หลังจากพูดเกริ่นเปิดงานเสร็จเรียบร้อยแล้วซั่งชิงหัวก็แบ่งคนเป็นสองกลุ่ม แน่นอนว่าเขาทำตามที่ตกลงไว้อย่างดีโดยการแยกให้หลิ่วชิงเกอกับน้องสาวไปอยู่กับอีกกลุ่ม แต่ก็ไม่วายทำท่าถูมือหันมากระหยิ่มยิ้มย่องให้เสิ่นจิ่วเหมือนอยากนำเสนอผลงานเสียเต็มประดา
ส่วนผู้ร่วมทัวร์บางคนที่พอได้ยินกิตติศัพท์ความจิตแข็งของเสิ่นจิ่วมาบ้างก็พากันมาล้อมหน้าล้อมหลัง ดูแล้วเหมือนฝูงลูกเจี๊ยบไม่มีผิด
ซั่งชิงหัวเมียงๆ มองๆ แล้วก็ลำพองใจกับบารมีของลูกพี่ตัวเองเหลือหลาย ชายหนุ่มกระแซะเข้าไปใกล้แล้วแกล้งทำเป็นถามว่า
“ลูกพี่ๆ ตกลงว่าหอใหม่เป็นไงบ้างอะ? ไม่เจออะไรจริงๆ เหรอ? เห็นเขาว่าเฮี้ยนมากเลยน้า”
เสิ่นจิ่วเหลือบมองมาทางเขา ท่าทางดูรำคาญแต่ก็ตอบว่า “ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ”
ซั่งชิงหัวยังไม่สาแก่ใจ ทำเสียงสูงถามต่ออีก “พูดจริ๊ง?? หอ 14 นี่ผมได้ยินคนโดนหลอกเข้าหนักๆ มาตั้งเยอะ!”
ทันทีที่คำว่า ‘หอ 14’ หลุดออกไป รอบข้างก็พลันเสียงดังฮือฮาขึ้นมา กระทั่งคนที่ไม่ได้สนใจเสิ่นจิ่วทีแรกก็ยังกระเถิบเข้ามาใกล้ขึ้นหลายคืบ
หอ 14 เป็นหอที่อยู่ไกลจากอาคารเรียนที่สุด อยู่ชิดกำแพงหลังของมหาวิทยาลัยที่อีกฝั่งหนึ่งเป็นสุสานเก่าสมัยสงคราม ที่ถึงจะได้รับการดูแลรักษาให้สะอาดเป็นระเบียบแต่ก็ยังให้บรรยากาศอึมครึมอยู่ตลอดเวลา มิหนำซ้ำตัวตึกยังเคยถูกซินแสทักว่ามีฮวงจุ้ยอัปมงคลอย่างสุดจะบรรยาย ไม่สมควรจะทำเป็นสถานที่อยู่อาศัยเลยสักนิดเดียว
ไม่หมดเพียงเท่านั้น นอกจากเพราะตำแหน่งที่ตั้งแล้ว หอ 14 นี้ก็ยังมีต้นเหตุของความขึ้นชื่อลือชาอยู่อีกอย่างหนึ่ง...
“รุ่นพี่อยู่หอ 14 เหรอคะ!?” หนิงอิงอิง สาวน้อยเฟรชชี่สวยใสสุดตึงทำเสียงสูงตามไปด้วย
ไม่รู้ว่าเพราะดวงตากลมโตแสนน่ารักหรือเพราะรูปสกรีนตัวการ์ตูนบนเสื้อที่ถูกยืดจนบิดเบี้ยวของเจ้าหล่อน แต่คราวนี้เสิ่นจิ่วยอมตอบแต่โดยดี ไม่ได้ทำน้ำเสียงเบื่อหน่ายหรือรำคาญเท่าก่อนหน้า
“อืม ค่าเช่าไม่แพง ไม่ต้องมีรูมเมทด้วย”
“ไม่มีรูมเมท!! อย่าบอกนะว่า...!?!” ชายหนุ่มหน้าตอบอีกคนร้องเสียงหลงแทรกขึ้น ยิ่งทำให้คนอื่นๆ อยากรู้ ส่งเสียงเร่งให้เฉลยกันเซ็งแซ่
“อะไร?”
“อย่าบอกนะว่าอะไร?!”
“พูดๆ มาซักที! อย่าปล่อยให้คนอื่นรอนาน!”
ท่ามกลางความโกลาหล ซั่งชิงหัวที่ปล่อยเบ็ดล่อเหยื่อสำเร็จป่านนี้หน้าบานเป็นจานเชิงไปเรียบร้อยแล้ว
“กะ...ก็ห้อง 505 น่ะสิ!”
“ห้อง 505!?!”
“ใช่! ห้อง 505 น่ะนะ...เมื่อสิบปีก่อน...มีรุ่นพี่คนนึงทำพิธีประหลาด! ช่วงปิดเทอมที่รูมเมทกลับบ้าน เขาปิดห้องขังตัวเองอยู่ในนั้นไม่ยอมออกมาเลยแม้แต่ก้าวเดียว ผ่านไปหลายเดือนจนพอถึงเปิดเทอม...รูมเมทกลับมาแล้วก็ได้กลิ่นเหม็นๆ แปลกๆ...”
ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปที่คนเล่าเรื่อง ต่างคนต่างลุ้นกันตัวโก่งจนไม่กล้าส่งเสียงอย่างกลัวจะขัดจังหวะ
“พอเปิดประตูออกมา ก็เห็นซากแห้งของเขานอนตายอยู่ในนั้น!!!”
รอบด้านมีแต่เสียงสูดหายใจอย่างตื่นตะลึง ก่อนที่ใครอีกคนจะกระโจนเข้าร่วมผสมโรงด้วยอีกว่า
“ไม่ใช่แค่นั้นนะ ตอนที่ผู้ดูแลหอไปถึงก็เห็นมีแต่เลือดเต็มไปหมด ทั้งพื้น ผนัง เพดาน ก็โดนย้อมจนแดงฉาน ในห้องมีของประหลาดน่าขนลุกอยู่เต็มไปหมด...มีซากนกถูกตอกไว้กับประตู มีกระดูกแมวห้อยจากโคมไฟ บนชั้นมีกระถางธูปเทียนวางของไหว้บูชาอะไรซักอย่าง แถมยังมีเขียนตัวอักษรแปลกประหลาดเอาไว้เต็มไปหมด!”
ฝ่ายคนเล่าคนแรกพอถูกแย่งซีนไปแล้วก็ไม่ยอมแพ้รีบพูดแทรกขึ้นเล่าฉากไคลแมกซ์
“แล้วที่สยดสยองที่สุดก็คือ...ซากหัวหมูที่วางไว้บนหมอน!!!”
ซั่งชิงหัวพอสบโอกาสงามแล้วก็รับลูก เสริมความสยดสยองต่ออีกว่า
“หลังจากนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในห้อง 505 ก็มักจะได้กลิ่นคาวเลือดกับกลิ่นธูป หรือไม่ก็เห็นเงาคนสวดพึมพำภาษาที่ฟังไม่ออก บางครั้งตื่นขึ้นมากลางดึกจะเห็นทั้งห้องถูกย้อมเป็นสีแดงไปด้วยเลือด...แล้วถ้ายิ่งเป็นคนจิตอ่อน ตอนนอนก็จะมีโอกาสพลิกตัวหันไปเห็นซากหัวหมูนอนอยู่บนหมอนเดียวกัน!”
พวกผู้ชายพากันเผยสีหน้าสะอิดสะเอียน ในขณะที่ผู้หญิงก็เอามือปิดปาก ร้องวี้ดว้ายกันเบาๆ ปฏิกิริยาแตกต่างหลากหลาย แต่ทุกคนล้วนหน้าซีดเผือดเหมือนกันหมด
“ระ...รุ่นพี่เสิ่น...ไม่เจออะไรจริงๆ เหรอคะ?” หนิงอิงอิงขยับเข้าไปใกล้ น้ำเสียงเธอทั้งฟังดูกังวลและเลื่อมใสอยู่ในที
“โอ๊ย ลูกพี่น่ะจิตแข็งจนไม่เจออะไรทั้งนั้นแหละ เผลอๆ จะกลายเป็นเพื่อนซี้กับผีเจ้าที่ไปแล้วด้วยมั้ง”
รอบตัวส่งเสียงดัง “เอ๋??” ขึ้นอย่างพร้อมเพรียง คนเล่าคนฟังรับส่งไหลลื่นอย่างกับเขียนบทเตี๊ยมกันมา
“ตั้งแต่ย้ายหอมาเขาก็ไม่เคยเข้าเรียนสายอีกเลย ต่อให้ไม่ตั้งนาฬิกาปลุกก็ยังมีเสียงโน่นนี่มาช่วยปลุกแทนทุกที!”
“เพราะห้องข้างบนชอบทำเสียงดังตลอดเวลาต่างหาก”
“แต่ลูกพี่เคยบอกว่าได้ยินเสียงคนเรียกด้วยนี่นา”
“ก็แค่คิดไปเอง”
“แล้วที่เคยเห็นเงาเดินตามตอนนั้น...?”
เสิ่นจิ่วยังคงยืนกราน พูดปัดอย่างหนักแน่นว่า “ผีไม่มีจริง”
...แต่ตอนนี้คุณกำลังช่วยผมทำธุรกิจที่หากินบนความเชื่อเรื่องผีนะครับ!!!
ซั่งชิงหัวสะดุ้งโหยง รีบยื่นมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายไม่ให้ทำลายความน่าเชื่อถือของกิจการไปมากกว่านี้ ขณะเดียวกันอีกทางหนึ่งก็รีบร้องเสียงดังเบี่ยงเบนความสนใจ
“โอ๊ะ ถึงแล้ว! นี่ไงห้องทดลองห้องแรกที่พูดถึง ดูสิ ตรงโน้นยังมีเครื่องไม้เครื่องมือวางอยู่เลย...”
