แม้ว่าทั้งคู่จะค้นพบว่าทั้งสองไม่อาจตายได้ด้วยเหตุผลบางประการ แต่นั่นไม่ได้หยุดความพยายามทั้งคู่
ในทางกลับกัน ข้อเท็จจริงนี้ดูจะส่งเสริมให้ต่างฝ่ายต่างสรรหาวิธีฆาตรกรรมคู่สมรสตัวเองมากขึ้นราวกับจะเย้ยโชคชะตา
หรืออาจแค่หาที่ระบายความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่าย
เสิ่นชิงชิวสบตากับผู้ที่กำลังจะเป็นสามีตัวเองในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ก่อนจะเสหน้าหนีเมื่อพบกับรอยยิ้มที่มอบกลับมา
“...เสิ่นชิงชิว คุณยินดีรับ ‘ลั่วปิงเหอ’ เป็นสามีของคุณหรือไม่”
ทั้งโบสถ์เงียบกริบ รอคอยคำตอบจากผู้โชคดีที่ได้หนุ่มนักธุรกิจหน้าใหม่เป็นเจ้าบ่าว
เขานึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองหากตอบตกลง ลั่วปิงเหอกลายเป็นคนอารมณ์รุนแรงนับตั้งแต่ปรากฏตัวขึ้นหลังจากหายไป 5 ปี รอยฟกช้ำใต้ชุดแต่งงานของเขาล้วนเกิดจากมืออีกฝ่ายยามเมื่อเขาต่อต้านหรือไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ต้องสงสัยว่าหากเขาตอบรับ เขาย่อมไม่สามารถหลีกหนีได้อีก
แต่ถ้าหากเขาไม่ตอบรับ
อาการของเสิ่นหยวนทรงตัวขึ้นมากเมื่อลั่วปิงเหอหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาและออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้
พี่ชายของเขา ครอบครัวเพียงคนเดียวของเขา กลายเป็นตัวประกันให้เศษสวะเบื้องหน้าเขาใช้ต่อรอง
“รับ” เสียงหนักแน่น เด็ดเดียวเช่นความทะนงที่มากเกินไปของตัวเอง
ลั่วปิงเหอยิ้มร่า ดวงตาประกายระยับจนน่าขัดใจ เอื้อมมือมาจับที่คางของเขาเมื่อบาทหลวงอนุญาตให้คู่แต่งงานคู่ใหม่จุมพิตประทับตราซึ่งกันและกัน ออกบีบแรงเสียจนเสิ่นจิ่วนิ่วหน้า ลั่วปิงเหอประทับจูบลงบนริมฝีปากคู่ครองของตน เสียงประกาศของบาทหลวงยังกังวานในหูของเสิ่นจิ่ว
‘นับแต่นี้ ขอประกาศให้ทั้งสองเป็นสามีและภรรยากัน’
ให้ตายเถอะ
หนึ่งปีกว่าหลังจากนั้น
เสิ่นจิ่ววางอาหารเช้าตรงหน้าลั่วปิงเหอก่อนจะนั่งลงที่นั่งตรงข้าม ฉีกยิ้มกว้างให้สามีของตน
ปิงเหอมองอาหารอย่างระแวง
เสิ่นชิงชิวหัวเราะเบาๆจิ้มไส้กรอกจ่อที่ปากอีกฝ่าย
“อะไรกันแต่งงานได้แค่ปีเดียว นายกลับระแวงว่าฉันจะฆ่านายจนไม่แม้กระทั่งทานอาหารที่ฉันทำให้แล้วเหรอ”
ปิงเหอจับมือเขาที่ถือส้อมแน่น ยิ้มอบอุ่นเจิดจ้าจนคนมองคิ้วกระตุก
“อาหารที่ภรรยาอุตส่าห์ตั้งใจทำ ผมกำลังซาบซึ้งเก็บทุกรายละเอียดไว้ก็เท่านั้น อาจิ่วอย่าน้อยใจสิครับ”
น้อยใจเหรอ หึ เขาเเทบอาเจียน
“งั้นเหรอ...” เสิ่นจิ่วโน้มตัวมาตรงหน้าสามีของตน ใกล้จนคนตรงข้ามหายใจติดขัดเล็กน้อย เขาขบกัดปลายไส้กรอกเล็กน้อย เคี้ยวอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังซึมซับรสชาติอย่างเอร็ดอร่อย ส่งเสียงครางในลำคอราวกับพึงพอใจในรสเนื้อสัตว์ที่อยู่ในโพรงปากก่อนจะกลืนลงไป ลอบมองให้แน่ใจว่าตาของผู้เป็นสามีเลื่อนมองตามลูกกระเดือกเขาที่ขยับขึ้นลง จึงยื่นหน้ากลับ “ไม่ปลาบปลื้มจนแตะไม่ได้แล้วนะ”
กินให้ดูแล้ว กล้าปฏิเสธก็ลองดูสิ
“...”
