นับตั้งแต่ที่เสิ่นชิงชิวฟื้นขึ้นมาในร่างของ 'เสิ่นหยวน' เขาก็ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นจนครบปีแล้ว
ชื่อใหม่ ชีวิตใหม่ ตัวตนใหม่..อะไรก็ล้วนแปลกประหลาด ทั้งครอบครัวที่จู่ๆได้มี เงินทองที่จู่ๆได้มา ไหนจะยังมีเครื่องไม้เครื่องมือหน้าตาแปลกประหลาดที่ทำอะไรได้หลากหลายจนน่ากลัว
โลกแห่งนี้ไม่มีพลังปราณ ไม่มีเซียนหรือมาร จะมีก็แต่ 'เทคโนโลยี' ที่อำนวยให้การใช้ชีวิตสะดวกราบรื่น
ไม่มีใครถือกระบี่ และแทบไม่มีการต่อสู้เลยด้วยซ้ำ นับเป็นยุคสมัยที่แสนสงบเสียจนปรับตัวไม่ทัน
ทีแรกเสิ่นชิงชิวหวั่นวิตกไปสารพัด ทั้งกลัวว่านี่จะเป็นเพียงความฝันที่ลั่วปิงเหอสร้าง ทั้งกลัวว่าจะเป็นภาพลวงตาในชั่วขณะก่อนตาย และทั้งยังแสนกลัวว่าพี่น้องที่ห้อมล้อมตนอย่างอบอุ่นเหล่านี้จะจับพิรุธได้ว่าตนเป็นตัวปลอม
แต่จากหนึ่งวันกลายเป็นหนึ่งเดือน จนกระทั่งหนึ่งเดือนกลายเป็นหนึ่งปี ท้ายที่สุดแล้วคนเหล่านี้ก็ยังเกาะแกะเขาอยู่ไม่ยอมไปไหน
แม้แต่เมื่อพวกเขาลอบกระซิบกระซาบลับหลังว่า 'อาหยวนเปลี่ยนไป' และ 'พี่ชายไม่เหมือนเดิม' ต่อหน้าก็กลับจะยังปฏิบัติต่อเขาอย่างดีไม่เปลี่ยนแปลง
มันทำให้เขานึกถึงคนผู้หนึ่งในชีวิตที่แล้ว ชายผู้ดึงดันจะดูแลเขาไม่ว่าจะถูกผลักไสเท่าใด...
ไม่
เสิ่นชิงชิวตัดขาดจากสิ่งเหล่านั้นไปหมดแล้ว
ถึงแม้เขาจะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสำนักหลังจากที่ตนถูกลั่วปิงเหอคุมขัง และยังกังวลว่าเยวี่ยชิงหยวนผู้นั้นจะทำเช่นไรต่อไป แต่บัดนี้สิ่งเหล่านั้นและความทรงจำต่างๆ ก็ล้วนเป็นได้เพียงความฝันขมุกขมัวตื่นหนึ่ง หรือไม่ก็แค่เรื่องไร้สาระที่จะยอมเสียเวลาคิดทบทวนเพียงบางครั้งคราวเท่านั้น
เพราะเขาตัดสินใจจะเป็น 'เสิ่นหยวน' โดยเต็มตัวไปแล้ว
ถึงเสิ่นชิงชิวจะไม่ 'ยิ้มง่าย' หรือ 'ใจดี' เหมือนอย่างเสิ่นหยวนคนเดิม แต่อย่างน้อยที่สุดเขาก็พยายามเลียนแบบความอ่อนโยนเมื่อเก่าก่อนนั้นให้ได้มากเท่าที่จะทำได้
และก็ดูจะพยายามมากเสียจนมันเริ่มติดเป็นนิสัย ทำให้น้องสาวคนหนึ่งตามเขาแจขึ้นมาจริงๆ ยิ่งแทบจะพานให้เสิ่นชิงชิวแทบเข้าใจไปว่าตนคือเสิ่นหยวนเข้าแล้วจริงๆ
...แต่อย่างน้อยเธอก็ช่างคล้ายหนิงอิงอิงอยู่หลายส่วน เขาจึงไม่ถือสานัก
คำพูดคำจา ท่าทาง และการวางตัวนั้นปรับได้ยากที่สุด แต่ข้ออ้างว่าสูญเสียความทรงจำก็ทำให้ขจัดข้อสงสัยใดๆ ไปได้โดยง่ายดาย ในขณะที่สิ่งแวดล้อมของโลกที่ไม่คุ้นเคยนั้นต้องใช้เวลาปรับตัวไม่น้อย แต่ในที่สุดเสิ่นชิงชิวก็สามารถใช้ศัพท์สำนวนต่างๆได้อย่างคล่องแคล่ว แยกความแตกต่างระหว่าง 'โทรศัพท์' 'สมาร์ทโฟน' และ 'แท็บเล็ต' ได้ไม่มีปัญหา เขากลมกลืนแนบเนียนกับทั้งพี่น้อง ครอบครัว และสังคมรอบตัวจนสามารถเรียกได้ว่ากลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
...จนกระทั่งเดรัจฉานน่าชังนั่นปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
เขาไม่รู้ว่ามันทำได้อย่างไร แต่เมื่อคิดว่าหากวิญญาณของตนข้ามมาที่นี่ได้ ราชามารที่มีสุดยอดกระบี่ซินหมัวอยู่ในมือก็ย่อมต้องทำได้ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่ ความแค้นของลั่วปิงเหอแล่นลึกถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ถึงกับผ่ามิติ ข้ามห้วงเวลาเพื่อมาทวง 'สวะ' เช่นตนอย่างนั้นเลยหรือ?
