“อารามชิงจิ้งสะอาดเรียบร้อย ทิวทัศน์งดงามจับตา สมกับเป็นสถานที่สงบจิต”
เสิ่นชิงชิวพยายามไม่รีบเร่งเดิน แต่ก็สาวเท้าก้าวยาวขึ้นขณะกล่าวตอบว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ธรรมชาติบนยอดเขาช่างบริสุทธิ์ยิ่ง สิงสาราสัตว์แม้ไม่มากแต่ล้วนเชื่อง ข้าชอบใจนัก”
แสงจากตะเกียงถือไหววูบ ในที่สุดก็มาถึงห้องพักอันเป็นจุดหมาย
เสิ่นชิงชิวเปิดประตูอ้าออกกว้าง ผายมือไปทางด้านใน อยากจะจบบทสนทนาไร้จุดหมายนี่โดยเร็วที่สุด
“เพียงแต่ข้ามีข้อสงสัย...”
เขาขัด ความอดทนจะเล่นละครเริ่มน้อยลงทุกที “ถึงห้องบรรทมแล้วพะย่ะค่ะ”
กษัตริย์หนุ่มนิ่งมองเขา ดวงตาสะท้อนแสงตะเกียงดูวาววามอยู่ในความมืด
“ที่นี่มิใช่เคยมีสุนัขดำตัวหนึ่งอยู่หรอกหรือ?”
เสิ่นชิงชิวใจหล่นวูบ
“สุนัขดำ ที่นักบวชผู้น้อยคนหนึ่งนามเสิ่นจิ่วเป็นผู้เลี้ยง”
“ผิดแล้ว อารามชิงจิ้งไม่มีธรรมเนียมเลี้ยงสัตว์” เขารีบหันหลังให้ ทั้งด้วยจะเร่งรีบจากไปและเพื่อปกปิดพิรุธของตัวเอง
ปัง!
บานประตูปิดลงตรงหน้า หลังมือขาวผ่องวางทาบตัดกับสีน้ำตาลเข้มของเนื้อไม้แข็ง แขนข้างเดียวกับมือนั้นเป็นดังเครื่องตีกรอบที่ต้อนให้เหยื่อจำต้องอยู่กับที่
องค์ราชาต้องการอะไรกันแน่?
คิดจะให้ข้อหาสมคบกับพวกมาร ทำลายอำนาจบารมีของอารามชิงจิ้งอย่างนั้นหรือ?
เสิ่นชิงชิวข่มน้ำเสียง เอ่ยถามอย่างสงบว่า “ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ใดกันแน่?”
ชายผู้นี้อาจเป็นผู้ชิงบัลลังก์ อาจเรียกได้ว่าสำส่อน บ้าอำนาจ หรือกระทั่งเป็นทรราช กระนั้นเสิ่นชิงชิวก็ยังไม่คาดฝันว่าอีกฝ่ายจะกระทำการกำเริบเสิบสาน เสียมารยาทได้ถึงเพียงนี้
“เหตุใดเจ้าจึงทอดทิ้งมัน?”
“ทอดทิ้งสิ่งใด?”
“หากเจ้ารังเกียจ คิดทิ้งขว้าง และสุดท้ายก็จะลงมือฆ่า...เช่นนั้นเหตุใดจึงต้องมอบความเมตตาให้แก่มันด้วย?”
เสิ่นชิงชิวกำหมัดแน่น “ฝ่าบาท อารามชิงจิ้งมีกฎห้ามพรากชีวิต”
“ไยต้องดูแลมัน? มอบความอบอุ่นกับมัน? ทำให้มันต้องรู้จักความรัก”
“ฝ่าบาท พระองค์ตรัสถึงสิ่งใดกัน กระหม่อมไม่เข้าใจ”
“นั่นสินะ...”
เบื้องหลัง เสียงทุ้มเอ่ยระคนทอดถอนใจอยู่แผ่วเบา ทำให้ผู้ฟังพลั้งเข้าใจไปชั่วขณะว่ายอมเลิกรา
“ฝ่าบาท...”
แผ่นหลังถูกอุณหภูมิร้อนทาบทับแนบชิด ก่อนที่เสียงเดิมจะดังขึ้นอีกครั้ง ใกล้จนเกินพอดี
“เจ้าเป็นนกน้อยในกรงทองเช่นนี้ เคยรู้อะไรบ้าง?”
ข้อนิ้วเกลี่ยลงข้างแก้ม บรรจงจัดปอยผมทัดหูให้อย่างบรรจง
“รู้จักความรักหรือไม่?”
มือแกร่งกำหลวมๆ รอบลำคอ ไม่ถึงกับบีบรัดหลอดลม แต่ก็ทิ้งน้ำหนักที่ประหนึ่งจะสามารถช่วงชิงลมหายใจไปได้จริงๆ
“รู้จักความแค้นหรือไม่?”
