไม่ได้คือ
      
               "มึงชอบใครว่ะ ในห้องเราเนี่ย"
     
      เป็นคำถามที่เบสิคแต่ตอบยากมาก ต้องรวบรวมความกล้าอยู่นาน จนเหลืออดเพราะเพื่อนบอกกันหมดแล้ว และที่สำคัญคือ ถ้าเกิดชื่อเธอคนนั้นถูกเอ่ยขึ้นมาก่อนหน้า ผมคงหมดโอกาสที่จะได้ตอบคำถามนี้

     "เรา...เราชอบ เตย ว่ะ" ผมตอบเสียงค่อย
     "เตย ที่โย่งๆนั่งกับกิ๊ฟอ่ะนะ" ไอ้หนุ่ม คนที่ในที่สุดแล้ว จะกลายเป็นเพื่อนมัธยมที่ผมสนิทด้วยมากที่สุด มันพูดสวนขึ้นมาทันควัน

      การสารภาพรักแต่ไม่ได้ตรงหน้าคนที่เราแอบชอบยังคงดำเนินต่อไปจนครบสมาชิกทุกคน แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครชอบใครบ้าง รู้แต่ว่าความลับที่สุดในชีวิตตอนนั้นมันไม่ใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว

      "เฮ้ย ไอ้วิทย์ มึงรีบไปสนามปิงปองเลย ด่วน" เสียงไอ้หนุ่มตะโกนมาจากชั้นล่างเพื่อเรียกผมให้ผละจากการทำเวรตอนเย็นในห้องบนชั้นสองของอาคารเรียน

        ผมวิ่งกระหืดกระหอบไปที่สนามปิงปองด้านหลังโรงเรียน เห็นเพื่อนอีกหลายคนกำลังนั่งหลบหลังพุ่มไม้ที่เป็นแนวกั้นระหว่างสนามปิงปองกับเรือนเพาะชำ พวกนั้นหันมาทำท่าเอานิ้วจุ๊ปากเพื่อให้ผมมาแบบเงียบๆ ผมรีบผลุบตัวลงนั่งอย่างว่าง่ายและเงียบกริบ มีเสียงเล็กๆลอดออกมาจากพุ่มไม้ข้างหลัง ห่างออกไปไม่ไกล

      "เราชอบเธอนะ เก้า" เสียงเล็กๆ ที่ผมไม่มีวันลืม นั่นเสียงของ เตย ใช่.. เสียงของเตยจริงๆ
     "ได้สิ เราก็ยังไม่ได้คบใคร เราลองคบกันดูก็ได้" เสียงไอ้เก้า รองหัวหน้าชั้นห้องเดียวกันตอบกลับเธอ

     ผมนั่งสติหลุดอยู่ราวสามวินาที แต่มันเหมือนกับเวลาหยุดเดิน ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ในกาลอวกาศ มารู้ตัวอีกทีคือเสียงเพื่อนๆผู้หญิงที่แอบซุ่มที่พุ่มไม้อีกทางกำลังส่งเสียงวี๊ดว๊ายที่เพื่อนในกลุ่มกำลังจะมีแฟน... ใช่ และคนนั้นไม่ใช่ผม
     

                       _______________________

      "เฮ้ย ไอ้วิทย์ มึงมานั่งหลบไรตรงนี้ว่ะ มึงหันไปดูโน่นเลย ใครมา" ไอ้เพื่อนหนุ่มแอบมากระซิบข้างหู
      

        ผมหันไป ขยับแว่นหนาให้แน่นกระชับ เพื่อที่ภาพในแสงสลัวๆมันจะได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

      'เธอยังเหมือนเดิมเลย ไม่เคยเปลี่ยน' ผมนึกในใจ

     เตยเดินมาทักทายเพื่อนๆ หลายคน รอยยิ้มที่แสนสดใส กับดวงตาที่ยิ้มแย้มเสียยิ่งกว่ารอยยิ้มจริงๆเสียอีก ผมยาวประบ่าสีดำยิ่งทำให้เธอดูน่ารักและกระฉับกระเฉงไปในที สมกับที่เป็นเตยจริงๆ ผมได้แต่แอบอมยิ้มและหน้าแดง แต่คงไม่มีใครสังเกตุเห็นหรอกในร้านที่แสงสลัวๆ แบบนี้

      เตย เดินมาทางนี้แล้ว ผมแกล้งหันออกไปที่ผนังบานกระจก แสร้งทำมองออกไปด้้านนอก หยิบเอาแก้วเบียร์ขุ่นสัญชาติเยอรมันที่ไอ้หนุ่มเพิ่งเอามาวางไว้ให้ไม่นานก่อนหน้านี้ขึ้นจิบช้าๆ

     "อ้าว เป็นไงบ้างวิทย์ ไม่ได้เจอกันนานเลย สบายดีมั้ย" เสียงเล็กๆที่ผมจะไม่มีวันลืมเอ่ยทักขึ้น

     ผมหันกลับไปมอง แม้แสงจะไม่สว่างมากนัก แต่รอยยิ้มของเตยก็ชัดเจนมาก ทั้งในความทรงจำหรือแม้แต่ในตอนนี้ ตอนที่เธอยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่เอง

