เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Fanfic Compilationmoneymonday
[ตัวร้ายอย่างข้าฯ | ปิงจิ่ว] Tender Mercies: EXTRA
  • **UNEDITED



    จดหมายจากอารามชิงจิ้งมาถึงในยามรุ่งสาง


    ลายมือในนั้นงดงามอ่อนช้อยอย่างสมกับชื่อเสียงความคงแก่เรียนของอาราม แต่ในปลายพู่กันและท้ายกระดาษก็ยังมองเห็นถึงความร้อนรน ทั้งจุดกระเซ็นสีดำเล็กๆ และรอยเปื้อนซึมยังยิ่งบ่งบอกชัดเจนว่าต้องเร่งรีบเท่าใด


    กระนั้น เนื้อหาที่เขียนโดยนักบวชอาวุโสก็กลับน่าเบื่อชวนหาวอย่างยิ่ง กระทั่งในยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็ยังมิวายเอ่ยสรรเสริญเขายาวยืด จากนั้นก็เอ่ยด้วยถ้อยคำสวยหรูวกไปวนมาหนึ่งรอบใหญ่ก่อนค่อยเข้าเรื่องกล่าวร้อง


    ถึงกลุ่มนักบวชหนุ่มที่เอาใจออกห่างจากพระคัมภีร์ รับศรัทธานอกรีตเข้ามาปนเปื้อนจนจิตใจมืดดำ ทั้งยังสมคบคิดกันถึงขั้นจะละสันโดษและออกไปนอกอาราม...


    ข้อความยังมิทันจะร้องทุกข์ได้จบ ลั่วปิงเหอก็กลับนึกถึงคนผู้นั้นขึ้นมาเสียก่อนแล้ว


    ในเมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ในฐานะเจ้าอาราม ในฐานะผู้นำ...ในฐานะของคนที่ถูกครอบงำโดยศรัทธาถึงเพียงนั้น เสิ่นชิงชิวจะทำเช่นไร? จะรู้สึกอย่างไร?


    แล้วไฉนจดหมายขอความช่วยเหลือจากราชาจึงมิได้เขียนโดยเจ้าอารามสูงสุด แต่กลับเป็นเพียงนักบวชอาวุโสผู้หนึ่งเท่านั้น?


    เนื้อความในจดหมายยังเหลืออยู่อีกหลายบรรทัด แต่เขาเพียงปราดมองที่คำว่า ‘ท่านเจ้าอาราม’ และ ‘ไล่ตาม’ กระดาษน้อยแผ่นนั้นก็กลับกลายเป็นไร้ค่า


    ข้ารับใช้ยังมิทันผูกสายรัดเอวให้เรียบร้อยดีเมื่อองค์ราชาพลันผินกาย หันหลังให้กับคันฉ่องโดนไม่ใยเสื้อคลุมตัวนอกหรือเครื่องทรงและเครื่องประดับที่ยังวางอยู่เรียงราย


    จากนั้นสายลมหอบหนึ่งจึงพัดฉิว ยามหันหลังมองตามไปแล้วก็พอเห็นรางๆ เพียงเงาร่างบนหลังม้า แสงระยับวับวาวสะท้อนจากเลื่อมพรายบนอาภรณ์สูงค่า ดูดุจดวงดาวกลางยามเช้า บ่งใบ้ถึงศักดิ์ของผู้สวมใส่


    ‘ใครเล่าจะเข้าพระทัยผู้มากบารมี?’


    ใครคนหนึ่งรำพึง


    ‘ฐานะเจ้าแผ่นดินย่อมต้องมาพร้อมภาระหนักหนา’


    ใครอีกคนกล่าว


    ...แต่ไม่มีผู้ใดรู้ ว่า ‘ภาระหนักหนา’ ในพระทัยของเจ้าแผ่นดินหาใช่ศาสนาศักดิ์สิทธิ์หรืออารามเก่าแก่


    หากแต่เป็นเพียงชายหนุ่มผู้หนึ่ง






  • องค์ราชามาถึงอารามชิงจิ้งเมื่อใกล้พลบค่ำ


    อาคารหินหลังงามยังคงยืนหยัดสูงตระการ โดดเด่นเหนือทิวไม้ และยิ่งยามเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกคล้ายถูกคุกคามโดยเงาทะมึนของยอดหอคอยและเสากำแพงเหล่านั้น


