‘ปิงเกอเป็นหมาใหญ่ใจดี อาจิ่วเป็นแมวน้อยซึนเดเระ’
เสิ่นหยวนเข้าใจว่าตัวเองรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงทั้งสองของตัวเองเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าความจริงแล้ว...
ท่ามกลางความมืด เงาร่างเล็กๆ ที่กำลังหมอบอยู่บนที่นอนค่อยๆ ขยับ
แสงจันทร์ด้านนอกหน้าต่างยังส่องสลัวสงบนิ่ง ทว่าเงานั้นกลับวูบไหว บิดเบี้ยวไปมาราวภาพสะท้อนในเงาน้ำ
อาจิ่วลุกขึ้นนั่ง ยังไม่ทันได้ชินกับร่างกายอีกแบบก็มีใครคนหนึ่งโผเข้ามาตะครุบเสียก่อน ทั้งตัวท่อนบนถูกโอบรัดไว้ด้วยท่อนแขนแข็งแรง ก่อนที่จะตามมาด้วยริมฝีปากพรมจูบ
เขาพยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงได้แต่ปัดป้องด้วยคำพูด
“ไปไกลๆ เลยนะไอ้หน้าขน”
ปิงเกอหัวเราะ จมูกยังซุกไซ้อยู่กับซอกคออาจิ่วไม่ยอมถอยห่าง “พวกเรามันก็หน้าขนกันทั้งคู่ไม่ใช่รึไง?”
อาจิ่วเดาะลิ้น โมโหที่ด่าไปแล้วดันย้อนเข้าตัว
เขาเอียงหน้าหลบอย่างไม่ค่อยจะพ้นเท่าไหร่นัก ในขณะที่ปากก็พูดจิกกัดต่อว่า
“ไอ้หมาพันธุ์ทาง! ไอ้ลูกผสม! ปล่อยมือเดี๋ยวนี้นะ!”
ทว่าคำด่าเหล่านี้ ปิงเกอก็ได้ยินจนชินไปหมดแล้ว ชายหนุ่มเพียงส่งเสียงว่า “อือฮึ” เป็นเชิงรับรู้ขณะที่สองมือตะโบมโลมไล้ไปตามแผ่นอกและหน้าท้องเรียบลื่น ถึงแม้ขนยาวๆ นั่นจะนุ่มนิ่มดี แต่นานๆ ครั้งพอได้สัมผัสผิวกายในร่างมนุษย์แล้วก็ทำให้ตื่นเต้นขึ้นมาได้ไม่ยาก
“นี่!!”
ปิงเกอชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะหยุดปากที่กำลังไล่ต่ำลงแล้วเงยหน้าขึ้น ช้อนตามองเขาตาปริบๆ อย่างเสแสร้งไร้เดียงสาขณะทำเสียงเตือนดัง ชู่ว และกระซิบเตือนว่า
“อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวเสิ่นหยวนก็ตื่นหรอก”
อาจิ่วถลึงตามองค้อน กำลังจะโต้กลับว่า ‘ก็อย่ามาทำรุ่มร่ามใส่ฉันสิ!’ แต่ก็ต้องตระหนกเมื่อเจ้าหมาลามกเริ่มหันกลับไปสนใจที่หน้าท้องของตัวเอง
แรงสัมผัสของมือข้างหนึ่งที่คว้าเอวไว้นั้นแผ่วเบา เช่นเดียวกันกับปลายนิ้วของมืออีกข้างที่ลากไล่จากแผ่นอกลงมา คละเคล้ากับลมหายใจอุ่นชื้นและริมฝีปากนุ่ม
ประสาทสัมผัสของเขารับรู้ว่าปิงเกอช่างทำให้รู้สึกดีเหลือเกิน แต่ถึงกระนั้น เบื้องใต้รอยร่องของความอ่อนโยนก็กลับยังมีเค้าบาดแผลและความเจ็บปวดเก่าแก่ซ้อนทับอยู่
อาจิ่วพลันลนลาน ในอกโหวงวูบว่างเปล่าแต่ในหลอดลมกลับคล้ายมีอะไรสกัดกั้นเอาไว้
“เดี๋ยว...” เสียงหลุดรอดออกมาได้เพียงแผ่วเบา ฟังแล้วราวกับเสียงหายใจหอบมากกว่าคำพูด
รอยของมีคมบนผิวต่างแห้งตกสะเก็ด และหลุดลอกออกเหลือเพียงแผลเป็นมานานแล้วก็จริง แต่เมื่อสัมผัสของปิงเกอขยับเข้าใกล้ ร่องรอยสีขาวเหล่านั้นก็กลับจะเจ็บแปลบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
“ยะ...อย่าจับ!” คำทักท้วงที่ถูกเอ่ยออกมาด้วยทำนองประหนึ่งเสียงสะอื้น ผิดวิสัยเข้มแข็งดุร้ายในยามปกติของตัวเองไปไกลนัก แต่เวลานี้อาจิ่วก็กำลังตื่นตระหนกเกินกว่าจะมานึกตำหนิตัวเอง อุ้งมือแบบมนุษย์ที่มีสิบนิ้วเรียวยาวพยายามต่อต้านอย่างเก้กัง
กระนั้นปิงเกอก็กลับยอมหยุดให้กับแรงผลักอ่อนจ้อยนั้น ชายหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองอีกครั้ง ครานี้ปราศจากเงาสีหน้าเสแสร้ง มีเพียงแต่ประกายที่ดูลึกล้ำเสียจนทำให้คนมองใจหวั่น
“เจ็บเหรอ?”
อาจิ่วลังเล ก่อนที่ในที่สุดจะยอมพยักหน้าอย่างช้าๆ ด้วยริมฝีปากเม้มแน่น
“ไม่เป็นไร” จุมพิตประทับนาบลงมาบนผิวเนื้ออ่อน “ไม่เจ็บแล้ว”
ลิ้นร้อนโลมไล้ไปตามแต่ละรอยแผล หากเป็นยามปกติอาจิ่วคงนึกแค่นว่าช่างสมกับเป็นสุนัข แต่สำหรับตอนนี้ เขาทำได้เพียงสะกดกลั้นเสียงคราง ในขณะที่สัมผัสซ่านซึมลึกส่งไปถึงช่วงท้องน้อย
เจ้าสุนัขตัวโตในร่างมนุษย์นั้นยังไม่ทิ้งสัญชาตญาณเดิม ปิงเกอค่อยๆ เลียไปทีละจุด บรรจงปลอบประโลมเงาตกค้างของความเจ็บปวดไปด้วยปลายลิ้น การกระทำนุ่มนวลตรงข้ามกับแวววามในดวงตา
มันคือแววตาที่อาจิ่วไม่มีทางได้เห็น และเป็นแววตาที่เสิ่นหยวนไม่เคยเห็น
แววประกายคมปลาบ ดุดันและป่าเถื่อนเกินกว่าที่สุนัขบ้านแสนเชื่อฟังตัวหนึ่งควรจะมี
...โชคดีแล้วที่อาจิ่วไม่ได้อยู่ใกล้มนุษย์คนนั้นอีกแล้ว...
ไม่เช่นนั้น เขาอาจพลั้งทำให้อาจิ่วหวาดกลัวตัวเองเสียแทน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in