     "อ้าว ว่าไงเตย...สบายดี เราสบายดี เตยหล่ะ เป็นไงบ้าง" ผมพูดตะกุกตะกักนิดหน่อย รีบวางแก้วเบียร์ในมือลงทันที

      "ก็ดีนะ ตอนนี้กลับมาอยู่บ้านแล้วนะ" เธอยิ้มให้แล้วหันไปโบกมือไหวๆผ่านกระจก ให้เพื่อนๆในกลุ่มที่เพิ่งเดินเข้ามาด้านหน้าร้าน

      "แล้ววิทย์ ตอนนี้ทำอะไรอยู่หล่ะ ขออัพเดทหน่อย ไม่ได้คุยกันนานเลยเนอะ ตั้งแต่เลี้ยงปัจฉิมตอนมอหก" เตยดึงเก้าอี้แล้วนั่งลงข้างๆ

     "เอ่อ เราเหรอ ตอนนี้..เราเป็นหมออยู่โรงพยาบาลอำเภอเฉลิมพระเกียรติโน่น"  ผมใจเต้นเป็นระส่ำเมื่อเธออยู่ใกล้ขนาดนี้

     "เออใช่ วิทย์เรียนหมอนี่นา เกือบลืมไปเลย ก็เล่นไม่ติดต่อกันบ้างเลยนะ เผื่อเราป่วยจะได้ปรึกษาบ้างอะไรบ้าง" เธอยิ้มแกมหัวเราะเบาๆ

     ให้ตายเถอะ นี่ถ้าผมหยุดเวลาได้ มันจะจะเป็นช่วงเวลาที่ผมอย่างหยุดเอาไว้ตลอดไปเลยทีเดียว

     "แล้วเตยไม่ทำงานที่กรุงเทพแล้วเหรอ?" ผมเอ่ยถาม เพื่อให้เธอไม่ทันสังเกตุว่าตอนนี้ผมหน้าแดงขนาดไหน ผมจึงต้องหยิบเบียร์มาดื่มไปอีกอึกใหญ่
      
     "รู้ได้ไงว่าเราไปอยู่กรุงเทพมาอ่ะ แอบสืบเรื่องเราด้วยเหรอ" เธอหัวเราะคิก แต่ผมแทบสำลักเบียร์จนพุ่งออกทางปาก

      "เอ๊ย ลืมไปว่าแม่เราบอกว่า เจอวิทย์บ่อยๆเหมือนกันที่สวนสาธารณะ เวลาไปออกกำลังกาย ใช่ๆ แม่ต้องเล่าเรื่องเราแน่ๆ ใช่มั้ยเนี่ย"

     "ใช่ๆ แม่เล่าหมดเลย แต่คงเพราะแม่เหงามั้ง เตยไม่อยู่บ้านกับท่านนี่นา" ผมรีบหัวเราะกลบเกลื่อน
      
      "ตอนนี้จะกลับมาขอข้าวแม่กินเหมือนเดิมแล้ว ได้งานเป็นผู้ตรวจบัญชีบริษัทบ้านเรานี่หล่ะ คงได้กอดแม่ทุกวันแล้ว เพิ่งได้กลับมาสองอาทิตย์เองเนี่ย" เตยนั่งอมยิ้ม

      "ดีแล้ว อยู่บ้านนอกก็ไม่ได้แย่นะ ดูสิ มีหน้าหนาวด้วย เย็นสบายดีออก" ผมจับแก้วเบียร์หมุนไปมาบนโต๊ะไม้ยาวตรงหน้า

      "ดีสิ แต่ที่ไปกรุงเทพฯ เพราะอกหักต่างหากเลยต้องหนีไปอ่ะ ฮิฮิ" เตยหัวเราะร่วนแถมจบด้วยยิ้มหวานที่ทำหัวใจผมละลายมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา

      "เราไปหาแตนก่อนนะ ส่งสายตาพิฆาตมาเรียกแล้ว เดี๋ยวเจ๊จะบ่นว่าทิ้งให้นั่งคนเดียว ไว้คุยกันนะ" เตยลุกขึ้นยิ้ม แล้วเดินจากไป

      ผมได้แต่มองตามหลังเธอ พร้อมนึกถึงคำพูดของเตยก่อนหน้า คำว่า 'อกหัก' นั่นมันเกิดกับผมตั้งแต่ตอนนั่งอยู่หลังพุ่มไม้นั่น มันนานมากแล้ว  ผมอกหักก่อนที่ผมจะได้สารภาพกับเธอด้วยซ้ำ

                          _____________________

      ม.3  เทอม 2 เป็นฤดูกาลอ่านหนังสือเตรียมสอบขึ้นมอปลาย และฤดูการแลกเขียนเฟรนด์ชิฟ

     แน่นอนตอนนั้น เตย เลิกคบกับเก้ามานานแล้ว น่าจะตั้งแต่ตอนม.2 แล้วด้วยซ้ำ เพราะต้องแยกห้องกันจากการคละชั้น ส่วนผมยังทำบุญมาดี ที่ยังได้อยู่ห้องเดียวกับเตยเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือความห่างเหิน

