เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fanfic Compilationmoneymonday
[ตัวร้ายอย่างข้าฯ | ปิงจิ่ว] Kafkatrap II

  • Mafia AU



    "คืนนี้จะมีแจ้งเหตุจากบ้านหลังหนึ่งที่ชานเมือง"




    เสียงไซเรนดังมาไกลๆ กรีดผ่านความเงียบยามค่ำคืนอย่างเชื่องช้า ยิ่งเข้ามาใกล้ก็ยิ่งดังขึ้น คล้ายกับคมมีดที่ทิ้งร่องรอยหนักมือขึ้นในทุกชั่วขณะ


    เสิ่นจิ่วชะงักปลายนิ้วเหนือคีย์บอร์ด


    เสียงนั้นดังขึ้นทุกที ดังเสียจนกระทั่งเจ็บแก้วหูเมื่อแสงสีน้ำเงินส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง


    “มีอะไรน่าสนใจเหรอครับ?”


    ก่อนที่มันจะห่างค่อยออกไปทีละน้อย จนถูกกลบฝังโดยความวุ่นวายของรถราและผู้คนไปในที่สุด


    แต่จนกระทั่งหมดสิ่งจะดึงดูดความสนใจแล้ว เขาก็ยังนั่งนิ่ง รู้สึกราวกับว่าบางอย่างในสมองเกร็งเครียดเสียจนขยับตัวไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว


    แผ่นหลังถูกประกบเข้าใกล้ ลมหายใจร้อนรินรดริมหู


    “มัวใจลอยอะไรอยู่?”


    เสิ่นจิ่วกำหมัดแน่น





    "สิบนาทีหลังจากนั้น นายจะเป็นบุรุษพยาบาลบนรถฉุกเฉินไปที่โกดังไฟไหม้ในเขตอุตสาหกรรม"





    ทันทีที่สิ้นสุดการ 'เจรจา' ครั้งแรกในคืนนั้น เขาถูกพาไปยังอพาร์ทเมนต์อีกแห่งหนึ่ง เจตนาของลั่วปิงเหอชัดเจน ไม่เพียงแต่ด้านนอกถูกเฝ้าจับตาอย่างแน่นหนา กระทั่งตำแหน่งของอพาร์ตเมนต์ยังตั้งอยู่ที่อีกฟากของเมือง ห่างไปไกลจากโรงพยาบาลแห่งนั้นโดยสิ้นเชิง


    ในห้องมีสิ่งของที่ใช้เป็นอาวุธได้อยู่เต็มไปหมด สารเคมีสารพัดในห้องน้ำ มีดชนิดหลากหลายในห้องครัว โดยเฉพาะบนโต๊ะทำงานที่มีทั้งมีดคัตเตอร์ กรรไกร และที่เปิดซองจดหมาย วางเรียงกันราวกับเป็นตัวแทนของคำท้าทาย


    น่าตลกทั้งนั้น คิดแน่หรือว่าระยะห่างที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจะส่งผลกระทบอะไรกับเขาได้?


    เพื่อไม่ให้มีพิรุธ เขาทำทีเป็นพยายามหลบหนีหลายครั้ง มีทั้งที่ถึงกับออกจากห้องไปได้บ้าง หรือถูกทำลายแผนเข้ากลางทางบ้าง และแม้จะมีหงุดหงิดหรือเจ็บใจอยู่บางชั่วครู่ โดยรวมก็ใช่ว่าจะรู้สึกรู้สาเท่าไรนัก เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะสำเร็จแต่แรกแล้ว


    เพียงแต่ ‘การลงโทษ’ ของลั่วปิงเหอเหล่านั้น...