    ประตูหนาหนักหน้าอารามเปิดกว้าง เบื้องในมืดสลัว ไร้ร่องรอยนักบวชน้อยที่มีหน้าที่คอยจุดเทียนติดตะเกียงอย่างเป็นกิจวัตร


    รอบด้านเงียบสงัดและวังเวง นอกเหนือจากเงาร่างหนึ่งที่ตรงดิ่งไปตามทางเดินสู่หอสูงแล้วก็ไม่มีทั้งการเคลื่อนไหวหรือแม้แต่เสียงหายใจของใครเลยสักคน


    กระดานไม้บานโตที่ลงลายอักษรข้อห้ามด้วยหมึกทองถูกกระชากลงมาบนพื้น สภาพหักครึ่งอย่างดูไม่ได้ ตัวอักษรถูกเหยียบย่ำเสียจนหมองเลือน ในขณะที่ผิวหน้ามันวาวก็เต็มไปด้วยรอยแผล ขอบมุมหักบิ่น เศษเสี้ยนและเศษไม้กระจายเต็มพื้นดูดุจเมล็ดหว่าน


    ที่กล่าวไว้ว่านักบวชหนุ่มทั้งหลายลุกฮือและจากไปรวดเร็ว รุนแรงปานพายุนั้นแท้จริงมิใช่เพียงคำเปรียบเปรยสำบัดสำนวนประสาผู้อาวุโสเช่นธรรมดา หากแต่เป็นเรื่องจริงโดยแท้


    ลั่วปิงเหอก้าวผ่านโต๊ะยาวและเก้าอี้ที่ล้มระเกะระกะ เบี่ยงกายหลบผ้าแขวนประดับที่ขาดวิ่นด้วยใบหน้าเรียบเฉย ปราศจากอารมณ์สะทกสะท้อนหรือแม้กระทั่งจะหยุดเสียดายกับซากสิ่งของโบราณล้ำค่า


    กระนั้น แม้ไม่สนใจสิ่งใด ความคิดก็กลับยังเอาแต่จะไพล่จินตนาการไปถึงใครคนหนึ่ง


    จากนี้เขาจะทำเช่นไร? กำลังคิดอะไรอยู่?


    คนที่มีอารามชิงจิ้งเป็นที่พักพิงหนึ่งเดียวผู้นั้น...คงจะ...


    มิรู้ว่าฝีเท้าหรือหัวใจที่เร่งไปเร็วกว่ากันแน่


    ลั่วปิงเหอก้าวขึ้นไปตามบันได โค้งแล้วโค้งเล่า ขั้นบันไดหินขั้นแล้วขั้นเล่า แต่ละครั้งที่ความทรงจำบอกว่าจวนจะถึงจุดหมายแล้วก็กลับพบว่าเป็นเพียงขั้นพักบันไดอีกขั้นหนึ่ง ประดุจว่าหอคอยนี้สูงเสียดขึ้นไปอย่างไม่มีสิ้นสุด


    เริ่มแรกเขาก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกมาอย่างผลีผลาม จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นความรีบร้อน ทว่าแล้วเมื่อก้าวขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายกลับลังเลขึ้นมาเสียอย่างนั้น


    บนยอดหอคอยนี้มีประตูอยู่เพียงบานเดียว เป็นประตูบานคู่ขนาดใหญ่สลักภาพสัญลักษณ์แสดงศรัทธาที่เขาไม่รู้ความหมาย กระนั้นความโอฑารและอ่อนช้อยในฝีมีดก็บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นสถานที่สำหรับผู้มีตำแหน่งสูงสุดในอาราม


    ลั่วปิงเหอได้พักที่นี่เมื่อครั้งแรกที่มาเยือนครานั้น เพียงแต่ด้วยแสงสลัวจึงทำให้มองไม่เห็นลวดลายได้ชัดเจนนัก อีกทั้งความคิดของเขายังมัวจดจ่ออยู่ที่ตัวบุคคล ไม่อาจแบ่งความสนใจได้มากพอให้จดจำสิ่งอื่น