ปลายนิ้วจรดลง ทีแรกเพียงผิวเผิน จากนั้นจึงลงน้ำหนักประทับ แม้มีปราการกางกั้นแต่สัมผัสก็ยังชัดแจ้งผ่านอาภรณ์เนื้อโปร่งสำหรับฤดูร้อน
ฝ่ามืออันเป็นดังถ่านคุเลื่อนไล้ตามเส้นกระดูกไหปลาร้า อ้อยอิ่งแถวแอ่งชีพจร ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนผ่านแผ่นอก และทาบลงอย่างหมิ่นเหม่ที่ท้องน้อย
เสิ่นจิ่วลมหายใจสั่นสะท้าน เพิ่งตระหนักชุดคลุมตัวยาวที่สวมอยู่นี้แสนจะอึดอัดระคายผิว
จุมพิตประทับลงบนใบหู เสียงฉ่ำชื้นของริมฝีปากและปลายลิ้นอันใกล้แสนใกล้ยิ่ง
“อ๊ะ...!”
เสียงหัวเราะแผ่วดังขึ้น แล้วจึงตามมาด้วยคำถามทุ้มพร่า
“เคยลิ้มรสกามารมณ์หรือไม่?”
เสิ่นจิ่วเม้มปากแน่น ถูกลมหายใจริมหูและฝ่ามือร้อนผ่าวบนบั้นเอวตรึงทั้งร่างไว้กับที่
ทั้งที่เป็นสัมผัสสาธารณ์ แต่ก็กลับเป็นความสาธารณ์อันวาบหวามและทรงอานุภาพยิ่ง
ทั้งที่นี่เป็นอารามชิงจิ้งอันศักดิ์สิทธิ์ และทั้งที่ตนอยู่ในอาภรณ์นักบวชอันทรงศีล ทั้งที่ควรเป็นเช่นนั้น...
ท่ามกลางสัมปชัญญะล่องลอยและตื้อตันเหมือนปุยนุ่น ด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิงดังปมด้าย ชายหนุ่มพยายามขัดขืน เขาผละจากแผ่นอกที่บดเบียดเข้าแนบชิดแล้วหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า คิดว่าแม้ตนจะต้องตกอยู่ในสภาพหลังชนฝาก็ยังจะดีกว่า
“เจ้า...” ไม่ใช่ “ฝ่าบาท...”
คำพูดพลันชะงักอยู่ในลำคอ
องค์กษัตริย์ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ยังคงตรึงตาสง่างามเหมือนดังที่เห็นในงานเลี้ยงตลอดคืน ต่างไปเพียงที่บัดนี้กำลังเผยพักตร์แท้จริงแก่ผู้มอง
แน่นอน รูปโฉมอันเป็นที่ยอมรับเลื่องลือนั้นยังเห็นเค้าความงามชัดแจ้งแม้ใต้แสงวอบแวมของตะเกียงใกล้ดับ...
เว้นจากไฟหรุบหรู่นั้นแล้วรอบด้านล้วนไร้แสงใดอื่น นอกหน้าต่างคือคืนเดือนดับไร้แสงนวล และแม้จะมีประกายสกาวจากดวงดารา ทั้งหมดก็ล้วนถูกกลบกลืนจนมืดมัวไปโดยหมู่เมฆ
แต่นอกเหนือจากแสงอ่อนจากตะเกียงนั้นแล้ว กลับยังมีแสงเรืองสีแดงอยู่อีกหนึ่ง
เสิ่นจิ่วพยายามก้าวถอย ทว่าแผ่นหลังก็แนบสนิทกับบานประตูไม้แข็ง สิ้นทางหนี
ราชาหนุ่มคลี่ยิ้ม ตรามารกึ่งกลางหน้าผากดูประดุจลายบุปผาเพลิง อ่อนช้อยงดงาม ทว่าเปี่ยมอันตรายอย่างยิ่ง
เขาได้แต่จับจ้องดวงหน้านั้น ตรามารนั้น ไม่อาจละสายตาไปได้ราวกับต้องมนตร์สะกด ขณะเดียวกันขุมบางอย่างในอกก็ทำให้แค่นเสียงเยาะออกไปว่า
“มีราชาเป็นมารอย่างนั้นหรือ? เช่นนี้แผ่นดินคงเข้าสู่กลียุคเสียแล้ว”
รอยยิ้มนั้นพลันเลือนหาย ก่อนที่มารจะส่ายศีรษะช้าๆ สุ้มเสียงท่ามกลางความอุดอู้ทำให้คล้ายจะฟังดูอ่อนลง
“เจ้าลืมกฎเกณฑ์คำสอนไร้สาระพวกนั้นไปเสียเถิด”
“จิตวิญญาณของข้ายึดมั่นอยู่กับพระคัมภีร์”
ครานี้กลับกลายเป็นคนตรงหน้าที่แค่นหัวเราะ “แล้วร่างกายของเจ้าเล่า?”