เสิ่นชิงชิวได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ เผลอจับจ้องยามใบหน้านั้นเบือนมา
ทั้งริมฝีปาก ดวงตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งลวดลายตรามารบนหน้าผาก...
จากนั้นจึงตระหนักขึ้นได้
นั่นย่อมเป็นเพราะความอยากเอาชนะ สันดานดั้งเดิมที่ยังติดตัวเหมือนเด็กๆ เป็นเพราะยอมรับไม่ได้ที่เป้าหมายหนีรอดหลุดมือไป
เดรัจฉาน ไม่ว่ามีอำนาจเงินทองเท่าใดก็ยังเป็นเดรัจฉานอยู่วันยังค่ำ
เขาสบกับดวงตาดำขลับ มันยังลึกล้ำดังเคย ทว่ากลับขาดทั้งประกายในวัยเยาว์และเพลิงลุกโชนของยามฉกรรจ์ไป ดูไม่คล้ายธารน้ำอย่างเคย แต่เหมือนห้วงเหวลึก
เสิ่นชิงชิวยิ่งย้ำกับตนเองว่า
ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นแน่
แต่อย่างน้อยลั่วปิงเหอก็ไม่มีทางรู้ว่าชายแปลกหน้าผู้นี้คือเสิ่นชิงชิว เขาจึงวางใจข้อนี้ไปได้เปลาะหนึ่ง
เขาเสสายตาไปทางอื่น ทำทีเป็นงุนงงกับชายแต่งกายประหลาดตรงหน้าขณะก้าวถอยหนี
แต่แล้วกลับถูกคว้าแขนไว้
"เจ้า...!"
เสิ่นชิงชิวสะดุ้งโหยง โชคดีที่ยังมีสติมากพอจะเสแสร้งต่อได้
"อะไรนะครับ?"
ได้ผล สีหน้าของอีกฝ่ายรวนเรไปวูบหนึ่ง
กระนั้นก็ยังดื้อดึงสมเป็นมารเดรัจฉาน
"เสิ่นชิงชิว!"
เสิ่นชิงชิวกลั้นใจหันกลับไปหา จากนั้นจึงฝืนยิ้ม
เพราะเขารู้ดีว่าเสิ่นชิงชิวจะไม่ยิ้ม
"ผมเสิ่นหยวน คุณจำคนผิดแล้วละครับ"
ลั่วปิงเหอถูกรอยยิ้มนั้นล่อหลอกเข้าให้จริงๆ ชายหนุ่มมองดูเขา ริมฝีปากเผยออยู่โดยไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก ก่อนที่แรงรั้งจะค่อยคลายลง
เสิ่นชิงชิวก้าวถอยหนี แต่ขณะเดียวกันแขนอีกข้างก็ถูกดึงเข้าอีก
"พี่คะ...อุ๊ย!"
เขารีบหันไปทางน้องสาว นึกขอบคุณนักที่เธอโผล่เข้ามาอย่างได้จังหวะพอดี
"คนรู้จักของพี่เหรอคะ? ว่าแต่แถวนี้มีงานคอสเพลย์ด้วยเหรอเนี่ย? แต่งเหมือนจัง เย็บสวยมาก ท่าทางใช้ผ้าดีซะด้วย!" เจ้าหล่อนเปิดปากทีเดียวก็พูดรัวเป็นชุดเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
เขารีบส่ายหน้า รีบร้อนปฏิเสธว่า "เปล่า เขาแค่จำคนผิดน่ะ เราไปกันดีกว่า..."
"เสิ่นชิงชิว!!!"
ข้อมือถูกคว้าไว้อีกครั้ง แต่คราวนี้กลับกำแน่นจนเจ็บ
เสิ่นชิงชิวพลันตระหนกขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ลั่วปิงเหอจู่ๆ ไปได้ความมั่นใจมาจากไหนกันแน่?
หรือว่าตนเผลอเผยพิรุธอะไรออกไป?