    มีแต่จะทำให้คำว่า ‘เดนมนุษย์’ สลักลึกลง และไม่ได้สร้างความหวาดกลัวอะไรให้กับเสิ่นจิ่วได้เลยสักนิด





    "พอถึงที่นั่น ตำรวจที่ชื่อหลิ่วชิงเกอจะพานายไปที่จุดนัดพบ"





    เสียงไซเรนดังแว่วขึ้นอีกครั้ง ทว่าไม่ได้เข้ามาใกล้ เสียงหวอสลับสูงต่ำนั่นค่อยขึ้นและเบาลง ก่อนจะเคลื่อนห่างออกไปทั้งๆ อย่างนั้น


    เสิ่นจิ่วยังคงจับจ้องแต่หน้าจอตรงหน้า มองเขม็งเสียจนดวงตาแห้งผาก


    หางตาเห็นบางอย่างวาวปลาบ เป็นเพราะแสงของหลอดไฟในห้องสว่างจัดจ้า สะท้อนเงาขอบคมของสิ่งของบนโต๊ะให้ยิ่งดึงดูดความคิด


    เมินเฉย ไม่โต้ตอบ ไม่ตอบสนอง นี่เป็นอำนาจหนึ่งเดียวที่เขาครอบครอง และไม่ว่ามันจะเป็นอำนาจที่กะจ้อยร่อยแม้เท่าไหร่ เขาก็ยังยืนยันจะใช้มันอย่างถึงที่สุด


    ไออุ่นของร่างกายและลมหายใจเบื้องหลังยังรั้งอยู่ อวลไปด้วยกลิ่นเขม่าปืนและน้ำหอมอย่างน่าสะอิดสะเอียน


    หากเป็นคนอื่นอาจรู้สึกว่าอีกฝ่ายคือผู้ล่าที่ซุ่มคอยโอกาสเข้าตะครุบ แต่เสิ่นจิ่วมองว่ามันเป็นการกระทำของเดรัจฉานที่กำลังพยายามทิ้งกลิ่น


    เขาปิดปากเงียบ เล็บจิกเข้าในเนื้อฝ่ามืออย่างน่ากลัวจะได้แผล





    "หลังจากนั้นจะมีผู้ชายที่ชื่อเยวี่ยชิงหยวนไปหา เขาจะเป็นคนพานายออกไปจากเมืองนี้"





    “อาจิ่ว”


    เสียงกระซิบเอ่ยเรียกชื่อที่เหมือนไม่ใช่ของตัวเอง ติ่งหูถูกฟันขบเบาๆ เป็นคำเตือน


    เขายังคงฝืนควบคุมอารมณ์ อย่างน้อยที่สุดก็จะไม่ยอมมีปฏิกิริยาให้ลั่วปิงเหอได้พอใจ


    ทว่าเมื่อทำเช่นนั้น อีกฝ่ายก็มีแต่จะลงมือหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ


    รอยถลอกรอบข้อมือยังปวดแสบ และสัมผัสของริมฝีปากใกล้ผิวเนื้อก็ทำให้นึกถึงความทรงจำไม่พึงประสงค์


    แต่แน่นอน แม้จะเป็นเช่นนั้น เสิ่นจิ่วก็จะยังยิ่งต่อต้านอย่างหนักข้อขึ้นไปด้วยเช่นกัน


    ...ตราบจนกระทั่งชื่อนั้นถูกเอ่ยขึ้นมาใหม่


    เขารังเกียจเหลือเกิน ทั้งอีกฝ่ายที่กำจุดอ่อนของตัวเองไว้ และตัวเองที่ยอมให้อีกฝ่ายนำจุดอ่อนนั้นมาใช้ได้ตามใจชอบ


    เขาขยะแยง กับการการที่อีกฝ่ายทำเหมือนทุกอย่างเป็นแค่เกม เป็นเพียงการละเล่นชั่วครั้งคราวที่ไม่ได้จะลงเอยด้วยความตายของตัวประกัน


    แต่ก็ชั่วช้าอย่างไม่น่าแปลกใจ


    ดังนั้นเสิ่นจิ่วจึงต้องจำใจยอมจำนน


    “ต้องการอะไร”





    "แน่ใจแล้วใช่ไหม"

    อีกฝ่ายมองเขา แม้ไม่ต้องเอ่ยอะไรก็ทำให้รู้สึกร้อนตัวขึ้นมาได้พลัน





    ต้องการเงิน ต้องการอำนาจ ต้องการอาณาเขต ต้องการชัยชนะ...


