องค์ราชามาถึงอารามชิงจิ้งเมื่อใกล้พลบค่ำ
อาคารหินหลังงามยังคงยืนหยัดสูงตระการ โดดเด่นเหนือทิวไม้ และยิ่งยามเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกคล้ายถูกคุกคามโดยเงาทะมึนของยอดหอคอยและเสากำแพงเหล่านั้น
ประตูหนาหนักหน้าอารามเปิดกว้าง เบื้องในมืดสลัว ไร้ร่องรอยนักบวชน้อยที่มีหน้าที่คอยจุดเทียนติดตะเกียงอย่างเป็นกิจวัตร
รอบด้านเงียบสงัดและวังเวง นอกเหนือจากเงาร่างหนึ่งที่ตรงดิ่งไปตามทางเดินสู่หอสูงแล้วก็ไม่มีทั้งการเคลื่อนไหวหรือแม้แต่เสียงหายใจของใครเลยสักคน
กระดานไม้บานโตที่ลงลายอักษรข้อห้ามด้วยหมึกทองถูกกระชากลงมาบนพื้น สภาพหักครึ่งอย่างดูไม่ได้ ตัวอักษรถูกเหยียบย่ำเสียจนหมองเลือน ในขณะที่ผิวหน้ามันวาวก็เต็มไปด้วยรอยแผล ขอบมุมหักบิ่น เศษเสี้ยนและเศษไม้กระจายเต็มพื้นดูดุจเมล็ดหว่าน
ที่กล่าวไว้ว่านักบวชหนุ่มทั้งหลายลุกฮือและจากไปรวดเร็ว รุนแรงปานพายุนั้นแท้จริงมิใช่เพียงคำเปรียบเปรยสำบัดสำนวนประสาผู้อาวุโสเช่นธรรมดา หากแต่เป็นเรื่องจริงโดยแท้
ลั่วปิงเหอก้าวผ่านโต๊ะยาวและเก้าอี้ที่ล้มระเกะระกะ เบี่ยงกายหลบผ้าแขวนประดับที่ขาดวิ่นด้วยใบหน้าเรียบเฉย ปราศจากอารมณ์สะทกสะท้อนหรือแม้กระทั่งจะหยุดเสียดายกับซากสิ่งของโบราณล้ำค่า
กระนั้น แม้ไม่สนใจสิ่งใด ความคิดก็กลับยังเอาแต่จะไพล่จินตนาการไปถึงใครคนหนึ่ง
จากนี้เขาจะทำเช่นไร? กำลังคิดอะไรอยู่?
คนที่มีอารามชิงจิ้งเป็นที่พักพิงหนึ่งเดียวผู้นั้น...คงจะ...
มิรู้ว่าฝีเท้าหรือหัวใจที่เร่งไปเร็วกว่ากันแน่
ลั่วปิงเหอก้าวขึ้นไปตามบันได โค้งแล้วโค้งเล่า ขั้นบันไดหินขั้นแล้วขั้นเล่า แต่ละครั้งที่ความทรงจำบอกว่าจวนจะถึงจุดหมายแล้วก็กลับพบว่าเป็นเพียงขั้นพักบันไดอีกขั้นหนึ่ง ประดุจว่าหอคอยนี้สูงเสียดขึ้นไปอย่างไม่มีสิ้นสุด
เริ่มแรกเขาก้าวขึ้นบันไดขั้นแรกมาอย่างผลีผลาม จากนั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นความรีบร้อน ทว่าแล้วเมื่อก้าวขึ้นมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายกลับลังเลขึ้นมาเสียอย่างนั้น
บนยอดหอคอยนี้มีประตูอยู่เพียงบานเดียว เป็นประตูบานคู่ขนาดใหญ่สลักภาพสัญลักษณ์แสดงศรัทธาที่เขาไม่รู้ความหมาย กระนั้นความโอฑารและอ่อนช้อยในฝีมีดก็บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นสถานที่สำหรับผู้มีตำแหน่งสูงสุดในอาราม
ลั่วปิงเหอได้พักที่นี่เมื่อครั้งแรกที่มาเยือนครานั้น เพียงแต่ด้วยแสงสลัวจึงทำให้มองไม่เห็นลวดลายได้ชัดเจนนัก อีกทั้งความคิดของเขายังมัวจดจ่ออยู่ที่ตัวบุคคล ไม่อาจแบ่งความสนใจได้มากพอให้จดจำสิ่งอื่น
คืนนั้นเขาจงใจไล่ต้อนเสิ่นจิ่ว บีบคั้นด้วยทั้งคำพูดและสัมผัส ถึงแม้แท้จริงไม่ได้หมายจะคาดคั้นคำตอบแต่ในอกก็ยังอึดอัดเหลือแสน ทั้งความขุ่นเคือง เสียใจ และคับข้องของตลอดสิบปีหลอมรวมกันเป็นอารมณ์อัปลักษณ์อันไม่อาจควบคุม
แต่เขาก็ยังปล่อยให้อีกฝ่ายหุนหันจากไป
ตัวตนที่คั่งค้างอยู่ในความทรงจำ ชายผู้ที่เขาคิดมาเสมอว่าจะต้องชดใช้ ว่าตนจะต้องเอาคืนให้อย่างสาสม ฉุดกระชากให้ร่วงหล่นจากความสูงส่งที่น่าหัวเราะนั้น ดึงลงมาให้เกลือกกลั้วอยู่ในความผิดบาปเหมือนมารอย่างตน
ลั่วปิงเหอ อดีตสุนัขข้างทางที่สังหารเข่นฆ่าจนขึ้นมาอยู่บนจุดสูงสุด ราชาผู้บงการความเป็นความตาย...