ปิงเหอทานไส้กรอกนั้นต่อและอาหารบนจานอย่างเงียบๆ เพิกเฉยต่อความร้อนเล็กน้อยในร่างกาย
เสิ่นชิงชิวหยิบชาตัวเองขึ้นดื่ม หางตาเหลือบเห็นขวดแปลกปลอมบางอย่างซ่อนตัวอยู่บนเคาเตอร์ครัว เขาเลิกคิ้ว ก้มมองชาสีน้ำตาลใสที่พึ่งจิบไป
บัดซบเถอะ รสชาติแย่เป็นบ้า
เขาล้มพับลงบนโต๊ะอาหาร
ลั่วปิงเหอนั่งทานอาหารเช้าจนเสร็จเรียบร้อย เช็ดปากอย่างไม่เร่งรีบ บรรจงพับผ้าเช็ดปากวางลงบนโต๊ะ แล้วจึงลุกจากเก้าอี้ เดินไปหาร่างแน่นิ่งตรงข้ามกับตน จุมพิตที่เรือนผมอีกฝ่าย สูดกลิ่นหอมจากกลุ่มผมหนานุ่ม
ราวกับเจ้าชายปลุกเจ้าหญิงตื่นจากห้วงนิทรา เสิ่นชิงชิวเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะด้วยท่าทีสง่างามเท่าที่ทำได้ แสงแดดยามเช้าที่ส่องจากหน้าต่างตกกระทบร่างของเสิ่นจิ่วราวกับกำลังส่องประกาย เค้าโครงหน้าดูบอบบางใต้แสงสว่าง แพขนตาต้องแสงกระพริบแผ่วเบาราวผีเสื้อขยับปีก เงยหน้ามองสามีตัวเองคล้ายจะเอือนเอ่ยบางอย่าง
ลั่วปิงเหอคิดกับตัวเองว่าภรรยาของเขาดูอ่อนโยนในแสงยามเช้า
ช่วงเวลาดั่งเทพนิยายถูกทำลายลงทันทีที่เสิ่นจิ่วหยิบมีดที่ซ่อนไว้แทงเข้าที่ท้องของอีกฝ่าย บิดใบมีดให้แน่ใจว่าเจ้าตัวจะไม่รอดหากเป็นสถานการ์ณปกติ ปิงเหอค่อยๆทรุดตัวลง มือกอบกุมมือของภรรยาที่ถือด้ามมีด ดวงตาสื่อความหมายนับร้อยพัน เกือบทั้งหมดในจำนวนนั้นเป็นคำผรุสวาทและสาปแช่งคนตรงหน้า รอยยิ้มของอีกฝ่ายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาเห็น
วันถัดมา เสิ่นชิงชิวมีงานเลี้ยงรุ่นเพื่อนสมัยเรียน ปิงเหอยืนกรานจะขับรถไปส่ง แน่นอนว่าพวกเขาทะเลาะกัน
“นายบอกฉันเองว่าฉันสามารถไปไหนก็ได้ตราบใดที่บอกนาย ฉันก็บอกอยู่ไงฟังไม่รู้เรื่องเหรอ”
“ผมก็ไม่ได้ห้ามสักหน่อย ผมแค่อาสาขับรถไปส่ง”
“แต่ฉันไปเองได้ นายไปก็ไปเห่าหอนใส่เพื่อนฉันอีก มันน่ารำคาญ”
“ผมแค่อยากไปส่งอาจิ่วก็เท่านั้น”
“อยากไปข่มหลิ่วชิงเกอเสียมากกว่ากระมั้ง”
“อ่า ถูกจับได้ซะแล้ว” ลั่วปิงเหอยิ้มยอมรับ “แต่จริงๆนะ ให้ผมทำหน้าที่สามีที่ดีโดยการขับรถให้คุณไม่ได้หรือไง”
“ฉันมีแขนมีขานะปิงเหอ ฉันไม่ต้องพึ่งคนอย่างนายให้ไปส่ง” เสิ่นจิ่วเอ่ยอย่างหงุดหงิด
