ถึงแม้ราชามารลั่วปิงเหอจะมีภรรยาอยู่กว่าแปดร้อยคน อีกทั้งยังมีกิจกรรมยามค่ำคืนอยู่ไม่ขาด ทว่าจำนวนบุตรธิดากลับน้อยนัก ทั้งวังมารอันกว้างใหญ่แห่งนี้มีเด็กน้อยอยู่เพียงเก้าคนเท่านั้น
เพราะน้องทั้งแปดคนของเขามีความชอบความชังที่แตกต่างหลากหลายและซ้อนทับกันยุ่งเหยิงอย่างนี้ ลั่วชิงหยวนจึงต้องพยายามอย่างหนักที่จะหาจุดกึ่งกลางที่ทุกคนสามารถอยู่กันอย่างสบายใจ
เขาเคยพยายามแบ่งกันออกเป็นกลุ่มย่อยๆ แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะทุกคนต่างติดกันและกันเป็นตังเม อย่างเช่นว่า ถึงน้องชิงหัวจะไม่ชอบตำหนักท่านป้าชิวเอามากๆ แต่เมื่อไหร่ที่น้องชิงชีไปขลุกอยู่ที่นั่นก็จะยอมอดทนยืนรออยู่หน้าประตูแต่เช้าจรดเย็น
หรือตอนที่น้องหกอยากซ้อมกระบี่ด้านนอก น้องสามที่อยากนอนอ่านหนังสืออยู่เฉยๆ ใจจะขาดก็ยังอุตส่าห์ไปขุดกระบี่ของตัวเองออกมาจากก้นหีบเพื่อเป็นคู่ซ้อมให้ โดยที่มีผู้ชมอีกเจ็ดคนนั่งมองตาปริบๆ
...โชคดีที่วันหนึ่งพวกเขามัวเล่นซนกันจนไปพบป่าไผ่ที่อยู่ลึกหลังวังเข้า...
บรรยากาศในป่าไผ่แตกต่างจากสถานที่อื่นๆ โดยสิ้นเชิง มันทั้งสว่างสดใส มีสายลมเย็นหอบกลิ่นหอมสดชื่นโชยมาปะทะจมูกอยู่เป็นระยะ และถึงแม้ลั่วชิงหยวนจะไม่เคยเห็นต้นไผ่มาก่อน เด็กชายก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าต้นไผ่เหล่านี้เขียวชอุ่ม งอกงามเสียจนดูราวกับเป็นภาพลวงตา
พวกเขาพี่น้องต่างใจกล้าด้วยสายเลือดมารฟ้าเสี้ยวหนึ่งในตัว ทำให้แม้กำลังหลงทางแต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็นจนอดจะยิ่งอยากเดินสำรวจไม่ได้
ลั่วชิงหยวนเดินนำ มุ่งหน้าลึกเข้าไปด้านในจนกระทั่งดงไผ่เริ่มเปิดโล่งออกเป็นลาน กลางลานนั้นมีกระท่อมเล็กหลังหนึ่งตังอยู่
เมื่อเดินเข้าไป ก็จึงค่อยเห็นเงาสีเขียวอ่อนร่างหนึ่งอยู่ในหมู่ต้นไผ่
พวกเขาเข้าไปใกล้ขึ้น รายละเอียดของบุคคลปริศนาก็ค่อยแจ่มกระจ่าง พอให้มองออกว่าเห็นชายผู้หนึ่ง รูปร่างผอมสูง เรือนผมดำขลับรวบอย่างง่ายๆ ล้อมกรอบใบหน้าหมดจด ไม่มีเครื่องประดับหรือประทินโฉมอย่างที่เห็นในวังจนคุ้นตา และยังไม่มีกลิ่นหอมฟุ้งใดอื่นนอกเหนือจากกลิ่นใบไผ่
ลั่วชิงหยวนชะงักไปแวบหนึ่ง อาจจะเพราะแปลกใจ ประหลาดใจ แต่ที่แน่ๆ ย่อมไม่ใช่เพราะตกตะลึง
ในภพมารมีคนหน้าตาสวยหล่อล่มเมืองเต็มไปหมดอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาเก้าพี่น้องจึงไม่มีใครแม้แต่จะกะพริบตาให้กับรูปโฉมของชายคนนั้น
เพียงแต่บนร่างในชุดเขียวอ่อนนั่นกลับเหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้กลิ่นอายของเขาแตกต่างออกไป...