    คำตอบแปรเปลี่ยนไปได้หลากหลาย หากแต่ทุกครั้งจำต้องเริ่มต้นด้วยคำถามเดียว


    คำถามเดิมที่ถูกเอ่ยซ้ำเสียจนเหลือเพียงความชืดชาบนปลายลิ้น ไม่ร้อนลวกหรือขมปร่าเหมือนดังแรกเริ่มอีกต่อไปแล้ว


    คำถามที่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร เขาก็ล้วนทำให้สมปรารถนาจนเสร็จสิ้นมาแล้วทั้งนั้น





    "ฉันยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ เดี๋ยวอีกสองสามวันจะตามไปทีหลัง"





    และทุกครั้งที่ทำตามข้อเรียกร้องนั้นสำเร็จ ลั่วปิงเหอก็จะกักขังเขาเป็นรางวัล ให้มาพร้อมอิสระอันเต็มไปด้วยข้อจำกัด


    เขาจะทำอะไรก็ได้ เว้นเสียแต่จะไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องคอมพิวเตอร์ หรือกระทั่งอ่านหนังสือ ได้เพียงแต่ 'ใช้ชีวิตอย่างสบาย' ดังที่ลั่วปิงเหอเอ่ย


    และแน่นอนว่าต้องเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่หากโน้มใจได้มากพอ ก็จะสามารถมองทำนองเยาะให้ดูเป็นหวังดีได้
    เสิ่นจิ่วดิ้นรนอยู่ระหว่างช่วงเวลาอันว่างเปล่าและพื้นที่ที่หดแคบลง พัวพันอย่างยุ่งเหยิงท่ามกลางการอยู่เฉยและความคิดฟุ้งซ่าน


    ลั่วปิงเหอแวะมาบ่อยครั้งจนเกินไป วนเวียนราวกับเงาที่สลัดไม่หลุด ทั้งปลายนิ้วบนเส้นผม จุมพิตในยามไม่คาดคิด และความใกล้ชิดที่ยัดเยียดให้บ่อยครั้ง


    เขาดิ้นรนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าก็ยิ่งคล้ายจะผูกปมเหล่านั้นให้สับสน ดึงบ่วงคล้องล่องหนรอบลำคอให้ยิ่งรัดแน่น บีบคั้นเสียจนขาดอากาศหายใจ ทำให้สมองสับสนไปกว่าเก่า จนกระทั่งความยึดมั่นพานจะพลันอ่อนแรงลง


    จวบจนเขาสำลัก กระอักไอ และสำรอกออกมาเป็นคำถามว่า ‘ต้องการอะไร?’


    จากนั้นจึงเริ่มต้นวงจรอุบาทว์ขึ้นอีกครั้ง





    "ทำไมถึงพูดเหมือนพวกตัวละครที่กำลังจะ..."

    เขาขัด "บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกอ่านนิยายขยะพวกนั้น"





    ต้องการเงิน ต้องการอำนาจ ต้องการอาณาเขต ต้องการชัยชนะ...


    คำถามเดิมที่ถูกเอ่ยซ้ำเสียจนเหลือเพียงความชืดชาบนปลายลิ้น ไม่ร้อนลวกหรือขมปร่าเหมือนดังแรกเริ่มอีกต่อไปแล้ว


    และไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร เขาก็ล้วนช่วยให้สมปรารถนาจนเสร็จสิ้นมาแล้วทั้งนั้น


    “ต้องการอะไร...” ปลายนิ้วของอีกฝ่ายเขี่ยปอยผมที่ท้ายทอยของเขาเล่น น้ำเสียงราวไม่ได้คิดอะไรสลักสำคัญขณะตอบว่า


    “ถ้าเป็นเสิ่นหยวนล่ะ?”