                 "วิทย์ รัก เตย"

      บนกระดานดำหน้าชั้น มีผู้หวังดีบางคนเขียนมันติดไว้ตัวมหึมา พอผมเดินเข้าห้องมาเกือบแปดโมงเช้า สิ่งที่ผมจำได้อย่างเดียวคือ เสียงหัวเราะลั่นของพวกเพื่อนตัวแสบหลังห้อง แน่นอนในนั้นมีไอ้หนุ่มอยู่ด้วย พอหันไปมองกวาดทั่วห้อง ยังไม่เห็นเตยที่โต๊ะ (ขอบคุณสวรรค์) ผมรีบคว้าแปรงลบกระดานแล้วจัดการลบมันออกไปในทันที และตอนนั้นเองที่เตยกำลังเดินเข้าห้องมา เสียงหัวเราะโห่ฮาและเสียงผิวปากดังลั่นไปทั่วห้องคืออย่างเดียวที่ผมจำได้ ผมรีบก้มหน้าเดินไปนั่งที่โต๊ะ และไม่ได้หันไปมองที่ที่เตยนั่งอีกเลย นั่นน่าจะกินเวลาจนจบ ม.3 เทอม 1เลยทีเดียว
    .
    .
     ไอ้หนุ่มขาประจำตัวแสบ ยื่นสมุดปกแข็งเล่มใหญ่มาให้ผม

       "เอ้า เฟรนด์ชิฟของเตย มึงเขียนด้วยนะ วนมาถึงตามึงละไอ้วิทย์" ไอ้หนุ่มเลื่อนมันมาไว้ตรงหน้าให้ผมต้องเห็นแบบปฏิเสธไม่ได้

     "มึงเลิกทำเป็นเด็กได้แล้ว เค้าก็ไม่ได้โกรธมึงนะเว้ยไอ้วิทย์ กูก็บอกเค้าแล้วว่าเป็นฝีมือกูเอง จะอะไรอีกว่ะ" มันยังเซ้าซี้ไม่เลิก
     
     "กูไม่ได้อะไรแล้วกับมึงน่ะ แต่กูไม่รู้จะเขียนอะไรว่ะ เอาไปคืนเค้าเหอะ" ผมปัดสมุดนั่นกลับคืนไป

     "มึงแน่ใจ แล้วมึงจะไม่เอาของมึงให้เค้าเขียนใช่มั้ยเนี่ย"
     
    "อืมม" ผมรับคำ

    "ไอ้วิทย์ ไอ้ขี้ขลาดเอ้ย ชาตินี้เค้าคงจะชอบมึงหรอก นิ่งเป็นเสาโอเบลิกส์เลยนะมึง กูขี้เกียจเชียร์ละ กูก็เหนื่อย.!" มันรีบคว้าสมุดแล้วลุกออกไปทันที ทิ้งผมให้นั่งถอนหายใจอยู่เพียงลำพังที่ม้านั่งกลางสวนหย่อมข้างโรงเรียน


             " No, you don't know the one
                 Who dreams of you at night
                And longs to kiss your lips
                And longs to hold you tight
                    Oh I'm just a friend
                 That's all I've ever been
                'Cause you don't know me"

     วงดนตรียังเล่นสดอย่างไพเราะ แม้ต้นฉบับจะเป็นผู้ชายร้อง แต่เธอก็ถ่ายทอดมันออกมาได้ไม่เลวเลยทีเดียว
     
      ผมดื่มเบียร์ในแก้วไปอีกหลายอึก แค่นึกถึงอดีตในตอนนั้น ก็เล่นเอาผมเกือบเซแล้ว เพราะได้แต่โกรธตัวเองที่ดันทำอะไรแบบนั้นลงไป ผมเสียโอกาสที่จะได้เป็นเพื่อนกับเตยไปตั้งหลายปี กับแค่ตัวหนังสือบนกระดานดำแค่ไม่กี่ตัว

      ผมแอบชำเลืองไปมองเตยที่โต๊ะอีกด้านของห้อง แสงสลัวกลับยิ่งทำให้รอยยิ้มของเธอชัดเจนกว่าเดิม เธอยังหัวเราะกับเพื่อนๆในกลุ่ม เหมือนในสมัยที่เรายังนั่งเล่นกันในสวนป่าของโรงเรียนหลังเลิกเรียนตอนเย็น

      "วิทย์ เรารบกวนอะไรหน่อยสิ" แตนเพื่อนสนิทของเตยมาสะกิดผม ตอนนั่งทำการบ้านที่โต๊ะข้างโรงยิม

      "เรารบกวนไปส่งเตยที่เรียนพิเศษหน่อยดิ พอดีเรานัดกับเพื่อนคนอื่นจะโดดไปดูหนังกันอ่ะ แต่เตยไม่ยอมโดด จะไปเรียนพิเศษอยู่ดี วิทย์ไม่เคยโดดอยู่แล้ว ฝากเตยไปด้วยทีนะ.. นะ ขอบใจจ้า" แตนรีบวิ่งจากไป ทิ้งผมให้อ้าปากค้างยังไม่ทันตอบว่าได้หรือไม่
     