ขาทั้งสองของเขาถูกบางอย่างบังคับให้อ้าออก เสิ่นจิ่วตัวแข็งทื่อ เมื่อก้มลงก็จึงเห็นขาข้างหนึ่งของอีกฝ่ายที่แทรกเข้ามา ก่อนจะงอข้อพับ ใช้เข่าบดเบียดเสียดสีเข้ากับ...
“อ้า...”
ส่วนแข็งขึงกึ่งกลางหว่างขาถูกคลึงเคล้น บังเกิดเป็นรสสัมผัสแปลกประหลาดไม่เคยเผชิญมาก่อน ช่างราวมรสุมโหม หรือไม่ก็คลื่นซัดสาด ฉับพลันรุนแรงและส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อกันจนทำให้สั่นสะท้านไปทั้งกาย
“จะ เจ้า...”
“นี่น่ะหรือร่างกายที่ปวารณาแก่อารามศักดิ์สิทธิ์?”
เขากัดฟันแน่น ลมหายใจหนาวเหน็บทั้งที่เป็นกลางฤดูร้อน เหงื่อกาฬผุดพรายเย็นเยียบเต็มแผ่นหลัง ตรงข้ามกับฝ่ามือที่บรรจงประคองใบหน้าและจุมพิตรุ่มร้อนพร่างพรายลงบนหน้าผาก เปลือกตา และมุมปาก
เสิ่นจิ่วนึกถึงนกน้อยตัวนั้น คิดใคร่รู้เหลือเกินว่าก่อนจะเหลือเพียงซากเนื้อกองนั้น มันจะรู้สึกเหมือนกับตนตอนนี้หรือไม่
“ข้าไม่ใช่ลูกสุนัขอ่อนแอตัวนั้นอีกต่อไปแล้ว”
เสียงทุ้มกระซิบพร่ากับริมฝีปากของเขา ก่อนที่ปลายลิ้นอุ่นนุ่มจะแลบเลีย แล้วค่อยๆ ชำแรกรุกล้ำเข้ามาเบื้องใน
เสิ่นจิ่วทั้งถูกขบเม้มและดูดดุน โพรงปากถูกฝ่ายตรงข้ามตักตวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียจนราวดวงวิญญาณก็ถูกสูบออกไปเสียด้วยพร้อมกัน
“อา...” เจ้าสุนัข! เดรัจฉาน!
“หากเจ้าสูงส่งนัก ข้าก็จะฉุดกระชากเจ้าลงมาเกลือกกลิ้งกับข้า หากเจ้าศรัทธานัก ข้าก็จะทำให้เจ้ามัวเมาลุ่มหลงเสียจนลืมทุกสิ่งสิ้น”
ทั่วร่างทุกอณูล้วนผะผ่าวไปด้วยความหวามซ่าน กระนั้นจิตใจกลับสุดพรั่นพรึง
กฎอารามชิงจิ้งห้ามปรนเปรอทางกาย ห้ามปล่อยอารมณ์พลุ่งพล่าน ห้ามแสวงหาความสุขสมร่วมเพศ ห้าม...
ริมฝีปากร้ายกาจนั่นจู่โจมเขาอีกครั้ง ช่วงชิงทั้งลมหายใจและสติสัมปชัญญะจนตัวเขาเหลือแต่กายอันว่างเปล่าโหยหา
“เสิ่นจิ่ว...”
ดวงตาดำขลับคู่นี้เองก็บาปหนานัก แล้วไฉนจึงจับจ้องมาอย่างลึกล้ำเช่นนี้เล่า?
“จะพยายามผลักไสข้าอีกเท่าไรก็ได้ แต่เจ้าจะไม่มีวันทำสำเร็จอีกเป็นครั้งที่สอง”
_____________________________________________________________________________________________________
leave to someone's tender mercies = Submit to another's power or discretion, especially to an unsympathetic individual.
—from "A righteous man regardeth the life of his beast; but the tender mercies of the wicked are cruel."
จริงๆถึงจะไม่ได้ระบุไว้ตรงๆ แต่อิมเมจในหัวก็คือแบ็คกราวนด์เป็นยุคกลางค่ะ ส่วนศาสนาอารามชิงจิ้งนี่ก็..พยายามไม่ใส่ดีเทลเยอะ แต่ก็ติดกลิ่นอายศาสนาคริสต์มาพอสมควรเลย ขอโทษด้วยค่ะTT (แต่ส่วนนึงก็เพราะได้แรงบันดาลใจจากตอนอ่านเรื่องอารามคริสต์นี่แหละ)
ทีแรกตั้งใจจะมาแนวดราม่าทวงแค้น ท่านทิ้งข้าทำไม?!? อะไรแบบนี้... แต่อยู่ดีๆ ก็งอกเองโตเองกลายเป็นฟิคสองแง่สามง่ามเฉยเลย..............
Writing Playlist
Take Me To Chruch - Hozier
...อย่างไม่ต้องสงสัย 555
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in