    คืนนั้นเขาจงใจไล่ต้อนเสิ่นจิ่ว บีบคั้นด้วยทั้งคำพูดและสัมผัส ถึงแม้แท้จริงไม่ได้หมายจะคาดคั้นคำตอบแต่ในอกก็ยังอึดอัดเหลือแสน ทั้งความขุ่นเคือง เสียใจ และคับข้องของตลอดสิบปีหลอมรวมกันเป็นอารมณ์อัปลักษณ์อันไม่อาจควบคุม


    แต่เขาก็ยังปล่อยให้อีกฝ่ายหุนหันจากไป


    ตัวตนที่คั่งค้างอยู่ในความทรงจำ ชายผู้ที่เขาคิดมาเสมอว่าจะต้องชดใช้ ว่าตนจะต้องเอาคืนให้อย่างสาสม ฉุดกระชากให้ร่วงหล่นจากความสูงส่งที่น่าหัวเราะนั้น ดึงลงมาให้เกลือกกลั้วอยู่ในความผิดบาปเหมือนมารอย่างตน


    ลั่วปิงเหอ อดีตสุนัขข้างทางที่สังหารเข่นฆ่าจนขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุด ราชาผู้บงการความเป็นความตาย...


    ลั่วปิงเหอผู้นั้นมองใบหูแดงก่ำและริมฝีปากเม้มแน่นของเสิ่นชิงชิว และปล่อยให้ชายหนุ่มหลุดจากเงื้อมมือ ถลันหายไปในความมืดใต้แสงตะเกียง


    คืนนั้นเขาทิ้งตัวลงบนเตียงแข็ง หนุนศีรษะบนหมอน ห่มผ้าเนื้อหยาบระคายผิว ไม่มีสิ่งใดให้ความสบายเลยสักนิด แต่เมื่อถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นกายสะอาดเจือกลิ่นสมุนไพรและหมึกแล้วก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว


    วันนี้เขาเป็นผู้ผลักประตูให้เปิดอ้าออก


    มีเงาของคนผู้หนึ่งอยู่ริมหน้าต่าง ร่างนั้นยืนหลังตรง ท่วงท่าอากัปแสนสง่าผ่าเผยสมฐานะเจ้าอาราม


    ลั่วปิงเหอนึกสงสัยขึ้นมาชั่วขณะว่ามองเห็นตนขณะเร่งควบม้าเข้ามามากน้อยเพียงใด


    เขาสาวเท้าล้ำเข้าไปหนึ่งก้าว หางตาสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีจดหมายที่ยังเขียนค้างไว้


    ลั่วปิงเหอเลือกจะเหลือบมองมันเพียงแวบเดียวเท่านั้น และแม้ต้องการจะถามว่าเสิ่นชิงชิวหมายจะส่งจดหมายนั่นถึงใคร ก็รู้แก่ใจตนเองดีว่าไม่ต้องการได้ยินคำตอบ


    ความรู้สึกหนึ่งลุกวาบขึ้นในห้วงความคิด ทำให้คำเอ่ยพล่อยพ้นริมฝีปากไปในฉับพลันนั้น ช่างไร้ระวัง แสนสะเพร่า ทำราวกับว่าไตร่ตรองตระเตรียมคำพูดเดียวกันมาตลอดทางอย่างไรอย่างนั้น


    “มากับข้า”


    เสิ่นชิงชิวเพียงนิ่งขึง สีหน้าว่างเปล่าอย่างดูไม่แม้แต่จะคิดเหลือบแลมาทางนี้เลยสักนิด


    “ฝ่าบาททรงประสงค์สิ่งใดจากกระหม่อม?”


    อ้อมกอดซึ่งปราศจากการกล่าวโทษ และสัมผัสของมือที่ปลอบประโลมเหมือนดังในอดีต...


    หากตนตอบออกไปเช่นนั้น เสิ่นชิงชิวจะยอมเชื่อบ้างสักนิดหรือไม่?


    อีกฝ่ายถามซ้ำ


    “พระองค์ทรงประสงค์กระหม่อมในฐานะใด?”