    ลมหายใจพลันสะดุดไปห้วงหนึ่ง เสิ่นจิ่วไม่มั่นใจนักว่ามือพลั้งกระตุกไปด้วยหรือไม่ จึงได้แต่ทำทีกลบเกลื่อนเป็นสนใจหน้าจอตรงหน้า เริ่มต้นพิมพ์ต่ออีกครั้ง


    เขามั่นใจว่าน้ำเสียงของตัวเองไม่โกรธเคืองหรือร้อนรนขณะกล่าวว่า “ไร้สาระ”





    "จะตามมาจริงๆ ใช่ไหม?"





    “แน่ใจเหรอ” จากปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นจุมพิตพรม บ้างผิวเผินแผ่วเบา บ้างขบเม้มทิ้งรอยแดง แต่ทั้งหมดล้วนกระทำอย่างตามอำเภอใจ


    ทว่าคำพูดกลับมีผลกระทบกว่าการกระทำ เสิ่นจิ่วแทบไม่รู้สึกถึงสัมผัสเหล่านั้น


    ความคิดของเขาหมุนวนปั่นป่วน อีกทั้งหัวใจในอกก็ขมวดมวนจนอึดอัดไปหมด


    ชายหนุ่มเอ่ยเย้า น้ำเสียงหยาดหยดไปด้วยรอยยิ้ม “ผมว่ามันสมเหตุสมผลออกนะ”


    ลั่วปิงเหอเชี่ยวชาญการเสแสร้งเป็นที่สุด เสิ่นจิ่วไม่สามารถแยกแยะได้เลยสักครั้งว่าอีกฝ่ายกำลังพูดความจริงหรือเพียงล่อหลอก


    ชายผู้นี้ช่างราวมีความรุนแรงสูบฉีดอยู่แทนเลือดเนื้อ ไม่ว่าอะไรก็ล้วนดูจะสามารถลงมือได้ทุกเมื่อ


    “ลองคิดดูสิ”


    เขามองตรงไปข้างหน้า เงาสะท้อนบนคมมีดดูคล้ายจะยิ่งทวีขึ้น สว่างเสียจนทำให้ดวงตาพร่ามัว


    “เขาหน้าตาเหมือนคุณ แต่ไม่เจ้าอารมณ์หรือดุร้ายเหมือนคุณ ดูยังไงก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า”


    เสิ่นจิ่วเผยอปาก กระนั้นก็ไร้คำจะเอ่ย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรพูดว่าอย่างไร





    "พี่ชายไม่โกหกนายหรอก"

    อีกฝ่ายหัวเราะ "แค่เรียกตัวเองว่าพี่ชายก็โกหกแล้ว"






    ลั่วปิงเหอต้องการให้เขาตอบสนองอย่างนั้นหรือ?


    หรือว่าให้เขาขอร้อง? ศิโรราบ? ยอมรับความพ่ายแพ้?


    แต่ขณะเดียวกัน บางอย่างก็บอกว่าการอ้อนวอนจะยิ่งยั่วยุให้ชายหนุ่มทำเรื่องเลวร้ายลงไปกว่าเดิม


    ข้อนิ้วลากไล้จากใบหูมาตามข้างแก้ม ก่อนจะเลื่อนลง สิ้นสุดยังปลายคางที่ถูกยึดกุมไว้


    “เห็นใครๆ ก็บอกว่าเขาเป็นอ่อนโยนจิตใจดี...”