ปิงเหอไม่เอ่ยสิ่งใด สายตาสอดส่องขึ้นลงตามแขนขาภรรยาราวกับพิจารณาบางอย่าง
คิดจะทำอะไรน่ะ เหอะ
เสิ่นจิ่วกรอกตา เขาโดนสามีไร้ยางอายคนนี้ทำร้ายทั้งทางตรงและอ้อมตั้งแต่ที่ถูกเขาจ้วกไปนิดๆหน่อยๆเท่านั้น ไม่รู้จะแค้นอะไรนักหนา เด็กคนนี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง
สุดท้ายแล้วลั่วปิงเหอยอมให้เขาไปเองแต่โดยดีแม้ว่าเขาจะโดนลากไปลอกคราบบนเตียงอีกรอบเป็นการแลกเปลี่ยนก็ตาม
เพราะเจ้าเดรัจฉานนั่น เสิ่นจิ่วถึงกำลังจะไปสายและเขาเกลียดการไม่ตรงต่อเวลายิ่งกว่าอะไร เขารีบร้อนคว้ากุญแจรถออกจากบ้าน ขับออกมาจนถึงหน้าประตูบ้านได้ยินเสียงบางอย่างคล้ายสายไฟช็อต เขาเบิกตากว้าง
รถของเขาระเบิดทันที
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งบนรถของลั่วปิงเหอ ฝ่ายนั้นขับรถด้วยสีหน้าเริงร่าจนน่าหงุดหงิด
“สวะ สารเลว ไร้ยางอาย พลิกลิ้นยิ่งกว่าเดรัจฉาน...” เสิ่นจิ่วพ่นคำผรุสวาททุกคำที่นึกออกไป
“ครับๆ เป็นทุกอย่างที่ว่ามาแล้วก็เป็นสามีคุณด้วย” ลั่วปิงเหอพูดโดยไม่มองหน้าเขา สายตาจดจ่ออยู่กับถนนเบื้องหน้า
เสิ่นชิงชิวมองหาสิ่งของในรถที่สามารถใช้ฆาตรกรรมคนตรงหน้าได้หมายจะระบายอารมณ์
“ฆ่าผมตอนนี้คุณจะไปสายนะ” ลั่วปิงเหอขัดอย่างรู้ทัน
เสิ่นชิงชิวชะงัก เสหน้ามองนอกหน้าต่างพร้อมจิ๊ปากอย่างขัดใจ “ไปลงนรกซะ”
คนที่กำลังขับรถหัวเราะหึๆในลำคอ เอื้อมมือข้างที่ว่างมาขยี้หัวภรรยาเล่น
เสิ่นจิ่วคว้ามือที่อยู่บนศีรษะตัวเอง ป้องกันอีกคนจากการทำผมเขายุ่งไม่เป็นทรง จับมือนั้นด้วยมือทั้งสองข้างของตนอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงประคองมือนั่นมาที่ริมฝีปาก กัดลงบนมือนั่นจนได้ลิ้มรสเลือด คนถูกกัดไม่แสดงออกถึงสิ่งใด เอ่ยตอบคำพูดของเสิ่นชิงชิว
“ไปก็ต่อเมื่อที่นั่นมีคุณอยู่เท่านั้นแหละครับ”
“ใครกันนะที่บอกอยากหย่าทุกวัน”
“เก็บปากไว้สั่งลูกน้องเถอะหลิ่วชิงเกอ ฉันไม่พิศวาสมันขึ้นมาหรอก” เสิ่นชิงชิวจิบแชมเปญในมือ
“ไหนตอนนั้นบอกว่าจะวางแผนฆ่าอำพรางไม่ใช่หรือไง”
มันตายที่ไหนล่ะ
เสิ่นชิงชิวคิดในใจ กระดกเครื่องดื่มในมืออึกใหญ่
“พูดมันไม่ง่ายเหมือนทำหรอกนะ”
“แต่ก็แปลกนะ” หลิ่วชิงเกอเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปพักหนึ่ง