    แสงสุดท้ายของวันทอจากขอบฟ้าผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่อ้ากว้าง อาบไล้เสี้ยวหน้าครึ่งหนึ่งนั้น เห็นเป็นสีส้มทองไล้บนสันจมูก และสีแดงอัสดงสถิตสะท้อนในดวงตา ยิ่งเสริมกับอาภรณ์มิดชิดกึ่งหลุดรุ่ยแล้วก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูราวภาพวาด


    ทุกรอยยับย่นและปอยเส้นผมที่ร่วงระ ทั้งรอยเปื้อนหมึกที่แขนเสื้อ ทุกสิ่งช่างล้วนราวถูกรังสรรค์ขึ้นโดยฝีแปรงของจิตรกรชั้นเลิศ


    ดวงตางามหลุบลง แพขนตาทอเป็นเงาทาบทับลงเหนือพวงแก้ม บดบังแววตา


    “เชลย? ข้าทาส?...หรือชายบำเรอ?”


    ลั่วปิงเหอรู้สึกในใจคันยิบ น่ารำคาญเป็นอย่างยิ่งจนทำให้เสียงทุ้มนั้นพานฟังแล้วชวนหงุดหงิดไปด้วย


    เขากำหมัดแน่น


    “ในฐานะสังฆราชของข้า”


    ชายหนุ่มชะงัก ดวงหน้าหมดจดคล้ายจะคลายจากเงาไปชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดดวงตาคู่นั้นก็จึงเบนมาทางนี้เสียที


    ลั่วปิงเหอคิดจะสืบเท้าเข้าไปใกล้ แต่ก็กลับบังเกิดความคิดไร้สาระหนึ่งขึ้นว่าหากผลีผลามแล้วร่างตรงหน้าจะสลายหายไปจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู


    พวกเขาสบตากัน ทว่าเพียงชั่วแวบเท่านั้น


    “กระหม่อมไม่ปรารถนาจะไปเป็นตัวตลก” เสิ่นชิงชิวเบือนหน้าหนี ถอยร่นกลับสู่เงาเข้าอีกครั้ง


    “พระองค์อาจเป็นเจ้าชีวิต แต่กระหม่อมก็ไม่อาจยอมถูกเย้ยหยันศรัทธาได้”


    หนังสือเก่าเล่มหนึ่งสำคัญมากเพียงนั้นเชียวหรือ?


    มากถึงกับที่เจ้าจะรั้งอยู่เพียงผู้เดียวในสถานที่เช่นนี้ตลอดไป...เช่นนั้นหรือ?


    พาฬอารมณ์อันเก่าแก่และอัปลักษณ์นั่นพลันผงกศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง ฤทธิ์ของมันเจ็บปวดแสบร้อนดังกรดกร่อนและไฟฟอน เป็นความเจ็บแสบที่ตนลิ้มรสมานานเนิ่นเสียจนใช้แทนเชื้อเพลิง


    ดื้อดึงนัก


    ลั่วปิงเหอก้าวข้าวธรณีประตู ลุเข้าไปเบื้องใน เด็ดขาดและสัมบูรณ์สมดังกษัตริย์ผู้พิชิตบัลลังก์


    “ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะนับถืออะไร”


    ความนึกรำพึงเมื่อก่อนหน้าพลันได้รับคำตอบ จากจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้ เมื่อมองลงไปแล้วไม่เพียงแต่จะเห็นม้าอาชาไนยประจำตัวของเขาได้อย่างชัดเจน ยังมีทัศนะไกลไปถึงเส้นทางที่ถูกกรุยไว้ตั้งแต่จากตีนเขา นำเข้ามาและหายไปใต้แมกไม้และปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังบนทิวป่า


    หากมีผู้ใดมาเยือน ก็ย่อมจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน


    เสิ่นชิงชิวยังดื้อดึงเอาแต่จะจับจ้องม้าตัวหนึ่งอยู่อย่างนั้น ทำทีประดุจไม่รับรู้ตัวตนของใครอื่นในห้องแม้แต่น้อย


    กระนั้นลั่วปิงเหอก็กลับไม่อาจรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาได้เลยสักนิด


    อีกฝ่ายอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เขาเพียงยื่นมือออกไป ใช้ปลายนิ้วเชยใต้คางมนและออกแรงเล็กน้อย ชายหนุ่มก็ยอมเงยหน้าขึ้น หันกลับมาหาแต่โดยดี


    ลั่วปิงเหอไล้นิ้วโป้งไปตามเรียวปากที่เม้มแน่นขณะโน้มกายเข้าไปใกล้ ออกคำสั่งด้วยเสียงแผ่วเบาราวกำลังใช้ลมหายใจห้วงสุดท้าย


