เมื่อจิตใจของผู้ควบคุมความฝันไม่มั่นคง ผู้คนที่อยู่รอบข้างก็มีโอกาสถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห้วงฝัน
และแน่นอนว่าเมื่อครอบครองดาบอย่างซินหมัว ความมั่นคงไม่ว่าด้านพลังปราณหรือจิตใต้สำนึกก็ล้วนย่อมหาได้ยากยิ่ง
เสิ่นชิงชิวโบกพัดในมือ ผ่านมาจวบจนป่านนี้ก็คุ้นชินกับการกลับมามีร่างในสภาพสมบูรณ์ไปแล้ว
กอต้นไผ่รอบกายยังคงสีเขียวชอุ่ม อวลกลิ่นหอมระรวยที่ถูกกล่าวว่าช่วยให้รู้สึกสดชื่นและสงบใจ ห่างออกไปไกลๆ แว่วเสียงลำธารริน เสียงนกร้อง และเสียงใบไม้เสียดสีตามสายลมเบาบางเป็นครั้งคราว
เขากึ่งนั่งกึ่งเอนอยู่บนตั่ง พัดด้ามจิ้วในมือทั้งน้ำหนักและรูปทรงเหมาะมือสมดังความคุ้นชินที่ติดอยู่ในความทรงจำ ข้างตัวมีหนังสือและถ้วยชา ในขณะที่บนพื้นมีร่างหนึ่งคุ้ดคู้ฟุบหน้าลงอยู่กับตั่ง
เสิ่นชิงชิวโบกพัดอีกครั้ง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
ยังคงเป็นชิงจิ้งเฟิง ยังคงเป็นป่าไผ่ ยังคง...มีแต่ตนและลั่วปิงเหอ
เหมือนเช่นดังอดีต เป็นอย่างนี้ทุกครา
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จู่ๆ ลั่วปิงเหอที่เคยสนใจแต่จะเย้ยหยันความอัปยศอดสูของเศษสวะอย่างเขา วันหนึ่งก็กลับมาจับจดกับเรื่องในอดีตอีกครั้ง
ลั่วปิงเหอใช้วิธีทรมานเล่นลูกไม้มากมาย แต่เขาก็ไม่เคยตอบสนองต่อคำท้วงถามหรือบีบคั้นใดๆ เหล่านั้น
อาจจะเรียกได้ว่านั่นคือการต่อต้าน แต่เสิ่นชิงชิวก็รู้สาเหตุแท้จริงอยู่ดีแก่ใจ...
มันเป็นเพราะเขาหยุดคิดเรื่องในอดีตทั้งหลายไปนานแล้ว นับตั้งแต่เมื่อเยวี่ยชิงหยวนตายไป
สายลมหยุดพัด รอบด้านเงียบลงสงัด พร้อมกับที่ร่างที่หมอบอยู่ข้างกายเริ่มขยับ
ใบหน้ามอมแมมที่มีแต่รอยฟกช้ำเงยขึ้นมองมาหา นัยน์ตาสุกใสสบตรงมา ในลูกตาดำมืดมนลึกล้ำยิ่งกว่าห้วงน้ำหรือท้องฟ้ายามค่ำ
บางที...คงเพราะความคับข้องใจที่เขาไร้ปฏิกิริยา จิตใต้สำนึกของลั่วปิงเหอจึงได้สร้างห้วงฝันนี้ขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
แต่เพื่ออะไร?
“ซือจุน”
คล้ายว่ากำลังจับจ้องสมบัติล้ำค่า ดวงดาราพลันผุดพราวขึ้นในดวงตาคู่นั้น เด็กน้อยส่งเสียงเรียกด้วยรอยยิ้มกว้าง มินำพารอยแผลตรงมุมปากที่ยังมีเลือดไหลอยู่ซิบ
หากจะมีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงในห้วงฝันนี้ ก็คงจะเป็นสภาพของลั่วปิงเหอในแต่ละครั้งที่ปรากฏตัว บางครั้งแขนขาถลอกปอกเปิก บางครั้งตัวเปียกโชก หรือบางครั้งก็มีรอยบวมช้ำอย่างครั้งนี้ แต่ไม่มีครั้งใดที่อยู่ในสภาพหมดจด
กระทั่งจิตใต้สำนึกของเจ้าตัวยังรับรู้ว่าช่วงชีวิตระหว่างเป็นศิษย์ชิงจิ้งเฟิงนั้นน่าสมเพชเพียงใด
เสิ่นชิงชิวไม่ตอบสนอง ใจสงบอย่างไม่อาจคาดคิด ปราศจากทั้งความริษยาชิงชังหรือสงสารอาวรณ์
เดิมทีเด็กน้อยตรงหน้าเหมือนตัวเขาจนเกินไป ล้มลุกคลุกคลาน อ่อนแอไร้กำลัง ใช้ชีวิตอยู่โดยรอคอยความเมตตาจากผู้อื่น...