    เสิ่นจิ่วเชยคางขึ้นตามแรงชักจูงแผ่วเบานั้นอย่างว่าง่าย สมองว่างเปล่าในขณะที่ใจเต้นกระหน่ำ


    เสียงกระซิบทุ้มต่ำนุ่มนวล สุ้มสำเนียงฟังดูประดุจกำลังพลอดรัก อ่อนโยนเยี่ยงอย่างกลิ่นหอมหวานของดอกไม้เปี่ยมพิษ


    “ผมว่าถ้าเอามาใช้ประดับห้องแทนคุณก็คงจะว่าง่ายกว่ากันมาก”





    คนคนนั้นพยักหน้า ริมฝีปากแม้ซีดเซียวแต่ก็กลับดูช่างหนักแน่นยามขยับเป็นรอยยิ้ม





    เขาสูดลมหายใจสะท้านขณะหลับตาลง





    "ระวังตัวด้วยละ"





    สิ่งใดที่ถูกขึงจนตึงเคียดแล้วก็ย่อมต้องขาดสะบั้น


    เพียงแต่เสิ่นจิ่วไม่รู้ ว่าบางสิ่งนั้นในตัวเขาขาดสะบั้นไปเมื่อใดกันแน่


    ระหว่างในชั่วขณะที่ผุดลุกขึ้น หรือเมื่อตอนที่ตนเหวี่ยงกรรไกรออกไป





    “อืม”





    เขารู้ และลั่วปิงเหอเองก็รู้


    ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์


    แต่หากจะไม่ขัดขืนเลยสักนิดนั้น พวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้อีกเช่นกันว่าเสิ่นจิ่วยอมเป็นเช่นนั้นไม่ได้


    อีกฝ่ายกดเขาคว่ำลงกับโต๊ะได้ด้วยมือเดียว ในขณะที่อีกข้างรวบข้อมือทั้งสองของเขาไพล่หลังไว้


    ช่างมีกำลังมากสมอำนาจอย่างน่าชิงชัง


    แก้มข้างหนึ่งทับอยู่บนปุ่มคีย์บอร์ดขรุขระเป็นสัมผัสประหลาด กล้ามเนื้อไหล่ถูดึงรั้งอย่างกะทันหันจนรู้สึกเจ็บ ในขณะที่ขาข้างหนึ่งแม้ไม่ถูกแตะต้องก็ยังปวดแปลบ มันคือหลักฐานของการหลบหนีอันล้มเหลวครั้งหนึ่งในอีกหลายครั้ง เพียงแต่น่าฉงนที่รอยแผลขาหักหลังนั้นสมานกันดีนานแล้ว แต่ความเจ็บปวดกลับยังไม่ยอมหายเสียที


    เสิ่นจิ่วเมินเฉยต่อทั้งความรู้สึกทั้งหลายเหล่านั้น เขาสนใจเพียงแต่จะจ้องใบหน้าของลั่วปิงเหอค้างเขม็ง
    ตอนนี้บนหน้าจอคงจะขึ้นตัวอักษรที่ถูกกดค้าง ลากยาวเสียจนทำให้โค้ดที่พิมพ์ไว้ดูเละเทะไปหมด แต่ลั่วปิงเหอก็เหลือบมองมันเพียงแวบเดียวเท่านั้น ไม่สนใจเสียด้วยซ้ำว่านั่นคือตนต้องการให้เขาทำแต่แรก


    มือข้างที่ถือกรรไกรถูกดึงขึ้นไปวางบนโต๊ะ เสิ่นจิ่วทันเพียงนึกสงสัยในเสี้ยวแวบหนึ่ง และก่อนจะได้ถือโอกาสดิ้นรน กรรไกรนั้นก็ถูกแทงทะลุฝ่ามือ ปักลงกับโต๊ะ กลายเป็นเครื่องตอกตรึงเขาเอาไว้


    ความเจ็บปวดทำให้ภาพเบื้องหน้าขาวโพลนไปชั่วขณะ สองหูอื้ออึงด้วยเสียงหัวใจเต้นและเลือดสูบฉีดจนทำให้ไม่แน่ใจว่าส่งเสียงน่าสมเพชใดออกไปบ้างแน่


