“แปง?”
ผมกำลังงุนงงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา ตรงหน้าของผมคือแปงที่กำลังคร่อมทับผมที่นอนราบอยู่กับฟู่
“…แปง?”
ผมถามย้ำอีกครั้ง ร่างกายและหัวต่างก็หนักอึ้ง ภายนอกฝนยังคงไม่หยุดตก แม้จะมืดจนมองแทบไม่เห็น แต่ใบหน้าของแปงปรากฏสีหน้าเจ็บปวดอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มือของอีกฝ่ายกุมอยู่ที่ข้อมือของผม
“แม่งเอ๊ย...”
แปงสถบ ก่อนจะปล่อยมือจากผม แต่ยังคงคร่อมร่างผมไว้อยู่
“กุขอโทษนะ ...ที่ใช้ศักยภาพกับมึง”
“ฮะ? …มึงพูดอะไร..?”
สติของผมพร่าเบลอ ความสามารถในการทำความเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าเข้าขั้นวิกฤต
“กุปลุกให้มึงตื่นเอง...ด้วยศักยภาพของกุ”
“…นี่มึง”
ผมโกรธ แต่ก็ไม่ได้โกรธขนาดนั้น หรืออาจเพราะพิษไข้ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะโกรธ แปงจ้องมองผมด้วยสายตาจริงจัง จ้องลึกเข้ามาในนัยน์ตาของผม
“…กุแค่อยากรู้”
“?”
“ครูนารา...คือใคร?”
“มึงรู้ได้ไง?”
เวฟเบิกตากว้างเล็กน้อย ผมรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายพยายามประคองสติเพราะศักยภาพของผมที่บังคับให้เขาตื่นรวมกับอาการไข้ที่ยังคงโจมตีร่างเล็กข้างใต้
ผมสับสน อีกใจรู้ตัวว่าทำเกินไปแต่อีกใจก็กระหายอยากได้คำตอบ
“ถ้ามึงจะถาม ทำไมไม่ถามกุดีๆ ทำไมต้องใช่ศักยภาพกับกุด้วยวะ” เวฟพูดพร้อมท่าทางไม่พอใจ อีกฝ่ายมีสีหน้าเจ็บปวดและดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้า หยดน้ำตาที่เคลือบนัยน์ตาสีดำสนิมสะท้อนกับแสงไฟ ทำให้ใจของผมอ่อนยวบยาบ
“กุ...ขอโทษ”
น้ำเสียงของผมอ่อนลง ใจที่เคยร้อนรุ่มสงบลงไปบ้าง พอได้สติว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังทำเรื่องงี่เง่าขึ้นมา
“ขอโทษ” ผมบอกขอโทษอีกครั้ง
ผมค่อยๆนอนลงข้างๆอีกฝ่าย ตะแคงตัวหันไปทางเขา เวฟก็เช่นกัน เราสบตากัน ผมเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าที่ย้อมด้วยพิษไข้ของอีกฝ่าย มันทั้งร้อนและเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
“..ขอโทษนะ”
“รู้แล้ว ...ไม่ต้องย้ำบ่อยๆดิ”
เวฟพูดขณะหลับตาลงเหมือนเหนื่อยล้า ยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดที่ใช้ศักยภาพกับคนป่วย เวฟค่อยๆลืมตา เอื้อมมือเล็กๆของตัวเองมากุมมือของผมที่ว่างอยู่บนใบหน้าด้านข้างของตน
เวฟค่อยๆเล่าทุกอย่างด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา มันทั้งอ่อนล้าและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน หยดน้ำตาเม็ดเล็กไหลปะปนกับหยดเหงื่อ ทั้งความเศร้า ความโกรธ ความเจ็บปวดและหงอยเหงาผสมปนเปกันจนไม่เหลือชิ้นดี ผมได้แต่โทษตัวเองที่ไม่ยอมสังเกตเห็นความเจ็บปวดนี้ ผมรู้ว่าเวฟมีอะไรในใจมากมาย แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ผมก็เบือนหน้าหนีมันมาตลอด กลัวตัวเองรู้ความจริงแล้วจะต้องเจ็บปวด เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ ทั้งที่ความจริงแล้วมันสำคัญ ทั้งที่ถ้าผมสังเกตเห็นมันสักนิด ผมก็คงรู้ได้ทันที ถึงความเจ็บปวดของเวฟ ตัวตนที่ทั้งหงอยเหงาและโดดเดี่ยวของเขา หรือแม้แต่หัวใจเปราะบางที่โหยหาใครคนสัก
ผมดันหัวเวฟให้เข้าหาตัวเอง คนตัวเล็กซุบหน้าลงที่อก ขดตัวกับผ้าห่มเพื่อหาความอบอุ่น ผมโอบกอดร่างนั้นไว้อย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่ามันจะแตกสลาย ได้ยินเสียงหายใจโรยรินของคนป่วยพร้อมกับเสียงสายฝนข้างนอกที่ยังไม่มีท่าทีจะหยุดตก
“นอนซะนะ”
ผมกระซิบเสียงแผ่ว ฝังจมูกลงที่หน้าผากของอีกคน ได้ยินเสียงตอบเบาๆว่า “อืม” ด้วยความเหนื่อยล้าก่อนจะหลับไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in