     แถมตอนนี้ไปคุยกับเตย พร้อมชี้มือมาทางผม พร้อมโบกมือมาให้ เตยเลยหันมาทางผมด้วย เธอยิ้มเล็กๆพร้อมโค้งตัวเล็กน้อย ผมได้แต่โบกมือเบาๆและยิ้มตอบ
     
      นั่นทำให้เราได้คุยกันอีกครั้ง แต่ผมก็ยังเกร็งๆเสมอ เวลาอยู่ต่อหน้าเธอ แต่แค่นี้มันก็วิเศษมากแล้วสำหรับผม

      ไม่รู้สิ ตั้งแต่เจอเตย ชีวิตผมก็แทบไม่มีผู้หญิงคนไหนได้เข้าใกล้ประตูหัวใจเลยซักครั้ง มีบางคนเคยเฉียดๆไปนะ แต่พอกลับบ้านไปเจอรูปถ่ายของเตยที่ผมยืนด้านหลังกับเพื่อนอีกนับสิบในงานกีฬาสีตอนม.5 นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะปิดประตูบานนั้นให้แน่นหนาขึ้นไปอีก


                       " I never knew
                  The art of making love
                 Though my heart aches
                       With love for you
                     Afraid and shy
               I've let my chance to go by
               The chance that you might
                         Love me, too "

     ผมลุกขึ้นเดินออกจากโต๊ะ เดินออกไปที่ห้องน้ำ ผมรีบเข้าไปและเดินออกมาสูดอากาศเย็นๆ ที่ตอนนี้มีไอหมอกจางๆเริ่มทิ้งตัวลงต่ำ แสงสีส้มกลายเป็นสีส้มมัวๆ หรือว่าผมจะเมากันแน่ก็ไม่แน่ใจ

      " อ้าว ออกมาทำอะไรอ่ะ วิทย์ มาสูดอากาศแก้มึนเหรอ เห็นยกเบียร์ซะเกลี้ยงเลย" เตยเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับทักผม

      "ไม่หรอก จริงๆไม่ค่อยชอบเสียงดังๆน่ะ ดูไอ้หนุ่มดิ ขนาดลูกหนึ่งแล้ว ก็กินซะจนหน้าแดงแล้ว เดี๋ยวจะขับรถกลับยังไงหล่ะนั่น" ผมหันไปดูด้านในร้าน

      "วันเดียวน่า นานๆจะได้เจอกันทีนะ มีงานนี่ก็ดีออก เราเลยได้เจอวิทย์ด้วยเลย เห็นม่ะ" เตยเอามือเสยปอยผมไปคล้องหูพร้อมยิ้มให้

      "นั่นสินะ ดีจริงๆด้วย นึกถึงวันเก่าๆเลย" ผมเอ่ย

     "ตอนไหนหล่ะ ตอนที่วิทย์โดนครูทำโทษให้วิดพื้นเพราะเราลืมเอาสมุดการบ้านมาส่ง แล้ววิทย์รับแทนว่าเอาไปลอกแล้วลืมเอามาอ่ะนะ" เตยหัวเราะออกมา

    " ไม่ใช่ โหย เราลืมไปแล้วนะนั่น ยังจำได้อีก" ผมหัวเราะออกมาบ้าง

     "ขอบคุณนะ"

     "ห๊ะ อะไรเตย ขอบคุณเรื่องให้ลอกการบ้านเหรอ ไม่เป็นไรหรอก" ผมหัวเราะแล้วเงยหน้ามองฟ้า ที่ตอนนี้สลัวไปด้วยหมอกจางๆ

      "ไม่ สำหรับทุกอย่างเลย" เธอพูดเบาๆ

      "ไม่เอาน่า เราต้องขอบคุณเตยมากกว่า เตยช่วยติวคณิตฯ ให้เราเยอะเลย ไม่งั้นสอบไม่ติดนะเนี่ย" ผมหัวเราะกลบเกลื่อน

     "อืมม จริงด้วย ต้องทวงบุณคุณกันซะแล้ว"

     "จะเอาอะไรดีอ่ะ เลี้ยงหนังซักเรื่องมั้ยหล่ะ" ผมหันไปมองเตย

     "ก็ดีนะ กลับมาอยู่บ้านคงได้เจอกันบ่อยๆเนอะ"
     
    "ใช่ แต่ไว้ช่วงไหนได้เข้าตัวจังหวัด จะชวนกินข้าวนะ" ผมเอ่ย

     "ทำแต่งานเนอะ เหมือนสมัยเรียนเลยวิทย์ก็ตั้งใจเรียนมากๆ ดีจัง แน่วแน่เสมอเลย"

     "ก็คนเนิร์ดๆ จะทำอะไรได้ เล่นกีฬาก็ไม่ได้ ดนตรีก็ห่วย คงได้แต่เรียนอ่ะ คงทำได้ดีที่สุดแล้ว"

    "แล้วแฟนไม่บ่นบ้างเหรอ ทำแต่งาน แถมอยู่ซะไกลเชียว ไปมายังลำบากเลย" เตยถอนหายใจเบาๆ