    เสิ่นจิ่วเตะขา ดิ้นพราด แต่ด้วยไม่กล้าขยับมือที่เจ็บและถูกกดร่างกายท่อนบนเอาไว้จึงทำได้เพียงให้ฝ่ายตรงข้ามรำคาญใจ


    “คุณคิดว่าผมเป็นเศษสวะใช่ไหม? คงจะคิดผมชั่วช้ายิ่งกว่าเดนมนุษย์เลยล่ะสิ?”


    เขาเพิ่งรู้สึกว่าตัวเองน้ำตาไหลเมื่อเหลือบตาขึ้นอีกครั้งและเห็นใบหน้าของลั่วปิงเหอพร่าเบลอ


    “แต่รู้รึเปล่าว่าคุณเองก็ไม่ต่างกัน”


    แรงกดตรงหลังคอบีบแน่น ตรงกันข้ามกับเสียงเรียบเรื่อย


    “คุณคิดว่าตัวเองดีกว่า สูงส่งกว่าคนอย่างผม เพราะคุณบอกตัวเองว่าที่ต้องทำทุกอย่างก็เพื่อช่วยฝาแฝดของตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากลงมาเกลือกกลั้วในน้ำครำแบบนี้เลยสักนิด...”


    ลั่วปิงเหอก้มหน้าลงมาใกล้ ในดวงตาดำสนิทคู่นั้นลึกล้ำเกินกว่าจะอ่านอารมณ์ใดได้ออก


    “ผมพูดถูกรึเปล่าล่ะ?”


    “แกต้องการอะไร!?!”


    เขาตะคอกทั้งที่เสียงแหบแห้งและแตกพร่าจากเมื่อครู่ ไม่สนใจกระทั่งว่ากำลังมีสภาพน่าสมเพชเพียงใด
    ชายหนุ่มไม่ขุ่นเคืองหรือโกรธเกรี้ยวที่ถูกตอบโต้เช่นนั้น เพียงมองเขาอยู่อย่างนั้นด้วยรอยยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มอันคุ้นตาดีที่อีกฝ่ายมักใช้ควบคู่ไปกับความเงียบ


    เพราะลั่วปิงเหอเชี่ยวชาญดีกับการประวิงเวลา และเสิ่นจิ่วก็ได้ลิ้มรสชาติความอดทนของอีกฝ่ายมาแล้วกับตัว


    เหงื่อเย็นผุดพรายข้างขมับ ก่อนจะไหลลงไปตามทางเดียวกันกับสายน้ำตาที่เริ่มแห้ง


    เขาไม่อยากเตรียมใจและไม่อยากภาวนาว่าอะไร แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว ในส่วนลึกหนึ่งก็ตระหนักได้ว่าความเงียบนี้จะนำไปสู่สิ่งใด


    ลั่วปิงเหอยังคงยิ้ม ยิ้มอย่างที่เก็บงำความคิด ไม่มีแม้เศษเสี้ยวที่ดูเหิมเกริมหรือสาแก่ใจกับชัยชนะปรากฏในสีหน้า


    “เขาจะหนีไปคืนนี้ใช่ไหมครับ?”


    เสิ่นจิ่วห้ามตัวเองไม่ได้อีกต่อไป


    ไพ่และตัวหมากในมือถูกมองขาดจนหมดแล้ว ทั้งสีหน้าและความรู้สึกของเขาเหล่านี้ไม่มีค่าให้ควบคุมอีกต่อไป ทุกสิ่งที่เขาทำ รวมกระทั่งไปถึงตัวของเขาเอง ทุกอย่างไม่มีอะไรมีค่าอีกต่อไปแล้ว





    “รับปากแล้วนะ”