เขาพยายามขืนตัวหนี แต่ก็กลับกลายเป็นยิ่งเปิดช่องให้อีกฝ่ายรุกคืบเข้าใกล้
ดวงตาคู่นั้นพลันวาวโรจน์กลับขึ้นมาอีกครั้ง ลั่วปิงเหอกัดฟันเรียกชื่อเขา เน้นลอดไรฟันทีละพยางค์
"เจอเจ้าเสียที...เสิ่นชิงชิว!!"
_____________________________________________________________________________________________________
หากดึงวิญญาณของเสิ่นชิงชิวกลับมาไม่ได้ เช่นนั้นตนก็จะเป็นฝ่ายไล่ตามไปเอง
ลั่วปิงเหอทำพิธีถูกต้องทุกระเบียดนิ้ว และเมื่อก้าวผ่านรอยแยกออกมา เขาก็ตระเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับปรโลกอย่างเต็มที่...
กลับกลายเป็นไม่คาดฝันเมื่อสิ่งแรกที่เห็นคือแสงอาทิตย์จัดจ้า ทั้งไม่เหมือนทั้งภพมารที่จากมา และโลกหลังความตายที่คิดว่าจะต้องไป
สิ่งต่อมาคือผู้คน...ขวักไขว่ไปมามีแต่สวมอาภรณ์แปลกประหลาด หญิงชายล้วนตัดผมเสียสั้น แต่ละคนถือแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กบางอยู่ในมือข้างหนึ่ง ไม่มีใครพกกระบี่
ลั่วปิงเหอหันไปทางชายที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด หากตนปรากฏตัวที่นี่ วิญญาณของเสิ่นชิงชิวก็ย่อมจะต้องอยู่ที่นี่...อาจจะถือกำเนิดใหม่ กลายมาเป็นชายผู้นี้...
ทว่าชายผู้นั้น แม้ดวงตาจะคล้ายคลึง แต่รอยยิ้มง่ายดายและน้ำเสียงอ่อนเบากลับตรงข้ามกับเสิ่นชิงชิวโดยสิ้นเชิง
ไม่ใช่?
ไม่ใช่!!!
ชั่วขณะนั้น ลั่วปิงเหออยากจะสังหารชายแปลกหน้านั่นเสีย ฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ กล้าดีเช่นไรจึงคล้ายคลึงกับเสิ่นชิงชิวเช่นนั้น แต่กลับไม่ใช่เสิ่นชิงชิวเช่นนั้น กล้าดีอย่างไรกัน??
"พี่คะ..."
หญิงสาวอีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ท่าทางสดใสกระฉับกระเฉงยิ่งขับให้ชายหนุ่มดูอ่อนจาง ไม่เหมือน ไม่เหมือนเสิ่นชิงชิวที่นิสัยฉูดฉาดดุร้ายโดยสิ้นเชิง
ชายผู้นั้นดูถูกการกระทำของลั่วปิงเหอทำให้ตระหนกเข้า ยามหันกลับไปหาสตรีนางนั้นจึงดูเสียกิริยาอยู่บ้าง ทั้งสีหน้าและเสียงที่ใช้จึงออกแปร่งไปจากก่อนหน้าพอควร
"เปล่า เขาแค่จำคนผิดน่ะ เราไปกันดีกว่า..."
ราวกับทั้งห้วงเวลาและอากาศล้วนหยุดชะงัก
มือเอื้อมออกไปโดยไม่แม้แต่ทันไตร่ตรอง ดุจเดียวกับความโหยหาที่ซึมลึกลงไปถึงสัญชาตญาณ
ในอกคล้ายพลันบังเกิดไฟขุมหนึ่งลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
เขาย่อมจำน้ำเสียงนั้นได้ ในเมื่อตนได้ยินมันมาตลอดครั้งวัยเยาว์...
น้ำเสียงที่เคยเฝ้าฝันถึง จดจำได้แม่นยำทุกทำนองสูงต่ำ คำเว้นวรรคและจะโคน
น้ำเสียงที่เคยคิดชื่นชม ริษยา สุดปรารถนาจะเป็นผู้ยินยล
น้ำเสียงที่พยายามเรียบเฉย ปิดบังด้วยความเย็นชา แต่ก็ยังรับรู้ถึงความเอ็นดูได้แจ่มชัด
มันคือน้ำเสียง..แบบเดียวกับยามเสิ่นชิงชิวเอ่ยกับหนิงอิงอิง
เปลวเพลิงเบื้องในโหมขึ้นจัดจ้า โลดเต้น หลอมให้โลหิตคุกรุ่นและเดือดปุดเสียจนสองมือสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่
หากวิญญาณเจ้าไปตอบรับคำเรียกของข้า เช่นนั้น ดุจเดิม ข้าก็จะเป็นฝ่ายคว้ามันมาเอง
"เจอเจ้าเสียที...เสิ่นชิงชิว!!"