ทว่าขณะเดียวกันก็กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ลั่วปิงเหอยังมีโอกาส มีพรสวรรค์ มีเวลาในช่วงเวลาที่ดีที่สุดและเส้นทางอนาคตทอดยาว ในขณะที่เขากลับดิ้นรนให้พ้นเลนตมขึ้นมาเพียงเพื่อถูกทอดทิ้งและพบกับทางตัน
เพราะลั่วปิงเหอมีสิ่งที่เขาไม่มี และได้รับสิ่งที่เขาถูกช่วงชิง ดังนั้น...
ดังนั้น...เขาจึงอยากจะทำลายทุกอย่างที่ลั่วปิงเหอมี ไม่ว่าจะเล็กน้อยกระจ้อยร่อยเท่าใด ให้มันพังภินท์ไปเสียสิ้น
“ซือจุนขอรับ?”
เด็กชายเรียกซ้ำ สุ้มเสียงเบาค่อยลงอย่างระมัดระวัง กระนั้นขณะเดียวกันคิ้วตาก็ยังแฝงประกายคาดหวัง
เสิ่นชิงชิวเพียงมองดูอยู่อย่างนั้น อาศัยพัดด้ามจิ้วบดบังสีหน้า ความเฉยชาปกปิดแววตา
...และมันก็แสนง่ายดายที่จะบดขยี้ เมื่อเด็กคนนี้โหยหาความอบอุ่นเสียยิ่งกว่าอะไรดี
กระตือรือร้นเสียจนน่าสะอิดสะเอียน แค่เพียงได้รับความอ่อนโยนเล็กน้อย หรือความปรานีสักเสี้ยวกระผีกก็พร้อมจะยึดเหนี่ยวเอาไว้แน่น ไขว่คว้าวอนขอเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้จักพอ
เขาเคยโต้ตอบให้เจ็บแสบไปแล้วไม่รู้เท่าไร ทั้งคำพูดทิ่มแทง คำกล่าวหาเสียดสี หรือกระทั่งต่อว่าด้วยผรุสวาทหยาบโลน
ไม่รู้เท่าไรที่ได้เอ่ยออกไปเพื่อสนองความสาแก่ใจที่คัดคั่งมาเนิ่นนาน เขาระบายโทสะ สาดเสียเทเสียอย่างเต็มคราบราวกับกำลังทวนซ้ำภาพอดีต
ชิงจิ้งเฟิงแห่งเดิม ป่าไผ่เดิม ตนและลั่วปิงเหอคนเดิม
ดุจเดิมเช่นกัน ที่สิ่งที่ได้รับกลับมาทุกครั้งมีเพียงดวงหน้าบิดเบี้ยวชุ่มน้ำตาและคำขออภัยสั่นเทา
ในขณะที่ลั่วปิงเหอในวันรุ่งขึ้นก็มาเยือนอีกครั้ง ยังคงทวงถามถึงอดีตเดิมด้วยคมมีดเดิม ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในห้วงฝันเหล่านั้นเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ผ่านมาเสียป่านนี้ เสิ่นชิงชิวสนใจเพียงแต่จะเงียบเฉย ใช้เวลาน้อยนิดที่ปราศจากความเจ็บปวดให้คุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งยังโชคดีที่ลั่วปิงเหอในยามนี้ยังมีนิสัยพอทน เมื่อเห็นเขาไม่ตอบสนองถึงสองครั้งแล้วก็นิ่งเงียบ ไม่พยายามรบเร้าอีก
ไม่รู้กี่คืนหรือกี่ห้วงฝันแล้วที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ คนสองคนที่ผูกโยงเข้าด้วยกันด้วยความแค้นล้ำลึก บัดนี้มีเพียงคนหนึ่งนั่งเหม่อลอย โดยที่อีกคนเฝ้าคอยเงียบๆ อยู่ข้างกาย
ความโกรธเกลียดเก่าแก่ใดๆ ก็ล้วนมอดไหม้ไปหมดแล้ว มีแต่เถ้าถ่านเย็นยืดกองกลบ ไม่เหลือเชื้อเพลิงใดให้ปะทุขึ้นใหม่ได้อีก
เขารู้ว่าเป็นตนที่ทำให้ลั่วปิงเหอกลายมาเป็นแบบนี้ ตระหนักดีเสียด้วยซ้ำว่าตนมีส่วนมากเพียงใดที่ทำให้ได้รับจุดจบเช่นนี้...