    “เจ้าจะต้องอยู่ข้างข้า”


    เสิ่นชิงชิวหลับตาลง


    จุมพิตที่ประทับลงมานั้นหนักแน่น แสนเอาแต่ใจ ทั้งขบเม้มและกดย้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับจะตีตราความเป็นเจ้าของไว้ด้วยริมฝีปากของตัวเอง 


    อดีตเจ้าอารามชิงจิ้งผ่อนลมหายใจ อากาศกลางฤดูร้อนนี้อบอ้าว ทั้งยังแว่วเสียงแมลงร้องมาจากไกลๆ


    ทว่าเมื่ออยู่ใกล้กันเสียแทบแนบชิดเช่นนี้แล้ว...อุณหภูมิจากร่างกายของลั่วปิงเหอก็ราวกับจะทำให้รอบด้านหวนกลับไปยังคืนฤดูหนาวที่เงียบสงัดครานั้น


    โอบกอดเกาะเกี่ยวกันไว้ ไม่มีผู้ใดทำใจแยกจากได้






  • เพราะข้าเป็นมาร จึงไม่อาจวอนขอ ‘โปรดให้ข้าอยู่เคียงข้าง’

    แต่เพราะข้าคือกษัตริย์ จึงสามารถเอ่ยได้ว่า ‘จงเป็นของข้า’





  • extra-EXTRA

    ในรัชสมัยปัจจุบัน อาณาจักรได้เข้าสู่ยุคทองอย่างเต็มรูปแบบ


    ปวงประชาแซ่ซ้องทั่วหล้าว่าองค์กษัตริย์ทรงเปี่ยมปรีชา องอาจห้าวหาญเลิศล้ำเหนือใคร


    พระองค์ทรงปกครองดินแดนกว้างไกลไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ครอบครองกองทัพแกร่งกล้า พร้อมพรักทั้งม้าและบุรุษอาชาไนย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระแสงดาบประจำกาย ‘ซินหมัว’ และนกอินทรีหายากตัวเขื่องที่มีนามเดียวกัน


    เป็นที่กล่าวขานด้วยความเลื่อมใสกันว่ายามใดทั้งสองซินหมัวปรากฏขึ้นพร้อมกันในสนามรบ ข้าศึกต้องเป็นอันหวาดหวั่นเสียจนยอมศิโรราบตั้งแต่ยังมิทันกรีฑาทัพ


    กระบี่ซินหมัวถูกขนานนามเป็นอาวุธอันดับหนึ่งในใต้กล้า


    อินทรีซินหมัวได้รับสรรเสริญเป็นสัตว์เทพ


    ทั้งหมู่พลทหารและพลเรือน ตั้งแต่ขุนนางข้าราชการไปจนถึงขอทาน ไม่มีผู้ใดไม่ชื่นชมซินหมัวทั้งสอง...


    เว้นเสียแต่พระสังฆราชแห่งชิงจิ้ง


    เจ้าซินหมัวที่แสนเย่อหยิ่งสง่าผ่าเผยแวะเวียนไปส่งข้อความยังอารามหลวงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ภาพนกอินทรีกางปีกกว้างน่าเกรงขามดุจแม่ทัพไม่เพียงทำให้นักบวชน้อยทั้งหลายแตกตื่น แต่ยังขับไล่สิงสาราสัตว์โดยรอบและล่าพิราบสื่อสารที่เลี้ยงไว้ในอารามอีกด้วย


    วันหนึ่ง ซินหมัวกลับมาด้วยท่าทางเหงาหงอย ที่ขาขวาผูกม้วนกระดาษที่เขียนข้อความไว้เพียงห้วนสั้น ไม่แม้กระทั่งจะพูดถึงคำถามคำไถ่ที่เขาส่งไปก่อนหน้าเลยสักประโยค


    ควบคุมสัตว์ของเจ้าด้วยในอารามข้าจวนจะไม่เหลือพิราบแล้ว


    ลั่วปิงเหอปลอบใจซินหมัวด้วยกระต่ายตัวโต ค่ำคืนนั้นจรดพู่กันโต้ตอบและส่งเจ้าอินทรีคู่ใจออกไปทันที


    ก็ย้ายเข้ามาอยู่ในวังจะได้ไม่ต้องใช้นกพวกนั้นอีก


    คำขาดจากอารามหลวงมาถึงภายในเย็นวันต่อมา เมื่อเขาลองคำนวณเวลาดูแล้วก็พบว่า


    หากไม่มีพิราบสื่อสารข้าก็ไม่มีความจำเป็นต้องเขียนจดหมายอีก


    นับแต่นั้นก็บังเกิดเรื่องราวความน่าเลื่อมใสประการใหม่ขององค์ราชาขึ้น...