     "บ้าน่า ใครไปใส่ร้ายเราเนี่ย จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟนได้เราอ่ะ แค่รับมือกับชาวบ้านแต่ละวันก็หมดแรงแล้ว" ผมรีบแก้ข่าวทันที

    "รีบๆหานะ เดี๋ยวเค้าจะเรียก หมอวิทย์คานทอง"  
    "รู้น่า ก็เป็นคนพูดไม่เก่งนี่ จะจีบใครได้ แย่เลย" ผมเอาเท้าเขี่ยก้อนหินเล็กๆที่พื้น

     "ก็แค่บอกเอง จะให้ผู้หญิงเค้าบอกก่อนเหรอ บ้างที่เค้าก็กลัวเสียหน้านะ ผู้หญิงนี่นา ต้องมีท่าบ้าง" เตยพูดพร้อมกับรอยยิ้ม

      "อืมม เดี๋ยวเตยคงกลับละนะ แม่อยู่บ้านคนเดียว เดี๋ยวจะห่วงลูกสาวคนสวยเปล่าๆ" เตยหัวเราะแทรกขึ้นกลางความเงียบก่อนหน้า

     "แล้วจะกลับไงอ่ะ เอารถมาเองเหรอ"

     "ไม่ เดี๋ยวเก้าจะไปส่ง บ้านไปทางเดียวกันน่ะ จำเก้าได้ใช่มั้ย"

     "อ๋อ เก้าห้องหกอ่ะนะ จำได้สิ อดีตหัวหน้าห้องเก่านะ ทำไมจะจำไม่ได้" ผมแกล้งมองไปในร้าน

     "จ๊ะ งั้นกลับไปข้างในก่อนนะ จะไปบอกเก้าก่อนว่าจะกลับแล้ว ห่วงแม่เหมือนกันอยู่คนเดียว ช่วงนี้ไม่ค่อยสบาย วันนี้เป็นไข้ด้วย" เตยโบกมือ

     "อ้าวเหรอ เดือนที่แล้วเจอแม่ ก็ยังสบายดีนะ" ผมพลั้งปากพูด

     "อ้าว เพิ่งเจอกับแม่ด้วยเหรอ"

     "อ่อ ใช่  ที่สวนสาธารณะไง"

     "อืมม ขอบคุณนะที่ดูแลแม่ให้ด้วยอ่ะ แม่บอกเจอวิทย์บ่อยเลยเวลามาวิ่งออกกำลัง"

     "ไม่เป็นไร แม่เพื่อน ก็เหมือนแม่เราอยู่แล้ว"

    "จ๊ะ ขอบคุณนะ" เตยยิ้มจางๆ

    "ไปเถอะ เดี๋ยวจะค่ำไป หมอกลงแล้ว แถวบ้านเตยยิ่งหมอกลงเยอะด้วย" ผมโบกมือลาเธอ

    "จ๊ะ ไปนะ" เตยโบกมือลาอีกรอบ ก่อนเดินกลับเข้าไปในร้าน

     ผมมองตามหลังจนเตยเดินไปที่โต๊ะเก้านั่งอยู่ ผมรีบหันหลัง แล้วเดินไปที่จอดรถ แล้วขับกลับบ้าน...

                      ___________________________

               " You give your hand to me
               And then you say good-bye
                   I watch you walk away
                      Beside the lucky guy
                  You'll never never know
                 The one who loves you so
                  Well, you don't know me "

     ผมกลับมาถึงห้อง เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ เอาแขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาบางๆที่ยังเหลืออยู่บนหน้า  

       ผมเปิดโคมส่องอ่านหนังสือแล้วดึงลิ้นชักด้านข้างโต๊ะออกมา

      ผมเอามือล้วงเข้าไปในลิ้นชักในส่วนที่ลึกที่สุด ผมรู้ว่ามันอยู่ที่นั่น หยิบมันออกมาอย่างเบามือ วางไว้ใต้แสงหลอดสีวอร์มไวท์ ให้เห็นได้ชัดๆ

       กล่องของขวัญชิ้นเล็กๆ ด้านข้างมีการ์ดเขียนด้วยลายมือมัดติดริบบิ้นไว้

                                แด่... วิทย์ 


        เป็นลายมือเตยนั่นเอง กล่องของขวัญนี้เป็นของที่เตยแจกเพื่อนๆ ทุกคนในชั้นตอนวันปัจฉิม ผมไม่รู้ว่าของข้างในคืออะไร เพราะไม่ได้แกะออกดู เตยเอามายื่นให้พร้อมเอ่ยว่า

                         "ว่างก็อย่าลืมแกะดูนะ"

      ผมรับมาแต่ไม่เคยแกะมันออกดูเลย เพราะอะไรนะเหรอ
      เพราะผมอกหักอีกรอบแล้วทั้งที่ไม่ได้สารภาพรักกับเตยเลยด้วยซ้ำ (อีกแล้ว)

     "วิทย์ มึงรู้หรือยัง เมื่อวานเตยไปดูหนังมา กับไอ้้เฮี้ยเกมส์ห้อง 8 ไง ไอ้ที่เก๊กสัสๆอ่ะ" เพื่อนผู้แสนดีมารายงานอีกแล้ว