เหล่าผู้คนที่มาเพื่อดูสิ่งน่ากลัวอยู่แล้วต่างถูกดึงดูดได้อย่างง่ายดาย ซั่งชิงหัวสวมบทบาทหัวหน้าทัวร์พูดบรรยายต่อเจื้อยแจ้ว
“อย่างที่บอกไปแล้วว่าความเป็นอยู่ที่นี่ไม่ต่างอะไรไปจากคุก นอกจากผู้ดูแลจะทำโหดร้ายทารุณกับพวกคนไข้แล้ว พวกหมอก็ยังทำการทดลองแปลกๆ หลายอย่าง มีทั้งกรณีจงใจแพร่โรคเพื่อใช้ในการศึกษา มีทั้งที่ทำร้ายคนไข้เพื่อสนองความซาดิสต์ของตัวเอง แล้วก็ยังมีหมอวิปริตที่มีทฤษฎีแปลกๆ เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่หาวิธีการทดลองพิสดารมาใช้ เพราะงั้นวิญญาณที่หลอกหลอนอยู่ที่นี่ถึงได้เฮี้ยนมีอิทธิฤทธิ์มากเป็นพิเศษ...”
ต่อจากนั้นชายหนุ่มก็ยังใช้คำว่า ‘ติดต่อมัจจุราช’ หรือไม่ก็ ‘ทำพันธสัญญากับปิศาจ’ ได้หน้าตาเฉย แถมยังเล่าถึงเหตุการณ์หลุดโลกต่างๆ นานาอย่างเคร่งขรึมจริงจัง ผูกโยงเรื่องราวของโรงพยาบาลร้างกับประตูผีและการทดลองของหน่วยงานลับเอาไว้ด้วยกันแนบเนียนจนเสิ่นจิ่วอยากจะเสนอให้ไปเขียนนิยายเป็นอาชีพดูบ้าง
บรรยายสาธยายจนยืดยาวไปจนคอแห้งแล้วก็เป็นช่วยปล่อยให้สำรวจห้องกันอิสระ ซั่งชิงหัวกระแอมไอเล็กน้อย ก่อนจะลากคนข้างตัวไปบรีฟกันตามลำพังอีกรอบด้วยเสียงกระซิบกระซาบว่า
“ก็บอกแล้วไงว่าอย่าพูดยังงั้น! จะบอกว่าจิตแข็งหรือพกยันต์เจ้าดีอะไรก็ว่าไปสิ อย่าลืมนะว่านี่ผมทำทัวร์ล่าท้าผี! ถ้าลูกพี่ทำทุกคนเชื่อว่าผีไม่มีจริงขึ้นมาผมก็เสียลูกค้ากันพอดี!”
เสิ่นจิ่วพ่นลมหายใจนิดๆ เหมือนอยากจะเถียงกลับ แต่สุดท้ายก็เพียงพยักหน้ารับว่า “เออๆ” ด้วยหน้าตาแสนระอาเหม็นเบื่อ แล้วยังยอมให้เขาเท้าแขนบนไหล่แต่โดยดี
ถึงท่าทางจะเหมือนไม่ได้อ่อนลงเลยสักนิด แต่เมื่อมองจากสายตาคนสนิทสนิมแล้วก็เห็นชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังยอมรับผิดอยู่
ถึงเมื่อก่อนจะไม่เคยคลุกคลีกันเท่าไหร่นัก แต่พอได้มารู้จักใกล้ๆ นานเข้าแล้วซั่งชิงหัวก็ถึงค่อยค้นพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้น่าสะพรึงกลัวอะไรขนาดนั้น ขอแค่ตั้งใจสังเกตลักษณะท่าทางเล็กๆ น้อยๆ สักหน่อยก็จับทางได้แล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ถือสาหาความ ซั่งชิงหัวยิ้มแห้งๆ พลางกระแซะใส่อีกฝ่าย สรรเสริญเยินยอน้ำลายแตกฟองต่อไปไม่หยุด
“แหะๆ แต่เพราะมีลูกพี่เสิ่นนี่แหละผมถึงได้อยู่มาได้นานขนาดนี้นะ เฮ้อ จะให้ขอบคุณยังไงก็...อู๊ย!”
ชายหนุ่มสะดุ้งโหยง แขนข้างที่บังเอิญแตะกันพลันเจ็บแปลบเพราะกระแสไฟฟ้าสถิต
“ฮึ” ตัวต้นเหตุทำเสียงเย้ย
ซั่งชิงหัว “...”
เขาสะบัดๆ มือแล้วยกปลายนิ้วขึ้นมาเป่า ทำเป็นไม่เห็นสายตา ‘สมน้ำหน้า’ ที่ส่งมาจากเสิ่นจิ่วขณะบ่นงุบงิบกลบเกลื่อนว่า
“นี่ก็ช็อตเก่งเกิ๊น ไปหากำไลคลายประจุมาใส่ซักทีเถอะ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in