คุณชายชิวไม่เพียงแต่ชอบใช้กำลังข่มเหงผู้อื่นเท่านั้น แต่ยังดูราวกับมีความเคียดแค้นล้ำลึกต่อเสิ่นจิ่วอยู่สุดหยั่ง ตั้งแต่อาหารการกินไปจนถึงของเล่นที่ทำจากใบไม้สาน ขอเพียงเสิ่นจิ่วแสดงทีท่าว่าชมชอบขึ้นมาสักนิดหนึ่ง สิ่งเหล่านั้นก็จะถูกโยนทิ้งหรือไม่ก็ทำลายจนไม่เหลือหลอ
คราวนี้เหยื่อของเขาคือลูกสุนัขตัวหนึ่ง
เสิ่นจิ่วเดิมทีก็ตัวผอมโกรกอยู่แล้ว เมื่อนั่งยองๆ กอดเข่าอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ดูตัวเล็กจ้อย เบื้องหน้ามีเนินดินที่เพิ่งกลบเสร็จใหม่ๆ และหากยิ่งสังเกตให้ดีก็จะรู้ว่ามือที่มีแต่หนังติดกระดูกนั่นถูกใช้ทำหน้าที่แทนจอบเสียม
ลั่วปิงเหอก้าวเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ มองดูเด็กชายอยู่นิ่งนาน สายตาสับสนลังเลอยู่ระหว่างรอยช้ำที่โผล่วับแวมพ้นชายแขนเสื้อกับขอบตาแดงช้ำ มิรู้ว่าสนใจสิ่งใดมากกว่าดี
คาดเดาจากนิสัยดังหนามแหลมองเจ้าตัวแล้ว เขาคิดว่าเสิ่นจิ่วคงจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สาปแช่งอย่างหมายมั่นว่าสักวันหนึ่งจะเอาคืนให้สาสม
หรือหากคะแนจากความอ่อนโยนที่ผุดขึ้นอย่างหาได้ยากจากสัมผัสและแววตา เขาเดาว่าเสิ่นจิ่วอาจจะรำพึงอาลัยเสียงแผ่วเบา หรือไม่ก็ร่ำไห้ออกมา
...แต่ไม่คาดคิดจริงๆ ว่าเด็กน้อยซูบซีดมอมแมมจะเอ่ยออกมาอย่างว่างเปล่า คล้ายคลึงราวเป็นเงาสะท้อนถึงอนาคตอันไกลโพ้นจากชีวิตในอีกคู่ขนานหนึ่ง ทั้งๆ ที่ดวงตายังวาวน้ำอยู่เช่นนั้น
"เพราะมันอ่อนแอเอง ถึงได้เอาชีวิตไม่รอด"
ฉับพลันนั้น ลั่วปิงเหอพลันรู้สึกราวมองเห็นวัยเด็กของตัวเองในซากลูกสุนัขไร้ชีพไร้นามตัวหนึ่ง
กระนั้นเดรัจฉานตัวนี้ก็ยังโชคดีกว่า ที่ยังมีมือเล็กๆ อุตส่าห์สร้างที่พักพิงสุดท้ายให้ มิใช่ผลักไสหรือโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
แต่ขณะเดียวกัน เดรัจฉานนั่นก็อ่อนแอเกินไป ความเมตตาอาดูรที่ไขว่คว้าค่อยได้มาเมื่อสิ้นชีวิต
ไร้กำลัง ไร้อำนาจ ไร้ค่าเกินกว่าจะต่อรองกับโชคชะตา ทั้งยังไม่มีความสามารถมากพอจะฝืนต้านกระแสกาลเวลา
ท้ายที่สุดจึงได้แต่เน่าเปื่อย สลายลง
'เกิดจากธุลี กลับสู่ธุลี'...อาจฟังดูงดงาม แต่แท้จริงก็คือความพ่ายแพ้
ไม่อาจเป็นได้มากไปกว่านั้น และไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้สักอย่างเดียว
ลั่วปิงเหอยื่นมือออกไป ด้วยระยะเพียงไม่ถึงหนึ่งช่วงแขนก็สามารถสัมผัสได้ดังใจอยาก
ผิวแก้มในปลายนิ้วเปื้อนทั้งฝุ่นและดินเสียมอม ไม่ได้งามสะอ้านเหมือนในความทรงจำเลยสักนิด หากแต่กลับจริงแท้ยิ่ง
...แต่แน่นอน ราชาภพมารไม่ได้เป็นอย่างเดรัจฉานตัวนั้น
ลั่วปิงเหอเป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่ง
เขาไม่ได้เรียนเก่งที่สุด แต่ก็ไม่ได้อ่อนที่สุด ไม่ได้ใจร้อนโผงผาง แต่ก็ไม่ได้เรียบร้อยเก็บปากเก็บคำ และถึงจะไม่ได้เคารพนับถืออะไรเป็นพิเศษ ก็ใชว่าจะทำตัวชั่วช้าเลวทรามถึงกับเป็นมารศาสนา
(แต่แน่นอนว่าความผิดพลาดอะไรก็ต้องเคยทำไปบ้างอยู่แล้ว ก็เขาเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นนี่)
ลั่วปิงเหอก็เป็นแค่คนธรรมดา ที่อาจจะดวงซวยนิดๆ เจอแต่อุบัติเหตุร้ายแรงติดกันไม่หยุดหย่อน แล้วก็ค่อนข้างดวงดีพอสมควรที่รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ทุกครั้ง
ส่วนครั้งล่าสุดนี้...
เขาแทบไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ
จำได้แค่ว่าพอไฟข้ามถนนเปลี่ยนเป็นสีเขียว ตัวเองก็กำลังก้าวขาออกไป จากนั้นหางตาทันเห็นแค่แสงสะท้อนสีขาววาบกับเสียงเครื่องยนตร์ดัง ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
จากนั้นเขาก็กำลังนอนอยู่บนพื้นแข็งๆ แสงจากโคมไฟถนนดูสว่างเสียจนทำให้ตาพร่า และรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่ามีใครคนหนึ่งยืนค้ำตนอยู่เพราะเงาที่ทอดทับลงมาและบังแสงไฟให้กับดวงตาข้างหนึ่ง
ลั่วปิงเหอรู้สึกว่าตัวเองหลับตาลงแค่วูบเดียวเท่านั้น แต่แล้วเมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้าก็กลับกลายเป็นห้องขาวสะอ้านของโรงพยาบาล
จากเงาคนหนึ่งคนเมื่อก่อนหน้า คราวนี้เพิ่มมาอีกหนึ่งกลายเป็นสอง ทั้งคู่ปล่อยผมสยายยาวไปถึเอว ทั้งยังดูแต่งกายไม่ต่างอะไรไปจากเทพเซียนในหนังละครที่เคยดูเลย เผลอๆ ยังจะยิ่งดูสมจริงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น
"แต่มันเลยเวลาตายเขามานานแล้ว..."
"ข้าไม่สน"
คนหนึ่งชุดขาว คนหนึ่งชุดดำ ชวนให้นึกถึงคู่ยมทูตหน้าขาวหน้าดำเหลือเกิน
..แล้วทำไมยมทูตต้องมาเถียงอะไรแปลกๆ แบบนี้กันด้วยล่ะ? รีบๆ พาวิญญาณเขาไปได้แล้ว!
ลั่วปิงเหออยากจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่ก็ปวดระบมไปทั่วทั้งตัว ทั้งริมฝีปากและลำคอก็แห้งผากประดุจทราย กระทั่งแค่เพียงหันคอไปมองชายทั้งสองให้ชัดขึ้นก็เหมือนต้องใช้กำลังแรงและพลังใจไปแล้วหมดสิ้น
"นี่" ชายชุดดำถอนหายใจ "ไม่สนก็ต้องสน! เจ้าเอาแต่ใจอย่างนี้เดี๋ยวก็จะทำวัฏสังสารรวนไปหมด"
ชายชุดขาวกอดอก "ข้าไม่สน"
ท่าทางดื้อดึงเช่นนั้นยิ่งทำให้ชายชุดดำกุมขมับ
"เสิ่นจิ่ว เจ้าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา! ทีปกติละโลภมากนัก เอาแต่ขู่เข็ญข้า จะแย่งวิญญาณเอาๆ นี่ไปกินอะไรผิดสำแดงมาล่ะหา??"
ลั่วปิงเหอหรี่ตา พยายามเขม้นมองร่างที่ยืนกอดอกหันหลังให้เขาอยู่ รู้สึกลางๆ ว่าเงาร่างนั้นดูคุ้นเคยอย่างแปลกๆ
ชายอีกคนสังเกตเห็นเขาแล้ว
"เอ้านั่น ฟื้นแล้ว"
ชายชุดขาวดูจะชะงักไปนิดหนึ่ง ไม่ยอมหันมามองโดยทันทีแต่ละล้าละลังราวกับกำลังชั่งใจหรือไม่ก็เตรียมใจอยู่ ก่อนที่สุดท้ายจะยอมเบือนหน้ามานิดหนึ่ง
แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
ลั่วปิงเหอเบิกตากว้าง
"ในที่สุด..."