    กล่าวกันว่าพระองค์ทรงแสนเคร่งครัดศาสนาเป็นอย่างมาก เห็นได้จากยามเมื่อติดต่อกับอารามหลวงแล้วก็มิได้ประกาศศักดาด้วยอินทรีซินหมัวเลื่องชื่อ ทว่ากลับแสดงออกถึงความอ่อนน้อมเคารพคำสอนของพระคัมภีร์ด้วยพิราบขาวไร้ชื่อไร้นามตัวหนึ่ง





  • extra-extra-EXTRA

    เสิ่นชิงชิวลืมตาตื่นขึ้นมาท่ามกลางกลิ่นกำยานใหม่


    ทันทีที่เห็นเขาลุกขึ้นนั่ง ข้ารับใช้ตัวน้อยก็กุลีกุจอนำอ่างทองเหลืองมาวางให้ตรงหน้า การเคลื่อนไหวว่องไวแต่อ่อนช้อยอย่างสมกับที่ถูกอบรมมาจากในรั้วในวัง


    ชายหนุ่มก้มหน้าลง เห็นน้ำเบื้องในใสสะอาด ทั้งยังเจือกลิ่นหอมสมุนไพรละมีกลีบดอกไม้ลอยอยู่บางๆ


    เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาก็พลันเห็นเตากำยานบนโต๊ะ ควันกรุ่นที่ลอยอยู่ส่งกลิ่น ไม่หอมฉุนหรือหวานเลี่ยน แต่ออกคล้ายต้นไม้ใบหญ้าเสียมากกว่า...


    ตรงกับที่ตนเคยบอกปัดไปว่าไม่ต้องการดอกไม้อะไรทั้งนั้น


    เสิ่นชิงชิวรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า องค์ราชาที่เขาว่ากันว่าเคร่งครัดต่อพระคัมภีร์ยังคงเอาแต่จะผลักดันสิ่งเหล่านี้มาสุมใส่เขาไม่ยอมหยุด เมื่อปฏิเสธอย่างหนึ่งแล้วก็จะต้องนำเสนออีกอย่าง ทำราวกับว่าตัวเองเป็นเจ้ารัฐบรรณาการหาใช่มหาราชอาณาจักร


    อารามหลวงบัดนี้ภายนอกแม้ดูสมถะ แต่หากใครได้ลองมาเห็นสภาพห้องส่วนตัวของพระสังฆราชแล้วจะต้องเกิดข้อครหาใหญ่โตขึ้นมาเป็นแน่ ผู้ที่จะมีข้าวของหายากราคาแพงเหล่านี้มาอยู่ในครอบครองได้ หากมิใช่มีฐานะกษัตริย์แล้วก็ย่อมต้องถูกมองว่ามีใจคด คิดตีตัวเสมอราชาเป็นแน่


    สำหรับเสิ่นชิงชิวแล้วของขวัญเหล่านี้ล้วนน่าเหนื่อยหน่าย จะมีก็แต่เด็กข้างกายคนนี้เท่านั้นที่น่าพึงพอใจ


    (แน่นอนว่าเด็กนี่ก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาเอ่ยชมกับลั่วปิงเหอไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการจงใจทำร้ายผู้อื่นแล้ว)


    แค่เพียงขยับกายนิดหนึ่ง ข้ารับใช้ผู้แสนรู้ก็รีบรุดเข้ามาช่วยแต่งตัวให้อย่างรวดเร็ว


    เขาขมวดคิ้วทันทีที่อาภรณ์สัมผัสกาย แพรต่วนและผ้าไหมแม้ให้ความรู้สึกเรียบลื่นสบายผิว แต่ก็ทำให้ยิ่งอึดอัดขึ้นไปกว่าเดิม


    ก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เลิกส่งของแบบนี้มา?