แต่ขณะเดียวกัน...
“ชานี้เย็นแล้ว” ลั่วปิงเหอผงกศีรษะขึ้น การกระทำผิดแผกไปจากท่าทางเซื่องเชื่ออย่างแล้วมา
เด็กชายยืดตัวขึ้นคุกเข่า ทีท่าว่าจะเอื้อมไปหากาน้ำชาข้างตัวของเขา “เดี๋ยวศิษย์จะไปชงมาให้ใหม่นะขอรับ”
เสิ่นชิงชิวมองตามใบหน้าที่ทั้งปูดโนและฟกช้ำแต่ดวงตากลับยังเปี่ยมแวววาม เด็กที่น่ารังเกียจคนนี้ช่างเผยรอยยิ้มได้ง่ายดายและซื่อตรงอย่างโง่เขลา
เขารวบพัด
ลั่วปิงเหอชะงัก สีหน้าตกวูบลงเมื่อรับรู้ถึงเสียงที่มักนำมาซึ่งโทสะและการลงโทษ
เสิ่นชิงชิวใช้ปลายพัดเชยคางเด็กชายขึ้น ด้วยนึกฉิวกับท่าทีเช่นนั้นจึงยิ่งขมวดคิ้ว
เด็กน้อยหวาดหวั่นเสียจนไม่กล้าขยับตัว ได้เพียงเหลือบมองหลุกหลิก กลืนน้ำลายอย่างยากลำบากทั้งด้วยความตระหนกและตื่นกลัว ประกายในดวงตาที่หม่นลงบัดนี้จึงค่อยดูสมกันกับวงเขียวช้ำที่หางตา เช่นเดียวกันกับสะเก็ดเลือดบนริมฝีปากเม้มแน่น
เขาพิศดูใบหน้านั้น ค้นพบโดยแท้จริงว่าตนไม่หลงเหลือความรู้สึกใดกับเด็กคนนี้อีกต่อไปแล้ว
เด็กน้อยที่เขาหลงลืมว่าไม่ต่างอะไรไปจากตนเองในอดีต
เด็กน้อยคนก่อนที่ทุกอย่างจะบิดเบี้ยวและพังทลาย
เด็กน้อยที่ไม่ใช่ลั่วปิงเหออย่างแน่นอน
เสิ่นชิงชิวถอนหายใจแผ่ว คลายกำมือจากด้ามพัด
ปลายนิ้วแตะลงเหนือรอยช้ำ ผิวเผินเพียงแผ่วเบา คล้ายสัมผัสไม่คล้ายสัมผัส เป็นความอ่อนละมุนอย่างที่ทั้งน้อยและมากที่สุดเท่าที่เขาจะอนุญาตตัวเองให้เผื่อแผ่ให้ได้
ลั่วปิงเหอกะพริบตา ขนตาปัดผ่านปลายนิ้วราวเป็นสัมผัสโต้ตอบ ก่อนที่มือเล็กทั้งสองจะพลันเอื้อมขึ้นคว้าประคองข้อมือของเขาไว้
แรงยึดเหนี่ยวนั้นเรียกร้องอย่างดื้อดึง ทว่าขณะเดียวกันก็เกาะกุมอย่างอ่อนหวานดุจตระกองกอด
“ซือจุน”
เด็กชายเอียงใบหน้า ซบแก้มลงกับฝ่ามือเขาขณะสบตาตรงมา
ดวงดาวพราวพรายในตาคู่นั้นทอแสงจัดจ้า ไม่รู้ว่าด้วยอารมณ์ที่อัดแน่นเบื้องในหรือเพราะหยาดน้ำที่เอ่อคลออยู่กันแน่
ลั่วปิงเหอกระซิบ เสียงเบาค่อยข้างหูแต่ทิ้งตะกอนหนักอึ้งในหัวใจ
“เหตุใดเขาจึงไม่ดีกับข้าเหมือนอย่างท่าน?”