     "แล้วไงหล่ะ" ผมทำหน้านิ่ง กลบเกลื่อนหัวใจที่เต้นโครมด้วยพิษหึง (หึงอะไรเนี่ย เขาไม่ได้เป็นแฟนเราซักหน่อย)

     "วิทย์ ถ้ามึงยังไม่ทำคะแนนเลยแบบนี้ มึงเรียนจบแล้วไปบวชเหอะ ถือว่ากูขอร้องละกัน" หนุ่มเอาเท้าเตะก้นผมไปหนึ่งที แล้วคว้ากระเป๋าเดินจากไป

     "มึงถามเค้าบ้างมั้ย ว่าเค้าชอบมึงหรือเปล่า มึงจะให้ผู้หญิงเค้าบอกก่อนเหรอว่ะ" มันยังตะโกนส่งท้ายมาก่อนเขวี้ยงก้อนหินเล็กๆมาใส่ ดีที่ผมหลบทัน

     'ทีไอ้เก้า เตยยังบอกว่าชอบมันก่อนเลย' ผมลำพึงในใจเบาๆ แล้วก้มหน้าอ่านหนังสือสอบเอ็นท์ต่อไป เพื่อให้ลืมความวุ่นวายในหัวใจให้หมดสิ้น

     พอสอบติดแพทย์ ผมก็ได้แต่ตั้งใจเรียนๆ จนลืมเวลาไปหมด มารู้ตัวอีกทีก็สมัครมาใช้ทุนที่น่านบ้านเกิดเสียแล้ว ไม่ได้ติดต่อกับเตยอีกเลย ดีที่สมัยนี้มี social media อย่าง facebook ผมแอบเข้าไปดูว่าเตยเป็นไงบ้าง ผ่านทางเพื่อนๆคนอื่นๆอีกที เพราะผมไม่กล้าแม้กระทั่ง add friend เตยด้วยซ้ำ

       ผมยังกลับไปที่โรงเรียนเก่าของเราบ่อยๆ ที่โต๊ะเรียนที่ผมเอาของขวัญวันเกิดใส่ไว้ใต้โต๊ะเตยทุกปีแต่ไม่เคยมีการ์ดว่าใครให้  ม้านั่งที่ติวหนังสือกันตอนมอปลาย สนามบาสที่เธอเคยไปยืนเชียร์รุ่นพี่นักบาสสุดเท่ห์ ร้านป้าขายข้าวหมกไก่ในโรงอาหาร อาหารสุดโปรดที่เตยกินเกือบทุกวัน และที่สนามปิงปองหลังโรงเรียน ที่ตอนนี้โดนรื้อทำห้องน้ำชายไปเสียแล้ว แต่เรือนเพาะชำยังอยู่เหมือนเดิม

       จริงๆผมแวะไปที่บ้านเตยบ่อยๆ ไปแวะหาแม่เพราะผมรู้ว่าท่านอยู่ตัวคนเดียว เตยต้องไปเรียนที่กรุงเทพและหางานได้ที่นั่น เธอกลับบ้านบ้างแต่ไม่บ่อยหนัก ผมจึงมาคุยเป็นเพื่อนแม่บ่อยๆ แต่กำชับกับแม่ว่าอย่าบอกเตย เพราะเดี๋ยวเธอจะเกรงใจผม แค่บอกว่าผมเจอแม่ที่สวนสาธารณะบางครั้งก็พอ

      ผมแค่รู้สึกดี ที่ได้ดูแลเธออย่างอ้อมๆ ซึ่งแค่นั้นก็ดีมากแล้วจริงๆ
      

                          ______________________

        ผมหยิบมือถือขึ้นมา เปิด app ตัว f บนพื้นสีฟ้าเข้ม เปิดเข้าไป search หาชื่อที่คุ้นเคยแน่นอน ชื่อเธออยู่อันดับต้นของประวัติการค้นหาเสมอ   

         ผมเข้าไปดู status ที่เตยเพิ่งอัพเดทเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

       วันนี้ได้พบเพื่อนๆสมัยมัธยมเยอะเลย ทั้งกลุ่มเพื่อนสาวๆ ที่ตอนนี้แอบมีหลานให้อุ้มหลายคน เพื่อนๆผู้ชายยังเฮฮาเหมือนเคย และเพื่อนบางคนที่มีความทรงจำดีๆด้วยเสมอมา ขอบคุณนะ   

         #meeting2015 #ความทรงจำที่แสนสุข #บางความทรงจำที่แสนเจ็บ #ดีใจที่ได้เจออีกครั้ง

     

       ผมรู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมาที่หน้าอก เตยคงหมายถึงเก้าสินะ ความทรงจำที่แสนเจ็บ แต่ก็ไม่แปลกหรอก ความรักครั้งแรกมันฝังลึกในใจจนยากจะลืม เหมือนที่ผมไม่เคยลืมเตยได้เลย

       แค่ผมนึกถึงภาพเตยตอนนี้ ตอนที่เธอคงนั่งหัวเราะไปกับเก้าตอนขับไปส่งกันที่บ้าน ภาพทั้งสองคนบอกลากัน รอยยิ้มที่เตยคงส่งให้ตามประสาคนที่มีรอยยิ้มให้กับทุกคน และ hashtag ที่เธอบอกถึงความทรงจำที่แสนเจ็บ นั่นมันชัดเจนมากอยู่แล้วว่าหมายถึงใคร ผมเองคงได้แค่จัดอยู่ในหมวดเพื่อนเก่าที่ได้เจอ ก็แค่นั้นเอง