เสียงเขาแหบแห้ง แต่ละคำที่เค้นออกมาให้ความรู้สึกราวถูกกระดาษทรายสีหลอดลม
แต่ความเจ็บแสบนั้นก็ไม่อาจเอาชนะความยินดีได้
ที่แท้ พญามารที่ตนทำพันธสัญญาด้วยนั้นมีนามว่า 'เสิ่นจิ่ว'
อา...ที่แท้ 'เสิ่นจิ่ว' คือเจ้าของวิญญาณของเขา
นามแท้จริงที่ตนพยายามค้นหามานาน ไม่ใช่แค่คำเรียกกล่าวหาว่า 'มารร้าย' หรือ 'ศัตรูของพระเจ้า' หรือข้อความที่เขียนด้วยอักขระโบราณซึ่งตนอ่านไม่ออก
ลั่วปิงเหอยิ้มกว้าง ถึงแม้จะเจ็บระบมไปหมดแต่ก็กลับรู้สึกว่าคุ้มค่า ทั้งยังลิงโลดมากเสียจนอยากจะลองเอ่ยเรียกชื่อนั้นออกมาทันทีเลยด้วยซ้ำ
ตรงข้ามกับเสิ่นจิ่วที่อยู่ตรงหน้า ทันที่ที่ได้ยินสามคำของคนบนเตียงแล้วก็ดูเหมือนจะยิ่งผงะถอยหลัง สีหน้าย่ำแย่บูดบึ้งกว่าเดิมขณะหันไปกระชากเสียงใส่อีกคน
"ข้าไม่รับ!"
ลั่วปิงเหออยากจะรู้สึกเหมือนถูกทำร้ายจิตใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าขบขันกับปฏิกิริยาของพญามารนัก
เขาตกหลุมรักครั้งแรกก็เพราะดวงตาเยียบเย็นคู่นั้น ลูกตาและนัยน์ตาที่ดำขลับราวจะไร้ก้นบึ้ง แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนภาพของผู้มองกลับมาอย่างชัดเจน ประหนึ่งว่าสามารถมองทะลุไปถึงความปรารถนาที่ลึกที่สุดได้โดยไม่ต้องเอ่ยถามว่า 'เจ้าปรารถนาสิ่งใด?'
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามริมฝีปากแตะกันแลกเปลี่ยน 'สัญญา'... แววตาที่ตัดกับริมฝีปากอ่อนนุ่ม และความอุ่นซ่านของโลหิตที่ตรงข้ามกับสัมผัสเย็นเฉียบ ทำจนเขาสะบัดร้อนสะบัดหนาว ติดตกอยู่ในห้วงรักนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ยิ่งเมื่อได้พบ 'เสิ่นจิ่ว' อีกครั้งในอากัปเปี่ยมชีวิตชีวาเช่นนี้ กระทั่งคำปฏิเสธที่ไร้เยื่อใยนั่นก็ยังฟังแล้วหวานหูสำหรับลั่วปิงเหอ
ชาย?ในชุดสีดำพยายามเกลี้ยกล่อมอีกครั้ง
"เสิ่นจิ่ว..."
"ข้าไม่มีวันรับเอาวิญญาณบิดเบี้ยวนี่ไปแน่!"
ว่าแล้วดวงตางามก็เหลือบมาทางนี้แวบหนึ่งก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ เรียกสายลมพัดวนขึ้นวูบหนึ่งก่อนที่เงาร่างสีขาวจะหายวับไป
ห้องพยาบาลตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง เช่นเดียวกับสีหน้าของลั่วปิงเหอที่เปลี่ยนกลับไปเรียบเฉยขณะหันไปทางชายชุดดำ
"ผมจะได้เจอเขาอีกมั้ย"
ฝ่ายชายชุดดำถูกจ้องด้วยสายตาเย็นเยียบอย่างนั้นแล้วก็ขนลุกชัน เข้าใจเสิ่นจิ่วขึ้นมาในทันใดว่าทำไมถึงไม่ยอมรับวิญญาณนี่ไป ทั้งๆ ที่ก็ตีตราจองไว้ตั้งแต่ตอนทำสัญญาโน่นแล้ว
แต่ในฐานะผู้กำกับ 'ความตาย' ทั้งปวง ตนจะไม่ยอมหงอ!
เขาทำใจกล้าพูดยอกย้อน
"เจ้าก็ต้องมามีสภาพนี้อีกนั่นละ"
ลั่วปิงเหอเผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ดวงตาเปี่ยมประกายระยับอย่างที่ชายชุดดำรู้สึกไม่ปลอดภัยแทนเสิ่นจิ่วขึ้นมา
"ก็แปลว่าได้สินะ"
...วิญญาณเจ้านี่ บิดเบี้ยวจนกู่ไม่กลับแล้วจริงๆ ด้วย...