ไม่ได้งดงามหรือเปี่ยมเสน่ห์สะกดใจ แต่กลับดูสูงส่งอย่างไม่อาจละสายตาได้โดยแปลกประหลาด
ชายคนนั้นหันมาเห็นพวกเขา สีหน้าพลันตกตะลึง “พวกเจ้า...”
ลั่วชิงหยวนขบคิด เด็กน้อยวัยสิบขวบปีพยายามสวมบทบาทเป็นผู้ใหญ่เกินตัวอย่างยิ่ง เลียนแบบท่าทางของท่านพ่อในยามประชุมขณะชั่งน้ำหนักในใจว่าควรพูดคุยกับคนแปลกหน้าดีหรือไม่...
แต่ดูเหมือนน้องชิงหัวจะช่วยตัดสินใจให้ไปก่อนแล้ว ด้วยการโพล่งออกมาอย่างกระตือรือร้นว่า
“ข้าชิงหัว จะเรียกว่าเสี่ยวหัวก็ได้นะ”
จากนั้นน้องสี่และน้องห้าก็แนะนำแบบเดียวกันตามไปติดๆ เช่นเดียวกันกับน้องชิงชีและชิงเกอที่ถึงจะเขินอายแต่ก็พยายามเลียนแบบพวกพี่ๆ อย่างขันแข็ง
“ข้าชิงชี ปีนี้ก็จะห้าขวบแล้ว”
“ขะ ข้า...ชื่อชิงเกอ...”
ลั่วชิงหยวนอยากจะถอนหายใจดังๆ แต่เพราะถูกท่านแม่ใหญ่อบรมมาอย่างเข้มงวดจึงข่มความรู้สึกนั้นไว้ หันไปประสานมือให้กับอีกฝ่าย
“ข้อลั่วชิงหยวน เด็กทั้งแปดคนนี้เป็นน้องของข้าเอง พวกเราต้องขออภัยที่เข้ามารบกวนท่านผู้อาวุโส”
ชายเจ้าของกระท่อมไม่เอ่ยอะไรตอบ นิ่งเงียบอยู่สองนานเสียจนลั่วชิงหยวนหวั่นใจว่าจะถูกถือสาหาความเข้าจริงๆ
ความวิตกกังวลทำให้เหงื่อผุดพรายขึ้นเต็มหน้าผากและเปียกชุ่มเต็มแผ่นหลัง เด็กหนุ่มกำลังหวาดหวั่นไปถึงขั้นลงไม้ลงมือต่อสู้พอดีเมื่อคนตรงหน้าเปิดปากขึ้นในที่สุด
“ข้า...” เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบา ติดจะพร่าน้อยๆ เหมือนคนที่ไม่ได้ใช้เสียงมานาน “เรียกข้าว่าเสิ่นจิ่วก็พอ”
“ท่านผู้อาวุโสเสิ่น” ลั่วชิงหยวนตอบรับ พยายามทำท่าทางให้ดูเคารพนบนอบอย่างเป็นทางการที่สุดเท่าที่จะทำได้
ผู้อาวุโสท่านนี้ดูคล้ายมีบางอย่างในใจนัก ชายหนุ่มมองเขาเงียบๆ อยู่กว่าครู่ใหญ่ก่อนที่ในที่สุดจะเอ่ยออกมาช้าๆ
“แม่ของพวกเจ้าคือใคร?”
ลั่วชิงหยวนงุนงงกับคำถามที่ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนั่นแวบหนึ่ง แต่ความคิดง่ายๆ ของเด็กน้อยก็ ‘เข้าใจ’ ได้อย่างรวดเร็วว่าเหล่าฤๅษีเร้นกายในนิยายก็ล้วนมีนิสัยแปลกๆ กันทั้งนั้น
“พวกเราแม้จะถือกำเนิดกันต่างแม่ แต่ก็ล้วนนับถือท่านแม่ใหญ่เป็นมารดาคนเดียวกัน”
น้องสามพยักหน้า “ท่านแม่ใหญ่ของพวกเราแซ่หลิ่ว นามหมิงเหยียน”
อีกฝ่ายนิ่งงันไปครู่ใหญ่อีกครั้ง
“หลิ่วหมิงเหยียนอย่างนั้นหรือ...”