ลั่วปิงเหอผู้นั้นมองใบหูแดงก่ำและริมฝีปากเม้มแน่นของเสิ่นชิงชิว และปล่อยให้ชายหนุ่มหลุดจากเงื้อมมือ ถลันหายไปในความมืดใต้แสงตะเกียง
คืนนั้นเขาทิ้งตัวลงบนเตียงแข็ง หนุนศีรษะบนหมอน ห่มผ้าเนื้อหยาบระคายผิว ไม่มีสิ่งใดให้ความสบายเลยสักนิด แต่เมื่อถูกโอบล้อมด้วยกลิ่นกายสะอาดเจือกลิ่นสมุนไพรและหมึกแล้วก็เผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว
วันนี้เขาเป็นผู้ผลักประตูให้เปิดอ้าออก
มีเงาของคนผู้หนึ่งอยู่ริมหน้าต่าง ร่างนั้นยืนหลังตรง ท่วงท่าอากัปแสนสง่าผ่าเผยสมฐานะเจ้าอาราม
ลั่วปิงเหอนึกสงสัยขึ้นมาชั่วขณะว่ามองเห็นตนขณะเร่งควบม้าเข้ามามากน้อยเพียงใด
เขาสาวเท้าล้ำเข้าไปหนึ่งก้าว หางตาสังเกตเห็นว่าบนโต๊ะมีจดหมายที่ยังเขียนค้างไว้
ลั่วปิงเหอเลือกจะเหลือบมองมันเพียงแวบเดียวเท่านั้น และแม้ต้องการจะถามว่าเสิ่นชิงชิวหมายจะส่งจดหมายนั่นถึงใคร ก็รู้แก่ใจตนเองดีว่าไม่ต้องการได้ยินคำตอบ
ความรู้สึกหนึ่งลุกวาบขึ้นในห้วงความคิด ทำให้คำเอ่ยพล่อยพ้นริมฝีปากไปในฉับพลันนั้น ช่างไร้ระวัง แสนสะเพร่า ทำราวกับว่าไตร่ตรองตระเตรียมคำพูดเดียวกันมาตลอดทางอย่างไรอย่างนั้น
“มากับข้า”
เสิ่นชิงชิวเพียงนิ่งขึง สีหน้าว่างเปล่าอย่างดูไม่แม้แต่จะคิดเหลือบแลมาทางนี้เลยสักนิด
“ฝ่าบาททรงประสงค์สิ่งใดจากกระหม่อม?”
อ้อมกอดซึ่งปราศจากการกล่าวโทษ และสัมผัสของมือที่ปลอบประโลมเหมือนดังในอดีต...
หากตนตอบออกไปเช่นนั้น เสิ่นชิงชิวจะยอมเชื่อบ้างสักนิดหรือไม่?
อีกฝ่ายถามซ้ำ
“พระองค์ทรงประสงค์กระหม่อมในฐานะใด?”
แสงสุดท้ายของวันทอจากขอบฟ้าผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่อ้ากว้าง อาบไล้เสี้ยวหน้าครึ่งหนึ่งนั้น เห็นเป็นสีส้มทองไล้บนสันจมูก และสีแดงอัสดงสถิตสะท้อนในดวงตา ยิ่งเสริมกับอาภรณ์มิดชิดกึ่งหลุดรุ่ยแล้วก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูราวภาพวาด
ทุกรอยยับย่นและปอยเส้นผมที่ร่วงระ ทั้งรอยเปื้อนหมึกที่แขนเสื้อ ทุกสิ่งช่างล้วนราวถูกรังสรรค์ขึ้นโดยฝีแปรงของจิตรกรชั้นเลิศ
ดวงตางามหลุบลง แพขนตาทอเป็นเงาทาบทับลงเหนือพวงแก้ม บดบังแววตา
“เชลย? ข้าทาส?...หรือชายบำเรอ?”
