แฮร์เธอร์เป็นฝ่ายประสานงานในทีมเปโตรนาส เอสอาร์ที ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องเอาชนะมาอย่างหลากหลาย เธอต้องการให้เรื่องราวของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น
ตอนเป็นเด็ก เธอดูโทรทัศน์กับพ่อและพี่ชายทั้งสาม และเธอพยายามเลียนแบบนักแข่งในทีวีโดยการขึ้นไปบนรถมอเตอร์ไซค์ของพ่อที่จอดอยู่ในโรงจอดรถและจินตนาการว่าเธอเป็นนักแข่งรถในสนาม
แม้ว่า 'แฮร์เธอร์ แมคเลนนัน' จะไม่เคยเป็นนักแข่งมืออาชีพ แต่ในปี 2015 เธอได้รับหน้าที่ดูแลเรื่องการบริหารและจัดการการเดินทางของ'เซปัง เรซซิ่ง ทีม'
ทุกคนจดจำวันที่ถูกถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรได้ แต่แฮร์เธอร์ยังหาคำตอบที่ชัดเจนยังไม่ได้ แม้ว่าเธอจะเป็นฝ่ายประสานงานของหนึ่งในทีมใหญ่ในโมโตจีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ
และมันเกิดขึ้นในครอบครัวที่แฮร์เธอร์ร่วมแบ่งปันและทะนุถนอมความหลงใหลในกีฬานี้ การลงมือทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่แน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นอาชีพของเธอในวันนี้
"ตอนปี 2006 ตอนนั้นฉันอายุ 20 ปี ฉันไปดูการแข่งขันเวิลด์ ซูเปอร์ไบค์และรู้เลยว่า นี่แหละคือที่ของฉัน
พอถึงตอนที่ต้องเลือกเรียนในมหาวิทยาลัย ฉันจึงเลือกเรียนการประชาสัมพันธ์และการจัดการกิจกรรม สามปีต่อจากนั้นหลังจากที่ฉันได้รับคุณวุฒิ ฉันเริ่มหางานในสายนี้"
เพราะไม่มีคนรู้จักในแวดวงมอเตอร์สปอร์ตโดยตรง แฮร์เธอร์จึงค้นหาชื่อทีมที่เข้าร่วมการแข่งขันเนชั่นแนล ซูเปอร์ไบค์ แชมป์เปี้ยนชิพในอินเตอร์เน็ต และส่งใบประวัติส่วนตัวและจดหมายหางานให้กับพวกเขา มันใช้เวลาพอสมควร บ้างก็โดนปฏิเสธ บ้างก็ไม่ตอบกลับ แต่สุดท้าย โอกาสก็ปรากฏขึ้นเมื่องานแผนกต้อนรับในการแข่งขัน'บริทิช ซูเปอร์ไบค์ แชมป์เปี้ยนชิพ'เปิดรับสมัครพนักงาน แฮร์เธอร์จึงรวบรวมประวัติการทำงานที่ผ่านมาสมัครงานนี้ไป
ในตอนที่เธอยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ตอนที่ต้องเลือกหัวข้อในการทำธีสิส เธอสามารถเลือกได้โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ
"หัวข้อเป็นเรื่องทัศนคติเกี่ยวกับผู้หญิงที่ทำงานในวงการมอเตอร์สปอร์ต พื้นฐานมาจากประสบการณ์ของตัวฉันเอง ฉันเข้าไปในแพดด็อกของทัวร์ริ่ง คาร์ และพบว่ามีผู้หญิงเพียงน้อยนิดมาก ฉันก็เลยถามพวกเธอว่าอะไรคือเรื่องยากที่ต้องเผชิญกว่าจะเข้ามาทำงานในแพดด็อกได้ ทำไมผู้หญิงถึงมีน้อย และผลสะท้อนจากเรื่องนี้"
มันเป็นหัวข้อที่ละเอียดดีและซับซ้อนที่แฮร์เธอร์ต้องการสืบค้นและถอดความหมายออกมา
"ตอนที่ฉันเจอผู้คนใหม่ๆและบอกว่าฉันทำงานส่วนนี้ในสนามนะ มันจะมีสองปฏิกิริยาตอบกลับมาคือ คนที่ทึ่งกับตื่นเต้นและบางคนที่ดูเกือบจะอารมณ์เสียกับความคิดที่ว่าผู้หญิงก็สามารถทำงานและได้รับความสนใจในวงการมอเตอร์สปอร์ต"
เธอต้องจัดการกับการถูกมองเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่เคยเจอมา แทนที่จะยอมแพ้ แต่เธอกลับพาตัวเองไปสู่ความเป็นมืออาชีพและตัดสินใจที่จะเปลี่ยนมัน แต่การเปลี่ยนแปลงก็ต้องใช้เวลา
"มีหลากหลายสิ่งที่เปลี่ยนไปในช่วงเวลาหลายปีและในแพดด็อกก็เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน สื่อต่างๆให้ความสนใจกับผู้หญิงมากขึ้น และให้ผลสะท้อนอะไรต่อสังคมบ้าง สร้างตัวอย่างที่สามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กผู้หญิงรุ่นใหม่ได้เห็นว่ามีคนทลายกำแพงแล้ว และค้นหาตัวเองด้วยมุมมองที่กว้างขึ้นในโอกาสการทำงาน"
"ตอนที่เริ่มทำงานใหม่ๆ ฉันเป็นคนขี้อายมากและมันไม่ง่ายเลยที่จะดึงเอาความเป็นตัวเองออกมา ฉันต้องเอาชนะความท้าทายมากมายเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ฉันทำอยู่ในวันนี้ และการเป็นแบบนั้นทำให้ฉันมีความมั่นใจมากขึ้น เมื่อเรามีความตั้งใจกับงาน พวกคอมเม้นท์ต่างๆก็จะหายไปเอง"
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือสิ่งที่เป็นปัจจุบันและจับต้องได้อย่างใน #WomenInMotoGP ตามที่แฮร์เธอร์บอกกับพวกเรา
"มีความสามัคคีกันในเหล่าผู้หญิงที่ทำงานในแพดด็อก ส่วนตัวแล้วฉันไม่ได้รู้จักพวกเธอทั้งหมด แต่เวลาที่เราเจอกันก็มักจะทักทายกันเสมอ แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักเรื่องราวหรือสิ่งที่ผ่านมาของพวกเธอเลย ฉันให้เกียรติและชื่นชมพวกเธอเสมอ เพราะกว่าจะมาตรงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เบื้องหลังรอยยิ้มที่ดูเขินๆนั้นคือความชื่นชมที่มีให้กันและกัน
การผจญภัยของแฮร์เธอร์ในโลกของโมโตจีพีเริ่มต้นขึ้นในปี 2012
"เพื่อนของฉันที่เป็นช่างในเวิลด์ แชมป์เปี้ยนชิพบอกว่าทีมมาร์ค วีดีเอสกำลังมองหาสต๊าฟแผนกต้อนรับ ฉันมองว่านั่นเป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้เลย และสองปีต่อมาฉันก็ได้เข้าไปอยู่ในทีมของเขา"
เธอทำให้ตัวเองเป็นที่รู้จักในสภาพแวดล้อมนี้และมักจะกระตือรือร้นเวลาได้ยินเรื่องราวของคนอื่นเสมอ
"วันหนึ่งโยฮัน สติกเฟลท์ ผู้อำนวยการทีมในปัจจุบันบอกฉันว่าเขากำลังทำทีมใหม่ นักแข่งในทีมคือโยฮัน ซาร์โก้ และเขากำลังมองหาฝ่ายประชาสัมพันธ์ ซึ่งมันเป็นข่าวดีมากที่ฉันได้รับ ในปี 2014 ฉันจึงทำงานในทีมคาร์เธอแฮม โมโต เรซซิ่งทีม และในปีต่อมา เราก็ได้พบกับราซลัน ลาซารี่และกลายเป็นทีมเซปัง เรซซิ่งทีม"
จากปี 2014 มาจนถึงวันนี้ หลายๆสิ่งเปลี่ยนแปลงไปสำหรับแฮร์เธอร์และทีมใหม่ของเธอ ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่สามารถบอกได้ชัดจากการที่เริ่มต้นในทีมโมโตทรี พวกเขาก็ก้าวขึ้นมาในทีมโมโตทู และในปี 2019 พวกเขากลายมาเป็นส่วนหนึ่งในโมโตจีพี ปีแรกที่เดบิวต์ในเวทีใหญ่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ได้รางวัลทีมอิสระที่ดีที่สุดแห่งปี และนักแข่งในทีมที่ตอนนี้ย้ายขึ้นไปอยู่ทีมโรงงานยามาฮ่าอย่าง 'ฟาบิโอ กวาตาราโร่' ก็ได้รางวัลรุกกี้ ออฟ เดอะ เยียร์