เสิ่นจิ่วเลิกคิ้ว “หมายถึงอะไร”
“สถานการณ์ที่แกอยู่ตอนนี้ คิดว่าทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญเหรอไง”
“คิดว่าฉันเป็นใครถึงจะรับมือไม่ได้กัน”
หลิ่วชิงเกอดื่มเครื่องดื่มในมือจนหมด โบกมือทักทายเพื่อนคนอื่น หันมาพูดกับเขาประโยคสุดท้ายกับเขาก่อนจะเดินไปสนทนากับเพื่อนเก่าในงาน “ระวังตัวด้วยเสิ่น คนแบบนั้นทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ และบางครั้ง การเป็นตัวเองแบบที่นายเป็นมันไม่พอนักหรอก”
เหอะ เรื่องแบบนั้นฉันไม่ต้องให้คนแบบนายมาเตือนก็รู้
ที่จริงไม่ใช่เขาไม่รู้ ทุกอย่างบังเอิญเกินไป ลั่วปิงเหอหายไปนานห้าปี กลับมาอยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ยื่นมือมาในช่วงเวลาที่เขาสิ้นหวังมากที่สุด ตัดทุกทางเลือกอื่นที่เป็นไปได้ ทุกการกระทำของเขาราวกับอยู่ในการคาดเดาของอีกฝ่าย เขาเกลียดการจนตรอกที่สุด แต่แล้วอย่างไร เจ้าสวะคนนั้นดูจะชอบเห็นเขายามที่เป็นแบบนั้นเหลือเกิน
เขาเกลียดการอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี แต่แล้วอย่างไร เสิ่นหยวนดีขึ้นได้จากศักดิ์ศรีของเขาหรือ
เพลงในงานดังเข้าโสตประสาท พูดถึงบางอย่างเกี่ยวกับการซื่อสัตย์กับตัวเอง การยอมรับว่ารักแม้จะไม่จะต้องการ และอะไรหวานเลี่ยนในบทเพลงที่เขาคร้านจะฟัง
เขาอยากจะหัวเราะ การรู้ตัวเองว่าต้องการอะไรน่ะไม่ใช่เรื่องที่ดีเสมอไปหรอกนะ
เขาสบตากับเยวี่ยชิงหยวนโดยบังเอิญเพื่อพบว่าตนถูกมองอยู่ก่อนแล้ว อีกคนทำสีหน้าราวกับอยากพูดอะไรบางอย่าง
เขาเมินหน้า เดินออกจากงาน ตัดโอกาสเยวี่ยชิงหยวนที่ทำท่าจะเดินมาทางเขา
ซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเองงั้นหรือ
อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีงั้นหรือ
หลิ่วชิงเกอ นายพูดถูก การเป็นตัวเองมันไม่เคยพอเลยสักนิด
เขาเดินออกจากงานมาพบกับลั่วปิงเหอที่ยืนรอเขาข้างรถ ทั้งสองสบตากันเงียบๆในความมืดของลานจอดรถ มีเพียงแสงไฟจากในงานเท่านั้นที่ทำให้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในดวงตาอีกฝ่าย
“เบื่อแล้วเหรอครับ”
“...”