    นักบวชอารามชิงจิ้งไม่ควรปล่อยตัวในความหรูหรา มั่งมีในทรัพย์สินเงินทองที่ไม่ควรได้ไม่ควรมี


    เสิ่นชิงชิวหมายมั่นขึ้นมาในพลันนั้น และตัดสินใจยื่นคำขาดให้กับลั่วปิงเหอไปในที่สุดว่า


    “ข้าไม่ต้องการสิ่งของฟุ่มเฟือยพรรค์นี้”


    ทว่าอีกฝ่ายกลับเพียงเหลือบแลมาขณะโบกมืออย่างเกียจคร้าน และตอบกลับมาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจว่า


    “สิ่งของเหล่านั้นไม่นับว่าฟุ่มเฟือยสำหรับท้องพระคลัง”


    (ถึงแม้ในยามค่ำคืนที่นอนเคียงกัน คำตอบจะแปรเปลี่ยนไปเป็นเสียงทุ้มต่ำและดวงตาพราวพรายที่เอ่ยว่า ‘ข้าเพียงปรารถนาจะปรนเปรอคนรักของข้าเท่านั้น มันผิดนักหรือไร?’)


    (และเสิ่นชิงชิวก็ได้เม้มปาก แต่เป็นเพียงเพราะรู้สึกจนใจก็เท่านั้น พระสังฆราชแห่งชิงจิ้งไม่ได้ขัดเขินหรือสะเทิ้นอายอะไรเลยสักนิด)





  • extra-extra-extra-EXTRA

    ยามที่องค์ราชาเสด็จมาเยี่ยมเยือนปราสาทและอารามต่างๆ ห้องของเจ้าแห่งอาณาเขตนั้นจะถูกแปรเป็นห้องบรรทมไปโดยชั่วคราว เป็นการแสดงออกถึงความนอบน้อมอย่างหนึ่งว่าเจ้าแผ่นดินจะกุมอำนาจเหนือทุกสิ่งไม่ว่าที่ใด


    เพียงแต่เมื่อเสด็จมายังอารามหลวงแล้ว ทุกครั้งบนเตียงจะมีสิ่งเสริม...เป็น ‘พระสังฆราช’ อยู่ในอ้อมแขน


    เสิ่นชิงชิวที่ชักชินชาแล้วนอนนิ่ง ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่น้ำหนักของท่อนแขนรอบเอวไม่ได้ทำให้อึดอัด และอุณหภูมิของแผ่นอกที่แนบกับแผ่นหลังก็กลายเป็นช่วยให้ผ่อนคลาย


    พวกเขาไม่เคยทำอะไรไม่สำรวม แค่เพียงทอดกายใกล้ชิดกันอยู่เช่นนี้


    อาจมีบ้างที่ลั่วปิงเหอทำมือรุ่มร่าม หรือเกิดอยากจะสาละวนจุมพิตเขาไปทั่ว แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่อะไรเกินเลย (เสิ่นชิงชิวหวังคิดอย่างนั้น)


    อีกอย่าง ปัญหาที่น่ากังวลยิ่งกว่าน่ะคือฝีปากช่างยั่วยุนั่นมากกว่า


    “เพราะอะไรข้าถึงกอดเจ้าไม่ได้?”


    เสิ่นชิงชิวเกือบสะดุ้ง หากเป็นเมื่อก่อนคงถามกลับไปว่า ‘ตอนนี้เจ้าก็ไม่ได้กอดข้าอยู่หรอกหรือ?’ แต่เพราะใช้เวลาอยู่กับมารตัวนี้มานานเกินไปจึงกลายเป็นเข้าใจคำสองแง่สามง่ามเพิ่มขึ้นมามากมาย


    เขากระแอม “กฎอารามชิงจิ้งห้ามยุ่งเกี่ยวกามารมณ์”


    “เช่นนั้นแล้วกามารมณ์คืออะไร?”