ในครั้งแรก แฮร์เธอร์ดูแลเรื่องการเดินทางให้แค่สิบคน แต่ไม่กี่ปีผ่านไป ลิสต์ที่เธอต้องจัดการเพิ่มขึ้นจากสิบคนขึ้นไปเป็นหกสิบสามคน
"ช่วงเริ่มต้นฉันเป็นผู้หญิงคนเดียวในทีมและหลังจากนั้นก็มี ชิเอร่า อกอสตินี่ เข้ามาเป็นผู้จัดการแผนกต้อนรับ มันเป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้ทำงานร่วมกับเธอ ในตอนนี้เรามีผู้หญิงหกคนในทีม"
โรคระบาดโควิด-19 ทำให้แฮร์เธอร์ต้องทำหน้าที่หลายอย่างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เธอต้องคอยอัพเดทกฏต่างๆที่เปลี่ยนแปลงตามสนามที่ไปแข่งขันและมั่นใจว่าทุกคนต้องยินยอมตามนั้น และต้องเช็คให้ดีว่านักแข่งและคนในทีมมีทุกอย่างตามที่ต้องการแล้ว แม้ว่าจะดูเป็นตารางที่ค่อนข้างยุ่ง แต่เธอก็มีเวลาซึมซับบรรยากาศในสนาม
"ในระหว่างช่วงแข่งฉันจะเป็นฝ่ายสนับสนุนทีมและวางแผนถึงสิ่งที่จะทำต่อไป แต่ก็มีเวลาในพิทมากพอและดูสิ่งที่เกิดขึ้นในสนาม ช่วงเวลาที่ฉันชอบที่สุดคือตอนก่อนการแข่งขัน บรรยากาศก่อนที่นักแข่งจะลงสนามเป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก ความมุ่งมั่นที่แลดูจับต้องได้ สัญญาไฟดับลงและการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น"
ในปี 2021 บุคคลผู้เป็นดั่งสัญลักษณ์ของกีฬาสองล้ออย่างวาเลนติโน่ รอสซี่ร่วมงานกับทีมเปโตรนาส เอสอาร์ที และสิ่งนี้สร้างความภูมิใจสำหรับแฮร์เธอร์ที่ได้ทำงานเคียงข้างหนึ่งในนักแข่งรถที่เป็นที่รู้จักที่สุดในวงการมอเตอร์สปอร์ต
"ฉันมีสิทธิ์พูดได้เลยว่ากำลังทำงานที่ใฝ่ฝันไว้ ปีนี้ฉันได้ทำงานกับหนึ่งในนักแข่งที่ยิ่งใหญ่ตลอดกาล ฉันอยากบอกเด็กรุ่นหลังว่า การเชื่อมั่นในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เชื่อมั่นว่าเราสามารถเป็นส่วนหนึ่งในสภาพแวดล้อมนี้ได้ หรือไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ฉันอยากให้พวกเขามีความเข้มแข็งมากพอที่จะทำตามความฝันของตัวเองให้สำเร็จ"
ต้นฉบับ:
https://www.motogp.com/en/news/2021/04/08/overcoming-challenges-has-brought-me-to-where-i-am-today/367663
1st: 19/12/2021 10:06
2nd: 24/12/2021 09:48
3rd: 27/12/2021 10:34,15:11
DONE ✅: 27.12.2021 17:37
ป.ล.
อยากหัดแปลแบบภาษาสวยๆมากคับพี่น้อง5555
แปลแล้วก็รู้สึกว่า แล้วการเป็นผู้หญิงไม่มีสิทธิ์ทำงานในสนามแข่งรถเลยเหรอ? ทำไมต้องมองโลกแคบจัง
แม้ว่าเรื่องพละกำลัง โอเคล่ะ อาจจะไม่เท่าผู้ชาย แต่ดูที่มันสมองและความเป็นมืออาชีพกันดีกว่า
อย่าตัดสินว่าคนอื่นไม่มีสิทธิ์เพียงเพราะเพศสภาพของเขาเลย
ผิดพลาดตรงไหน ทักท้วงมาได้เลยนะคะ ขอบคุณค่าา?
MMAYSP93
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in