(ได้ไอเดียมาจาก prompt นี้ค่ะ)
อาจิ่วเป็นแมวรักสะอาด
อาจิ่วไม่ชอบเดินบนหญ้า ไม่ชอบปีนต้นไม้ ไม่ย่ำเหยียบแอ่งน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นแล้ววันๆ หนึ่งยังเลียขนตัวเองไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ
สำหรับเสิ่นหยวนน่ะไม่ขัดข้องหรอก ยิ่งอาจิ่วรักสะอาดเท่าไหร่ก็ยิ่งสบายเขาเท่านั้น
คน...ไม่สิ 'ตัว' ที่มีปัญหานั่นน่ะ คือเจ้าปิงเกอต่างหาก
พออาจิ่วเริ่มจัดขนตัวเองทีไร เจ้าหมาตัวโตจะต้องรีบเข้าไปนั่งใกล้ๆ เฝ้ามองตาไม่กะพริบเหมือนมีอะไรน่าสนใจนักหนา แถมบางครั้งก็ยังพยายามเอาจมูกไปดุนดัน ทำเหมือนอยากช่วยบ้างแต่สุดท้ายก็ดูจะกลายเป็นขัดขวางไปทุกที
เสิ่นหยวนก็ไม่รู้หรอกว่าสัตว์เลี้ยงทั้งคู่ของตัวเองกำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่ แต่เท่าที่ดูแล้วก็เหมือนกำลังหยอกล้อกันน่ารักดีก็จึงปล่อยเลยตามเลยไป
_____________________________________________________________________________________________________
วันนี้อาจิ่วก็กำลังเลียขนตัวเองอย่างขะมักเขม้น ข้างตัวมีผู้ชมขาประจำนั่งเฝ้าอยู่เหมือนเคย
ถึงอีกฝ่ายจะจ้องเอาๆ จนชวนขนลุก แต่อาจิ่วที่เคยถูกจ้องปานจะกลืนกินหนักกว่านี้ ในร่างที่น่าอายยิ่งกว่านี้ก็รู้สึกชินชาไปหมดแล้ว
เขาเมินเจ้าหมายักษ์แล้วมุ่งสมาธิไปจดจ่อกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำแทน แต่ระหว่างกำลังเลียอุ้งเท้าหน้า อยู่ๆ เจ้าสุนัขที่สงบเสงี่ยมมาได้ตั้งนานก็เบียดตัวเองเข้ามา
อาจิ่วเงยหน้าขึ้น สบกับหมาพันธุ์ทางอัปลักษณ์ที่กำลังพยายามทำตาใสซื่ออย่างไม่แนบเนียนเลยสักนิด
ในแววตามีข้อความออดอ้อนว่า 'เลียขนฉันบ้างสิ'
แมวน้อยแสนสวยแยกเขี้ยวตอบอย่างไม่ใยดีว่า 'ไม่'
ปิงเกอเก็บเขี้ยวเล็บมิดชิด ยังคงสวมบทบาทหมาบ้านแสนเชื่องขณะเอียงคอสงสัยอย่างน่ารัก มีการแลบลิ้นเลียปากตัวเองเป็นการสื่อสารตัดพ้อว่า 'ทีเมื่อคืนฉันยังเลียให้นายไปตั้งเยอะ...'
ม๊าว!!!!
เสิ่นหยวนสะดุ้งตื่นจากนอนกลางวัน รีบตะเกียกตะกายทั้งที่ยังไม่ตื่นดีขึ้นจากที่นอนแล้วพุ่งไปตามต้นเสียง งุนงงสับสนอยู่ไม่น้อยเมื่อสัตว์เลี้ยงสองตัวที่ญาติดีกันได้มาตั้งนานทำไมอยู่ๆ ก็เหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นอีก
เขาถลันเข้าไปในห้องนั่งเล่น ทันแค่ถูกก้อนขนวิ่งฉิวผ่านขาสวนออกมา ในขณะที่อีกตัวหนึ่งด้านในห้องนั้น...
เมื่อกี้ก็ยังเรียบร้อยกันดีอยู่แท้ๆ ไหงพอลืมตาขึ้นมาอีกทีปิงเกอก็อยู่ในสภาพโดนข่วนยับไปแล้วล่ะ?!?
แว่วๆ เสียงปิดประตูตู้ดังมาจากอีกห้องหนึ่ง ดูเหมือนอาจิ่วจะงอนขึ้นมาอีกแล้ว...
แต่เพราะอะไรล่ะ?
เขาได้แต่เกาหัวงง
ถึงปิงเกอจะสภาพยับเยิน แต่ก็กระดิกหางยิ้มกว้างดูมีความสุขดีนี่นา?