    เสิ่นชิงชิวยังคงคุมสีหน้าเฉยชา ไม่รู้ตัวว่าจากมุมมองทางด้านหลังของลั่วปิงเหอแล้วเห็นใบหูและต้นคอขึ้นสีแดงเรื่อได้ชัดเจน


    “คือการหมกมุ่นในความหฤหรรษ์อันเกิดจากการสังวาส”


    ลั่วปิงเหอเงียบไปครู่ใหญ่ นานเสียจนเสิ่นชิงชิวเกือบจะคิดว่าอีกฝ่ายผล็อยหลับไปแล้วเมื่อจู่ๆ ถูกกัดเข้าที่ไหล่ ความเจ็บแม้ไม่มากและไม่รุนแรงจนเรียกเลือดแต่ก็ยังมากพอจะทำให้สะดุ้งไปทั้งตัว


    เสียงต่ำพร่ามาพร้อมลมหายใจร้อนริมหู


    “เช่นนั้นหากข้าทำให้เจ็บๆ ก็จะไม่นับเป็นกามารมณ์ใช่หรือไม่?”


    อดีตเจ้าอารามและพระสังฆราชผู้เลื่องชื่อด้านความสำรวมยกขาขึ้น อาศัยความทั้งฉิวทั้งอายพลิกตัวกลับไปยันเท้าถีบสุดแรง


    “เหลวไหล!!”





  • extra-extra-extra-extra-EXTRA

    ด้านนอกหิมะยังตกไม่หยุดมาเป็นวันที่สี่แล้ว ปุยขาวทับถมกันสูงขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนสภาพจากปุยนุ่นที่ละลายได้บนฝ่ามือให้กลายเป็นอุปสรรคตัวฉกาจต่อการออกเดินทาง


    ท้องฟ้ายังมืดอยู่ แต่หากให้คาดป่านนี้ก็คงเลยเวลาตื่นนอนปกติของเขาไปนานแล้ว


    แต่ถึงอย่างนั้น เสิ่นจิ่วก็ยังคงซุกตัวอยู่นิ่งๆ


    ที่นอนนุ่ม ผ้าห่มเนื้อนิ่ม โอบล้อมด้วยกลิ่นไม้หอมและดอกสมุนไพรจางๆ และอ้อมแขนอุ่น ศีรษะอิงแอบอยู่กับอกซ้าย ลมหายใจสอดคล้องไปกับเสียงหัวใจเต้นสม่ำเสมอที่ส่งผ่านมาทางความแนบชิด ทุกอย่างทั้งแสนสงบและชวนเกียจคร้านเป็นอย่างยิ่ง


    แต่แล้วท่ามกลางความเงียบ ลั่วปิงเหอพลันถามขึ้น


    “เพราะอะไรข้าถึงกอดเจ้าไม่ได้?”


    เขาสะลึมสะลือ จำต้องใช้เวลาครู่ใหญ่จึงจะควานหาข้อห้ามขึ้นมาได้ข้อหนึ่งจึงค่อยตอบเสียงอู้อี้ไปได้ว่า


    “กฎอารามชิงจิ้งห้ามแสวงหาความสุขทางกาย”


    แผ่นอกเครือครือดตามเสียงฮัมของอีกฝ่าย จากนั้นอ้อมกอดอุ่นสบายจู่ๆ ก็พลันรัดแน่นขึ้น เสียงทุ้มที่เอ่ยถัดมาเจือไปด้วยเสียงหัวเราะ ช่างฟังดูราวพออกพอใจในตัวเองเสียเต็มประดา


    “เช่นนี้ก็นับว่าเจ้าทำผิดกฎไปแล้วไม่ใช่หรือ?”


    “หุบปากน่า” เขากระเถิบเข้าไปใกล้ขึ้นอีก พึงพอใจอยู่นิดๆ เมื่ออ้อมกอดนั้นก็ต้อนรับตนเป็นอย่างดีด้วยการกระชับตอบ


    จุมพิตแผ่วแตะลงข้างขมับแทนคำตอบรับที่ไร้เสียง ดูคล้ายว่าง่าย แต่จากสัมผัสของริมฝีปากก็ทำให้รู้ว่ากำลังยิ้มอยู่เป็นแน่


    เสิ่นจิ่วหลับตาลง แล้วออกคำสั่ง


    “นอนซะ”



    _____________________________________________________________________________________________________



    Writing Playlist
    Chruch - Fall Out Boy
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
น้อนเล่นตัวมากกกกกก
น้อนเล่นตัวมากกกกกก