ลั่วปิงเหอรู้สึกในใจคันยิบ น่ารำคาญเป็นอย่างยิ่งจนทำให้เสียงทุ้มนั้นพานฟังแล้วชวนหงุดหงิดไปด้วย
เขากำหมัดแน่น
“ในฐานะสังฆราชของข้า”
ชายหนุ่มชะงัก ดวงหน้าหมดจดคล้ายจะคลายจากเงาไปชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดดวงตาคู่นั้นก็จึงเบนมาทางนี้เสียที
ลั่วปิงเหอคิดจะสืบเท้าเข้าไปใกล้ แต่ก็กลับบังเกิดความคิดไร้สาระหนึ่งขึ้นว่าหากผลีผลามแล้วร่างตรงหน้าจะสลายหายไปจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตู
พวกเขาสบตากัน ทว่าเพียงชั่วแวบเท่านั้น
“กระหม่อมไม่ปรารถนาจะไปเป็นตัวตลก” เสิ่นชิงชิวเบือนหน้าหนี ถอยร่นกลับสู่เงาเข้าอีกครั้ง
“พระองค์อาจเป็นเจ้าชีวิต แต่กระหม่อมก็ไม่อาจยอมถูกเย้ยหยันศรัทธาได้”
หนังสือเก่าเล่มหนึ่งสำคัญมากเพียงนั้นเชียวหรือ?
มากถึงกับที่เจ้าจะรั้งอยู่เพียงผู้เดียวในสถานที่เช่นนี้ตลอดไป...เช่นนั้นหรือ?
พาฬอารมณ์อันเก่าแก่และอัปลักษณ์นั่นพลันผงกศีรษะขึ้นมาอีกครั้ง ฤทธิ์ของมันเจ็บปวดแสบร้อนดังกรดกร่อนและไฟฟอน เป็นความเจ็บแสบที่ตนลิ้มรสมานานเนิ่นเสียจนใช้แทนเชื้อเพลิง
ดื้อดึงนัก
ลั่วปิงเหอก้าวข้าวธรณีประตู ลุเข้าไปเบื้องใน เด็ดขาดและสัมบูรณ์สมดังกษัตริย์ผู้พิชิตบัลลังก์
“ข้าไม่สนหรอกว่าเจ้าจะนับถืออะไร”
ความนึกรำพึงเมื่อก่อนหน้าพลันได้รับคำตอบ จากจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้ เมื่อมองลงไปแล้วไม่เพียงแต่จะเห็นม้าอาชาไนยประจำตัวของเขาได้อย่างชัดเจน ยังมีทัศนะไกลไปถึงเส้นทางที่ถูกกรุยไว้ตั้งแต่จากตีนเขา นำเข้ามาและหายไปใต้แมกไม้และปรากฏขึ้นอีกครั้งหลังบนทิวป่า
หากมีผู้ใดมาเยือน ก็ย่อมจะมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เสิ่นชิงชิวยังดื้อดึงเอาแต่จะจับจ้องม้าตัวหนึ่งอยู่อย่างนั้น ทำทีประดุจไม่รับรู้ตัวตนของใครอื่นในห้องแม้แต่น้อย
กระนั้นลั่วปิงเหอก็กลับไม่อาจรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาได้เลยสักนิด
อีกฝ่ายอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เขาเพียงยื่นมือออกไป ใช้ปลายนิ้วเชยใต้คางมนและออกแรงเล็กน้อย ชายหนุ่มก็ยอมเงยหน้าขึ้น หันกลับมาหาแต่โดยดี
ลั่วปิงเหอไล้นิ้วโป้งไปตามเรียวปากที่เม้มแน่นขณะโน้มกายเข้าไปใกล้ ออกคำสั่งด้วยเสียงแผ่วเบาราวกำลังใช้ลมหายใจห้วงสุดท้าย
“เจ้าจะต้องอยู่ข้างข้า”
เสิ่นชิงชิวหลับตาลง
จุมพิตที่ประทับลงมานั้นหนักแน่น แสนเอาแต่ใจ ทั้งขบเม้มและกดย้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับจะตีตราความเป็นเจ้าของไว้ด้วยริมฝีปากของตัวเอง
อดีตเจ้าอารามชิงจิ้งผ่อนลมหายใจ อากาศกลางฤดูร้อนนี้อบอ้าว ทั้งยังแว่วเสียงแมลงร้องมาจากไกลๆ
ทว่าเมื่ออยู่ใกล้กันเสียแทบแนบชิดเช่นนี้แล้ว...อุณหภูมิจากร่างกายของลั่วปิงเหอก็ราวกับจะทำให้รอบด้านหวนกลับไปยังคืนฤดูหนาวที่เงียบสงัดครานั้น
โอบกอดเกาะเกี่ยวกันไว้ ไม่มีผู้ใดทำใจแยกจากได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in