    นึกถึงเพดานสีขาว เตียงที่มีราวเหล็กกั้นสองข้าง ห้องที่มีแต่กลิ่นยาและแอลกอฮอล์ฉุนจมูก


    นึกถึงคนที่ไม่ว่าเมื่อไรก็ยังดูอ่อนแอ คนที่เป็นน้องชายแต่กลับมักลูบศีรษะเขา คนที่ทั้งที่ถูกปกป้องอยู่ตลอดเวลาแต่กลับทำให้รู้สึกอยากพึ่งพาเสมอเมื่ออยู่ใกล้


    นึกถึงสัมผัสของฝ่ามือบนเส้นผม รอยยิ้มและดวงตาที่ต่อให้ไม่เอ่ยออกมาก็ชัดเจนว่ารู้ทันเขาไปเสียทุกอย่าง


    เขาดิ้นรนรุนแรงขึ้นกว่าเดิม มือข้างที่ถูกแทงป่านนี้แผลก็คงเหวอะหวะ ไม่อาจใช้งานได้เหมือนเดิมอีก
    เสียงที่ตะโกนออกไปขาดห้วง


    “แกต้องการอะไรกันแน่!!!”


    นานเหลือเกิน หลายเดือนทีเดียว ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว กว่าเขาจะสามารถทำให้คำถามนี้ไม่ฟังดูเหมือนคำร้องขอหรือวิงวอน


    แต่ถึงอย่างนั้น ความรู้สึกใหม่ของการเป็นสัตว์ในคณะละครสัตว์ก็เข้ามาแทนที่ เหมือนกับสัตว์ป่าที่ถูกฝึกฝนด้วยบทลงโทษและหลอกล่อด้วยรางวัล ที่สุดท้ายแล้วก็ถูกกำราบให้เชื่องจนกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงที่ไร้พิษภัยตัวหนึ่ง


    เสิ่นจิ่วรังเกียจที่ตัวเองรู้สึกแบบนั้น ทว่าในขณะที่ถูกจับพลิกตัวให้นอนหงาย ความคิดเดิมก็หวนกลับมาอีกครั้ง


    กรรไกรที่ถูกดึงออกทำให้ปากแผลยิ่งเปิดกว้างขึ้น เลือดสดๆ ไหลทะลักส่งกลิ่นคาวเข้มคละคลุ้ง กลบกลิ่นน้ำหอมจอมปลอมและเปิดโปงสันดานกักขฬะออกมาในที่สุด


    เสิ่นจิ่วที่ทั้งออกแรงมากและเสียเลือดมากจึงเริ่มหน้ามืด กระนั้นก็ยังสะดุ้งหนีเมื่อปลายนิ้วถูกจับไว้


    ฉับพลันนั้น ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด ท่าทีอันอ่อนโยนถูกกลืนกินไปพร้อมกับเค้าสีหน้าอ่อนจาง


    จากสัมผัสลอยๆ แปรเปลี่ยนเป็นการออกแรงหักหาญ คั้นบังคบและกดทับซ้ำบาดแผลสดใหม่อย่างไม่สนใจความเจ็บปวดของเสิ่นจิ่วเลยแม้แต่น้อย


    ลั่วปิงเหอแค่นหัวเราะคำหนึ่ง ก่อนเบนสายตาขึ้นสบกับดวงตาวาวโรจน์คลอน้ำ


    จากนั้นรอยยิ้มบางเบาจึงค่อยคลี่กว้างขึ้น ทว่ากลับกลายเป็นดูเสมือนกำลังแยกเขี้ยวมากเสียกว่าจะแย้มยิ้ม


    ช่างยินดีจนล้นปรี่ สนุกสนานจนดูราวกับเสียสติ


    “สายตาแบบนั้นละ...ที่ฉันต้องการ”




    _____________________________________________________________________________________________________



    Writing Playlist
    My Brother Taught Me How to Swim - Passion Pit
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in