“เรากลับบ้านกันเลยเนอะครับ”
เสิ่นชิงชิวพยักหน้า
ลั่วปิงเหอเปิดประตูรถให้ภรรยาโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะอ้อมไปฝั่งคนขับ สตาร์ทรถแล้วขับออกไปในความมืด
“นี่..” เสิ่นชิงชิวเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบในรถ
ปิงเหอหันมามองเขาวูบหนึ่งเชิงเป็นคำถาม ก่อนจะหันไปมองถนน
“ซื้อเหล้ามาดื่มเป็นเพื่อนฉันหน่อย” เขากล่าว ถอดรองเท้าตัวเองทิ้งยกขายาวขึ้นมานั่งชันเข่า หันหน้ามองออกนอกหน้าตาอย่างไม่คาดหวังอะไร
ลั่วปิงเหอไม่กล่าวอะไร
แต่กระนั้นก็เลี้ยวรถเข้าซุปเปอร์มาร์เก็ตเปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้านของพวกเขา
สองสามีภรรยานั่งดื่มกันตามลำพังบนโต๊ะที่เสิ่นชิงชิวถูกวางยาเมื่อวาน ผ่านไปสักพักเสิ่นจิ่วจึงฟุบไปบนโต๊ะ ท่าทางคล้ายกับครั้งที่โดนวางยาไม่มีผิด ต่างเพียงแค่ครั้งนี้มือยังกำขวดแชมเปญไว้แน่น รอบข้างมีทั้งขวดไวน์แดงและแชมเปญที่ว่างเปล่าอีกหลายขวดรายล้อม
ลั่วปิงเหอแกะมืออีกฝ่ายออกจากเหล้า เก็บขวดว่างเปล่าบนโต๊ะออกจนหมดแล้วจึงยืนพิจารณาคนไม่ได้สติในยามนี้ใต้ไฟเลือนราง
เสิ่นชิงชิวดูอ้างว้างใต้แสงสลัวและเงามืด
เขาช้อนตัวอีกฝ่ายขึ้นมา เสิ่นชิงชิวได้สติขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ยังว่าง่ายให้เขาอุ้มอย่างผิดวิสัยตามปรกติทั้งยังยกแขนโอบคอเขาอีกด้วย คนถูกอุ้มนิ่งเงียบไปตลอดทางจนถูกวางลงบนที่นอน
ทว่าเมื่อถูกวางบนเตียง คนเมากลับกระเด้งตัวมานั่งนิ่งมองสามีตัวเอง ดวงตาใสสุกสกาวราวกับได้สติหากไร้พิษสงที่ควรมีเมื่อยามสร่างเมา ใบหน้าที่แดงก้ำขึ้นสีเล็กน้อยเมื่อพบว่าลั่วปิงเหอมองตัวเองกลับ ทันทีที่ปิงเหอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนั่งลงบนเตียง คนตัวดีที่ให้เขาแบกก็รีบคลานมาเกาะแกะเขาอย่างออดอ้อน พัวพันเขาไม่ปล่อยจนลั่วปิงเหอต้องจัดท่าให้ตัวเองกึ่งนั่งกึ่งนอนแล้วให้อีกฝ่ายนั่งคร่อมตัก เสิ่นจิ่วพยักหน้าพึงพอใจซุกไซ้สามีต่อ เขานึกขัน แววตาหยอกล้อร่างตรงหน้า
“รู้แบบนี้ผมจับคุณดื่มเหล้าบ่อยๆดีมั้ยครับเนี่ย”
“....”
คนเมาไม่พูดอะไร เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ฟังเขาเลยสักนิด แต่มือกลับซุกซนเอื้อมปลดเสื้อผ้าสามีตัวเอง ขมวดคิ้วเมื่อแกะกระดุมเสื้อของคนตรงหน้าไม่ได้
ลั่วปิงเหอหัวเราะ แกะให้อีกฝ่าย ปล่อยให้คนว่างงานลูบคลำร่างกายตัวเองไปเรื่อยเปื่อย
“อาจิ่ว ถ้าคุณรู้ว่าตอนเมาคุณลวนลามผมไปถึงไหน ตื่นมาคุณจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนล่ะครับ”
“....”
“คุณน่ะ ชอบดื่มมากเลยสินะครับ”
“...”