       ถึงตอนนี้ผมอดกลั้นน้ำตาไม่ได้อีกแล้ว มันค่อยๆ ไหลออกมาช้าๆ
      
      'ทำไม่อ่อนแอนักวะ'  ผมนึกกับตัวเองในใจ แต่ก็ไม่แปลก เพราะน้อยครั้งในชีวิตที่ผมเคยเสียน้ำตาให้ เรื่องผมกับเตยคือหนึ่งในนั้น

        ผมหันไปมองกล่องของขวัญเล็กห่อด้วยกระดาษสีฟ้าอ่อน แต่ตอนนี้มันหมองไปกว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อนมาก ริบบิ้นขาดเป็นริ้ว มีแต้มสีน้ำตาลไหม้อยู่เป็นจุดๆ ผมนั่งมองอยู่ซักพัก

                      "ว่างก็อย่าลืมแกะดูนะ"

     การ์ดใบเล็กๆที่มีลายมือเธอยังเชื้อเชิญผมเหมือนทุกครั้ง ผมไม่เคยแกะกล่องออก แต่ผมรู้ดีว่าข้างในมีอะไร ของเพื่อนบางคนเป็นดาวพับดวงเล็กๆ บางคนเป็นกระดาษพับรูปหัวใจสีชมพู บางคนเป็นพับเป็นนกบ้าง ดอกไม้บ้าง ผมนับถือความพยายามของเตยมาก เธอคงพับกล่องและห่อพวกมันเองด้วยแน่ๆ มันจึงถือว่าล้ำค่าสำหรับผม มันน่าทนุถนอมเกินกว่าจะแกะออกจนกระดาษห่อขาดหรือกล่องฉีกไปซะ ผมจึงยังไม่เคยรู้ว่าอะไรอยู่ด้านใน ได้แค่คาดเดาไปเองต่างๆนาๆ

      วันนี้คงถึงเวลาที่ผมจะแกะมันออกดูแล้ว จะเสียหายอะไรที่ผมจะแกะของขวัญที่ 'เพื่อนคนหนึ่ง' ให้มา แล้วที่สำคัญ ตอนนี้หัวใจผมก็ว่างเปล่า ว่างจะพอจะทำอะไรก็ได้อย่างที่เตยบอกไว้

      ผมแกะมันออกอย่างช้าๆ ค่อยๆคลี่กระดาษห่อออก เปิดกล่องสีน้ำตาลด้านในออกมา

      ผมนิ่งไปพักหนึ่ง
    .
    .
    .
    .
    .
       ไม่หรอก มันไม่ได้มีอะไรที่น่าตกใจ หรือหักมุมอย่างที่จะจินตนาการกันไปไกล ไม่ได้มีจดหมายน้อยซ่อนไว้บอกว่า 'เธอแอบชอบผม' หรือ 'รักนะ' หรือ อะไรที่สื่อว่าเธอชอบผมซักนิด ไม่มีแม้กระทั่งกระดาษรูปหัวใจหรือดอกไม้ มีแค่กระดาษแข็งแผ่นเล็กๆ มีลายเส้นวาดเป็นรูปกล่องของขวัญน่ารักอยู่บนนั้น

       ผมแอบลุ้นในใจเหมือนกันว่าจะอะไรที่สื่อให้รู้ว่าเธอมีใจให้ผมบ้างซักนิดก็ยังดี ที่แท้ก็เป็นของน่ารักคล้ายๆกับที่เพื่อนๆได้กัน

         ผมพลิกดูในกล่อง ข้างกล่อง ฝากล่อง กระดาษห่อด้านใน

      เปล่าประโยชน์ ไม่มี happy ending แบบหนังนิทานเจ้าหญิงเจ้าชายที่จะสมหวังเสมอในตอนจบ


           " You give your hand to me, baby
                   Then you say good-bye
                  I watch you walk away
                    Beside the lucky guy
              No, no, you'll never ever know
                The one who loves you so
                 Well, you don't know me "

      เพลงที่ร้องในร้านเมื่อครู่ลอยเข้ามาในความคิดผมอีกครั้ง

      ใช่.. เตย ไม่เคยรู้เลยว่าผมรู้สึกยังไง แต่ก็ไม่แปลก เพราะผมเองที่ไม่เคยบอกเธอ ผมเองที่ขี้ขลาด หวาดกลัวคำตอบที่เธออาจมอบให้ และเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับหัวใจของตัวเอง

      ตอนนี้ถึงเธอจะกลับมาอยู่ใกล้ๆ แต่เธอคงกำลังจะได้เริ่มต้นความรักครั้งใหม่กับรักแรกของเธออีกครั้ง ผู้ชายที่แสนโชคดีที่ผมอยากเป็นแทนเสียจริงๆ