เสิ่นชิงชิวผงะ
เหตุใดน่ะหรือ?
เขาเองก็ไม่รู้ แม้จะตระหนักดีอยู่เต็มอก
เสิ่นชิงชิวไม่ยอมตอบแต่หมายจะดึงมือกลับ ทว่าในขณะที่ทันเพียงบังเกิดความคิดเช่นนั้น ทิวทัศน์รอบกายกลับพลันหลอมละลายลง
จิตใต้สำนึกของลั่วปิงเหอรับรู้ได้รวดเร็วที่สุด
“ซือจุน!!”
เด็กชายตรงหน้าร้องเรียก น้ำเสียงอ่อนเยาว์ที่ควรกระจ่างกังวานแตกพร่าไม่สมวัย นั่นคือหลักฐานของการถูกโลกความเป็นจริงบีบคั้นให้เร่งเติบโตอย่างโหดร้าย
สองมือผละออกจากจากข้อแขน เปลี่ยนกลายมาเป็นเอื้อมหาบางอย่างจากตัวเขา
“ซือจุน!!!”
ร่างเล็กโถมกายเข้าหา ปลายนิ้วทั้งสิบเหยียดออกเสียจนสุดคว้า...
กระนั้น การเคลื่อนไหวที่ถูกแทรกแซงในยามนิทราสิ้นสุดก็เป็นได้เพียงการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าและสูญเปล่า
----------------
เสิ่นชิงชิวลืมตาขึ้นกับความวูบโหวงในอก
วันนี้เขาไม่ได้ถูกใช้ตรวนตรึงหรือโซ่แขวน จึงเพียงพังพาบอยู่กับมุมมืดมุมหนึ่งเท่านั้น
นอกเหนือจากบาดแผลบนร่างที่ยังปวดตุบ ความปวดเมื่อยก็ยังแล่นเป็นริ้วไปตามกล้ามเนื้อน้อยนิดที่ยังเหลือ แก้มข้างหนึ่งของเขานาบอยู่กับพื้นหินเย็นเยียบและอับชื้น รอบตัวคละคลุ้งด้วยกลิ่นคราบเลือดเก่าและหยดเลือดใหม่ผสมกันอย่างชวนคลื่นเหียน
กระนั้นเขาก็ชินกับสิ่งเหล่านี้มาได้นานแล้ว จะเพียงก็แต่เพราะห้วงฝันเมื่อครู่สมจริงเสียเหลือเกิน ปลายจมูกจึงยังคล้ายจะได้กลิ่นไผ่อวลอยู่จางๆ พานให้ความคิดหลงลืมไปชั่วขณะว่าไม่มีแขนขาอีกต่อไป
ห่างออกไป มีเสียงประตูเหล็กเปิดอ้าออก
เขาสูดลมหายใจลึก สะกดกลั้นบางอย่างที่คล้ายจะถูกสายลมในฝันพัดกระพือจนปลิวว่อน
ท่ามกลางความเงียบ มีเสียงฝีเท้าก้องสะท้อนส่งผ่านมาจากสุดทางเดินอีกด้าน
เขาพรูลมหายใจออก ระงับตัวเองไม่ให้นึกถึงชิงจิ้งเฟิงและใครคนที่คอยเคียงอยู่ข้างกาย
เสียงก้าวเดินดังเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที จนกระทั่งชายอาภรณ์สีดำและปลายรอยเท้าปรากฏขึ้นริมครรลองสายตา
เขาพยายาม...แต่ก็กลับยังคงรู้สึกถึงแรงรั้งบนข้อมือที่ไม่มีอยู่จริง สัมผัสใต้ปลายนิ้วและฝ่ามือที่ไม่มีอยู่อีกแล้ว
เสิ่นชิงชิวหลับตาลง และรอคอย
_____________________________________________________________________________________________________
เสิ่นชิงชิวปางปลง(?)ชีวิต VS จิตใต้สำนึก(?)ลั่วปิงเหอ
ตามไทม์ไลน์ ฟิคนี้จะเกิดขึ้นหลังเหตุการ์ปิงเกอทะลุมาเจอปิงเม่ยนะคะ
The Kids Aren't Alright - Fall Out Boy
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in