“ท่านก็รู้จักท่านแม่ใหญ่ด้วยหรือ?” น้องชิงหัวรีบถามอย่างตื่นเต้น
ผู้อาวุโสเสิ่นหันไปตามเสียงคำถามนั้น แววตาใสกระจ่างเรียบเฉยราวกำลังมองเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่ง ลักษณะท่าทางตรงข้ามกับรอยยิ้มใจดีที่เหล่าท่านป้าท่านน้าในวังมักมีให้
แต่ก็คงเพราะความแตกต่างนั้นถึงทำให้น้องๆ ของเขายิ่งสนใจ
อีกฝ่ายกำลังจะกล่าวตอบ เมื่อจู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ท่าทางใจลอยเมื่อกี้หายวับ สีหน้าของชายหนุ่มพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระด้างเย็นชา
“ลั่วปิงเหอ”
“ท่านพ่อ!”
“ท่านพ่อ!!”
“ทะ ท่านพ่อ...!”
ลั่วชิงหยวนลอบมองใบหน้าของเสิ่นจิ่วด้วยความฉงนอีกแวบหนึ่ง ก่อนจะทำความเคารพอย่างเป็นทางการขณะเอ่ยขานว่า
“ท่านพ่อ”
ลั่วปิงเหอยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก ร่างสูงสวมอาภรณ์ทางการสีดำ ปักดิ้นเลื่อมลายงามตาสมศักดิ์ ในมือข้างหนึ่งถือซินหมัว ในดวงตาลึกล้ำทว่าปราศจากความอบอุ่นอย่างที่ควรจะมีโดยสิ้นเชิง
พวกเขาทั้งเก้าเป็นทายาทที่มีจำนวนอยู่น้อยนิดขององค์ราชามารก็จริง แต่นอกเหนือจากการปรนเปรอตามสมควรแก่ฐานะองค์ชายองค์หญิงแล้ว ความสัมพันธ์ฉันครอบครัวระหว่างบิดาและบุตรกลับมีเพียงน้อยนิด
ถ้าหากลั่วชิงหยวนอายุมากกว่านี้ เขาอาจจะเริ่มตั้งคำถามว่าบิดาจะให้พวกตนเกิดมาทำไม แต่เพราะเด็กน้อยเพิ่งอยู่บนโลกนี้มาได้เพียงทศวรรษเดียว ในความคิดจึงมีเพียงแต่ต้องการความรักใคร่เอ็นดูเท่านั้น
“เป็นเพราะลูกดูแลน้องๆ ได้ไม่ดี จึงพลั้งหลงทางจนมารบกวนท่านผู้อาวุโสเสิ่นเข้า...”
เขายังพูดไม่ทันจบ น้องเจ็ดที่ยังเล็กเกินกว่าจะอ่านบรรยากาศออกก็พลันทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า
“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านอาวุโสเสิ่นเป็นใครหรือขอรับ? มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วทำไมถึงอยู่คนเดียวกลางป่าแบบนี้ด้วย?”
เด็กชายแอบสังเกตสีหน้าของเสิ่นจิ่วอีกครั้ง เห็นคิ้วเรียวขมวดชักเข้าหากันน้อยๆ ดูท่าทางไม่สบอารมณ์
แต่เมื่อหันกลับไปทางลั่วปิงเหอ กลับพบรอยยิ้มบาง
“ผู้อาวุโสเสิ่นเป็นที่ปรึกษาที่พ่อเชิญมาน่ะ”
น้องสาม น้องสี่ และน้องหกพยักหน้าเข้าใจหงึกหงัก ยิ่งทำให้ผู้เป็นบิดาพึงพอใจ จึงกำชับเสริมอีกว่า
“เขาอยู่ที่นี่เพราะชอบความสงบ ดังนั้นพวกเจ้าก็อย่ามารบกวนให้มากนัก เข้าใจไหม”
มือข้างที่ไม่ได้ถืออาวุธยื่นออกไปหาบุตรสาว หมายจะลูบศีรษะ
“ลั่วปิงเหอ”
คำเรียกของผู้อาวุโสเสิ่นห้วนสั้น น้ำเสียงก็ไม่ใคร่น่าฟังนักแต่กลับดึงความสนใจของราชามารได้ฉับพลัน ลั่วปิงเหอชักมือกลับ ไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้เด็กหญิงที่กำลังรอคอยความอบอุ่นเสี้ยวเล็กจากบิดาต้องผิดหวัง
“เรายังมีเรื่องให้ต้องคุยกันอีก”
คำพูดประโยคนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นการออกคำสั่ง ทว่าชายผู้ควรจะหยิ่งในศักดิ์ศรีและไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครกลับมีแต่จะยิ่งยิ้ม ตอบรับโดยง่ายดายว่า
“ได้สิ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in