      ผมได้แต่นั่งเศร้ากับความไม่เอาไหนของผม ฉลาดแต่เรื่องเรียน แต่โง่ดักดานเหลือเกินกับความรัก ผมถอนหายในเฮือกใหญ่

      กระดาษแข็งใบจิ๋วรูปกล่องขวัญปลิวตกลงจากที่รอง มันพลิกให้เห็นลายมือเล็กๆ ด้านหลัง มันไม่ใช่ตัวหนังสือ

                                 054-xxxxxx

      นี่มันเบอร์โทรศัพท์บ้าน ซึ่งมันคงเป็นเบอร์บ้านใครไปไม่ได้ นอกจากเป็นของบ้านเตย

     "เฮ้ย หนุ่ม มึงมีเบอร์บ้านเตยมั้ยว่ะ กูว่าจะโทรไปถามคณิตฯ หน่อยว่ะ กูสงสัยหลายข้อเลย" ผมถามหนุ่มหลังเล่นบอลตอนเย็น

     "สัส อย่ามาเนียน กูรู้หรอกว่ามึงจะโทรไปคุยกับเค้า ห่าวิทย์ ทำมาเป็นสงสัย จะถามคณิตฯ มึงไม่ต้องลีลากับกูก็ได้" ไอ้หนุ่มพูดแถมบึนปากใส่ผมแถมด้วย

     "เออ แล้วมึงมีมั้ยหล่ะ กูขอ กูจะโทรไปจีบเค้า พอใจยังว่ะ" ผมพูดหน้าแดง แกล้งทำเสียงขุ่นแก้เก้อ

     "ฝันสิครับพ่อ มึงจะรู้อะไร เตย ไม่เคยให้เบอร์บ้านเพื่อนซักคนเดียว มึงไปเปิดสมุดหน้าเหลืองเอาเหอะ ง่ายกว่าเยอะ" มันพูดพลางหัวเราะเยาะผม ที่คราวนี้มันแกล้งผมให้ได้อายอีกจนได้

                       "ใช่ เบอร์บ้าน! บ้านเตย"

          ความฉลาดของผมเพิ่งบังเกิดในตอนนี้ ผมหันไปดูนาฬิกาที่ฝาห้อง มันบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง

          ยังไม่ดึกเกินไป แต่ถ้าจะโดนด่า ผมคงพอแก้ตัวไปได้ถ้าแม่เตยเป็นคนรับสาย แต่ถ้าเป็นเตย..   ผม.. ผมจะพูดอะไร  พูดอะไรดี

      แต่ไม่มีเวลาให้คิดอะไรแล้ว นี่คือสิ่งผิดพลาดที่สุดที่ผมได้ทำมาในชีวิต
     "ว่างก็อย่าลืมแกะดูนะ"
     "ที่ต้องไปกรุงเทพเพราะอกหักต่างหาก"
     "แค่บอกเอง จะให้ผู้หญิงเค้าบอกก่อนเหรอ"
     "ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่างเลย"

       ผมรีบกดโทรศัพท์ในมือ กดโทรออกด้วยมือสั่นเทา เพราะตอนนี้หัวใจผมคงเต้นที่ราวๆ 140 ครั้งต่อนาที คอแห้งไปหมด ได้แต่รอฟังเสียงที่ปลายสาย

     "สวัสดีค่ะ บ้านคุณสายสมรค่ะ จะเรียนสายคุณแม่เหรอค่ะ"

     "... เตย"

     "วิทย์! วิทย์เหรอ"

     "ใช่...  เตยถึงบ้านแล้วเหรอ"

     "อืมม... ถึงนานแล้ว"

     "ดีแล้ว แล้วหนาวมั้ยที่บ้านน่ะ"

     "คนบ้า...ทำไมเพิ่งโทรมาเอาตอนนี้" มีเสียงสั่นๆที่ปลายสาย

     "เตย เราชอบเตยนะ ชอบมานานมากแล้วด้วย" ตอนนี้เป็นผมที่เสียงสั่นแทน

     "เรารู้.. คนบ้า  บอกช้าไปมั้ย"

     "ขอโทษนะ แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สายใช่มั้ย"

     "ไม่หรอก ไม่สายหรอก ขอบคุณนะที่โทรมา" เตยร้องไห้

     "ขอบคุณนะเตย แล้วก็ขอโทษที่โทรมาช้าไปหน่อย"

     "อืมม คนบ้า วันหลังให้ของขวัญใคร ก็บอกบ้างสิว่าใครเป็นคนให้ ตาบ้า.." เสียงหัวเราะเบาๆทั้งน้ำตาของเตยดังอยู่ปลายสาย

     "พรุ่งนี้เราไปหาที่บ้านนะ"

    "จ๊ะ แม่บ่นคิดถึงอยู่เลย บอกไม่เห็นหน้าลูกชายหลายวันแล้ว"

    "แม่ขายเราซะแล้ว" ผมหัวเราะ

    "ขอบคุณมากนะวิทย์ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างตลอดหลายปีที่ผ่านมา"

     "ขอบคุณเตยต่างหาก ขอบคุณนะ" ผมกระซิบในสายเบาๆ
     

                        _______________________


      ขอบคุณแรงบันดาลใจจากเพลง

      You don't know me : Ray Charles 1962





เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in