“ตอนนั้นที่ผมเห็นคุณ คุณก็เมาแชมเปญ ตอนนั้นคุณดื่มเยอะเท่าตอนนี้เลยหรือเปล่า”
“...”
ลั่วปิงเหอปลดเปลื้องเสื้อผ้าภรรยาระหว่างพูด
“แต่ตอนนั้นคุณเมาแล้วอาละวาดไปทั่วเลย คุณจูบผมด้วยนะ”
“....”
“ยังไงคุณคงจำไม่ได้หรอก เมาเละขนาดนั้น”
ร่างที่กำลังไซ้ซอกคอเขาส่งเสียงในลำคอราวกับขัดใจเสียงเขา
เขาหัวเราะเบาๆ กระทั่งตอนเมาเสิ่นชิงชิวยังรำคาญเขา ลั่วปิงเหอคิดในใจพลางเอียงคอให้คนไม่ได้สติซุกไซ้ได้มากขึ้น
“คุณไม่เคยรู้เลยว่าคุณเปลี่ยนโลกของผมไปขนาดไหน”
“....”
“ผมชอบคุณมากจนอยากไม่อยากให้คุณสามารถมองใครที่ไหนได้อีก ไม่อาจเรียกหาความช่วยเหลือจากใครได้อีกนอกจากผม”
“....”
“และผมก็เกลียดชังคุณมากจนอยากคุณรับรู้สิ่งเหล่าน้้นและทรมาณที่ไม่อาจทำอะไรกับมันได้”
“....”
“ผมทำอะไรตามอำเภอใจมากไปหน่อยจนลืมคิดไปว่าถ้าวันนึงคุณรู้เข้า คุณจะรับตัวเองได้มั้ยว่าคุณอยู่กินกับใคร”
“....”
เขาจับลำตัวของเสิ่นชิงชิวแน่น นิ้วไล้ไปตามแนวซี่โครง พึมพำราวต้องมนตร์
“อาจิ่ว สิ่งที่ผมทำเพื่อให้ได้คุณมาน่ะ”
เขาพลิกตัว กักขังเสิ่นชิงชิวไว้ใต้ร่าง
“ถ้าพี่ชายคุณรู้เข้าว่าคุณทำแบบนี้กับคนที่ทำเขานอนโรงพยาบาลเป็นปี เขาจะรู้สึกยังไงนะ”
เขาก้มลงจูบภรรยาของตน สอดมือประสานกับอีกฝ่าย ยิ้มกว้างเมื่อมือและร่างกายตรงหน้ากุมกลับและตอบรับเขา ไร้ร่องรอยการรับรู้ถึงคำสารภาพของลั่วปิงเหอแต่อย่างใด
ในวันรุ่งขึ้น เขาจะวางยาแก้ปวดหัวให้เสิ่นชิงชิว คาดการณ์ไว้ว่าคงถูกอีกฝ่ายเอาคืน แล้วก็เป็นดั่งที่เขาคิด ระหว่างที่เขาแช่น้ำในอ่างคนเดียว เสิ่นชิงชิวที่ลุกออกจากอ่างก่อนหน้าเขาเป่าผมตัวเองจนแห้งแล้วจึงเดินมาโยนไดร์เป่าผมใส่อ่างน้ำที่เขาแช่ มองดูเขาถูกไฟช็อตในน้ำด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข ทุกอย่างยังคงดำเนินเช่นทุกวันตั้งแต่ที่ค้นพบเรื่องผิดธรรมชาติของพวกเขา แต่กระนั้นลั่วปิงเหอไม่อาจมองเห็นอนาคต เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าในตอนบ่ายวันพรุ่งนี้ เสิ่นชิงชิวจะได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่เปลี่ยนสิ่งที่เขาวางแผนไป
“สวัสดีค่ะ คุณเสิ่นชิงชิวใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ”
“ดิฉันโทรมาจากโรงพยาบาลAA นะคะ”
“ครับ มีอะไรหรือเหรอครับ”
“ดิฉันโทรมาแจ้งคุณว่าคุณเสิ่นหยวนพี่ชายของคุณฟื้นแล้วนะคะ”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in