นานครั้งนัก กว่าเสิ่นชิงชิวจะได้แวะไปเยี่ยมเยียนฉยงติ่งเฟิงสักครั้ง
วันนี้เมื่อตอนเช้ามีมารตนหนึ่งกระหืดกระหอบมาหา แจ้งข่าวว่าอะไรสักอย่างที่เขาไม่ได้ตั้งใจฟังแต่ทำให้ลั่วปิงเหอถึงกับสีหน้าเปลี่ยน ก่อนที่เจ้าตัวหันมาทำหน้าหมาหงอยใส่เขาทำกระเง้ากระงอดชุดใหญ่ก่อนจะต้องจำใจจากไป
ทีแรกเสิ่นชิงชิวตั้งใจจะแวะไปเตร่ดเตร่ที่ไป่จั้นเฟิงสักหน่อย แต่บังเอิญเจอเข้ากับเยวี่ยชิงหยวนระหว่างทางจึงได้ถูกชวนมานั่งจิบชาที่ฉยงติ่งเฟิงอย่างนี้
แล้วที่บอกว่าชวนมาจิบชา ก็คือได้มาจิบชาจริงๆ โดยที่ต่างคนต่างไม่ได้พูดอะไรกันเลยสักคำ
เยวี่ยชิงหยวนที่ปกติต้องเป็นฝ่ายคอยกำชับถามไถ่วันนี้จู่ๆ กลับเอาแต่นั่งเงียบ ทำเอาเสิ่นชิงชิวหน้าหดเหลือสองนิ้ว ได้แต่กุมพัดไว้แน่นแทนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
บอกตามตรงว่าสภาพตอนนี้เขาเหมือนตอนถูกแม่เรียกไปดุเมื่อสมัยเด็กๆ ไม่มีผิด ต่างแค่เพียงว่าตอนนี้ตัวเองไม่รู้จริงๆ ว่าเผลอทำอะไรผิดไป
"ศิษย์น้องชิงชิว"
ในใจเสิ่นชิงชิวสะดุ้งวิญญาณแทบหลุดจากร่าง โชคดีที่ยังมีสกิลเก๊กที่สั่งสมมานานช่วยให้ยังรักษาอาการให้ดูเยือกเย็นอยู่ได้
เขาควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบ ขณะหันไปหา
"ศิษย์พี่เจ้าสำนักมีอะไรหรือ?"
แต่ก็เสียเปล่า เยวี่ยชิงหยวนไม่ได้กำลังหันมาทางตนเลย
ชายหนุ่มเพียงมองตรงไปข้างหน้า กระนั้นสายตาก็ยังไม่ได้เหมือนมองดูยอดเมฆหรือทิวไม้รายรอบเลยสักอย่าง
ความสังหรณ์รางๆ บางอย่างทำให้ใจเขากระตุกวูบ
"ศิษย์พี่..."
"เสี่ยวจิ่ว"
อีกฝ่ายพลันแทรกขึ้น
ด้วยเนื้อคำควรจะเป็นการเอ่ยเรียก ทว่าในน้ำเสียงก็กลับคล้ายจะมีบางอย่างแผกไป
อาจเป็นที่สุ้มเสียง สำเนียง ท่วงทำนองหรือการสอดแทรกของลมหายใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันก็ทำให้เสิ่นชิงชิวไม่กล้าขานตอบ รู้สึกประหนึ่งว่าไม่ใช่กระทั่งสิทธิ์ของตัวที่จะสบตา
เยวี่ยชิงหยวนเอ่ยขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงอบอุ่นนุ่มนวลดุจเดิม
"เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสี่ยวจิ่วอยู่ที่ใด?"
ทั้งที่อยู่ใกล้กันเพียงนี้ เสียงที่ได้ยินกลับปานเป็นเพียงเสียงก้องสะท้อนจากที่ห่างไกล
เสิ่นชิงชิวนิ่งงัน
เขาก้มหน้าลง มองมือเท้าและร่างกายที่ดูจะกลายเป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์มานานมากแล้ว
ฉับพลันนั้นคล้ายอารมณ์หนึ่งตีตื้นขึ้นมาในอก ดันเอาความเงียบและลมหายใจให้ก่อตัวเป็นก้อนแข็งๆ ในลำคอ
เขาอยากจะตอบอะไรไปสักอย่าง คำโกหก? คำปลอบใจ? หรืออย่างน้อยก็คำพูดคลุมเครือเบี่ยงประเด็น
แต่สิ่งที่คิดได้กลับมีเพียงความคาดเดาที่ผุดขึ้นไม่สิ้นสุด
อาจจะยังอยู่ที่ใดสักแห่งในตัวผม ได้ยินทุกอย่างที่คุณพูด
บางทีอาจทะลุมิติข้ามโลก ไปอยู่ในร่างของใครอีกคนเหมือนอย่างผม
อาจปลิดปลิวล่องลอย ไม่ยอมหวนคืนสู่ดินฟ้า อาจรอคอยคุณอยู่ที่ไหนสักแห่ง
แต่ก็อาจข้ามสะพานไน่เหอ ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งและหลงลืมทุกอย่างไปหมดแล้ว
หรืออาจแหลกสลายจนหมดสิ้น...ไม่มีอะไรเหลือ ไม่อาจรับรู้สิ่งใดได้อีก
เสิ่นชิงชิวมองตรงไปเบื้องหน้า พลันคิดขึ้นมาว่าแสงอาทิตย์ที่มองจากยอดเขาเช่นนี้จัดจ้าเหลือทน
"ข้าไม่รู้"
เขาสูดลมหายใจลึก กลืนผ่านก้อนแข็งนั้น...
แล้วก็ได้แต่ต้องย้ำอีกครั้ง ราวกับว่าหากพูดมากครั้งขึ้น เหลี่ยมมุมแหลมคมของความตระหนักนั้นจะทื่อลง
"ข้าไม่รู้จริงๆ"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in