AU ลั่วปิงเหอตื่นมาในที่ที่ตัวเองไม่ควรอยู่ ท่ามกลางความสับสนเขาพบใครบางคน
ลั่วปิงเหอตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องนอนอันโอ่อ่าของราชามารดั่งที่จำได้ แผ่นหลังในยามนี้แนบกับพื้นดินจนสัมผัสถึงไอเย็น เขายันตัวขึ้นมองไปรอบๆ ปรับสายตากับความมืดที่รายล้อม ดวงจันทร์เต็มดวงสว่างมากพอให้เขาพอมองเห็นที่ที่ตัวเองนอนอยู่ เงี่ยหูสดับจนแน่ใจว่าที่แห่งนี้มีแค่เขาจึงลุกขึ้นสำรวจ
ทิวไผ่ยาวสุดลุกหูลุกตา กลิ่นที่ยังอยู่ในความทรงจำโชยแตะจมูก
ลั่วปิงเหอเดินฝ่าป่าไผ่อย่างระมัดระวัง เขาคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ดี รู้จักราวกับบ้านหลังที่สอง ทว่ายิ่งคุ้นชินเท่าไหร่เขาก็ยิ่งระแวงมากขึ้นเท่านั้น
เพราะที่นี่คือชิงจิ้งเฟิ้ง ที่ซึ่งเขาทำลายลงเองกับมือ
ใครก็ตามที่สร้างที่แห่งนี้รู้จักมันดีและรู้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างเขากับที่นี่
บางที อาจรู้ถึงความผูกพันธ์ของเขาต่อยอดเขานี้ด้วยเช่นกัน
เขาก้าวเท้าจังหวะสม่ำเสมอผ่านป่าไผ่ การได้กลับมาเดินในที่แห่งนี้ทำให้เขารู้สึกแปลกประหลาด บางอย่างลึกในห้วงจิตใจกระเพื่อมเช่นก้อนกรวดที่ถูกปาลงแอ่งน้ำนิ่ง คลื่นน้ำจากแรงนั้นนำมาซึ่งความหลังทั้งส่วนที่เขาหลงลืมไปและที่ยังจดจำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เขาถอนหายใจ ไม่ยินดียินร้าย
จะอย่างไรเสีย เขาก็เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ กินนอนที่นี่ โตขึ้นที่นี่
ความผิดพลาดและความแค้นหลายประการล้วนเกิดขึ้นที่นี่
เขาสงสัยว่าเขาจะรู้สึกเช่นนี้หรือไม่หากเขาได้กลับไปยังเมืองที่เขาเคยอาศัยอยู่กับมารดา ณ ที่นั่นเขาได้รับความรักมายมากจากหญิงชาวบ้านธรรมดาผู้หนึ่ง ไม่นานนักนางก็ถูกช่วงชิงไปจากเขาด้วยสิ่งที่เรียกว่าชะตาสวรรค์ที่เขาไม่เคยเลื่อมใส บางทีเขาอาจเพียงแค่ไม่ควรคู่กับสิ่งบริสุทธิ์เช่นท่านแม่ของเขาก็เป็นได้
เขาเดินผ่านพื้นที่โล่งลับตาคนคุ้นตาในป่าไผ่ หนิงอิงอิงเคยชอบดีดกู่ฉินให้เขาฟังตรงนั้น
นานเพียงใดแล้ว ที่ไม่ได้ยินเสียงนั้น
ภาพเด็กหนุ่มสาวสองคนเคียงข้างกันในฤดูใบไม้ผลิยังคงชัดเจน เสียงกู่ฉินของหนิงอิงอิงไพเราะที่สุดสำหรับเด็กหนุ่มที่เฝ้ามองด้วยความตื่นตา
หนิงอิงอิงเป็นคนที่อยู่ข้างเขาในยามที่เขาถูกกลั่นแกล้งเสมอมา นางผิดหวังหรือไม่ โศกเศร้าเสียใจบ้างไหมยามที่รู้ว่าเขาไม่ได้มีนางเป็นภรรยาเพียงผู้เดียว ไม่ได้ซื่อสัตย์ต่อนางหรือภรรยาคนใดแม้แต่น้อย หากนางรู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร นางยังจะเลือกที่จะเป็นภรรยาของเขาหรือไม่
ลั่วปิงเหอเดินมาถึงบริเวณที่พักศิษย์ในสำนักของชิงจิ้งเฟิง บ้านพักทุกหลังมืดสนิท เขามองเห็นภาพทับซ้อนของตัวเองในวัยเยาว์ครั้งที่เขายังบริสุทธิ์และอ่อนต่อโลกทั่วบริเวณแห่งนี้ ทุกที่ล้วนมีร่องรอยของเขาแทรกซึมราวกับรอยนิ้วมือที่ปรากฏบนภาชนะ
เด็กน้อยนามลั่วปิงเหอกำลังถูกทำโทษให้เติมน้ำให้ทั้งสำนักที่ตรงนั้น
เขาแนบมือไปกับประตูโรงเก็บฝืนผุพัง มองเห็นภาพร่างตัวเองนอนคดด้วยความหนาวอยู่ข้างในผ่านรู ประตู
เดินมาถึงโรงครัวที่เขาเคยถูกศิษย์พี่ร่วมสำนักสาดเศษอาหารใส่หน้า เสียงหัวเราะเยาะในยามนั้นดังก้องเกินไปสำหรับเด็กไร้ที่พึ่งคนนั้น
ช่างน่าแปลกยิ่งนักเวลานั้นที่โดนกระทำ เขาเจ็บปวด ชอกช้ำและน้อยใจ ผูกเจ็บจนครั้งยามที่มีกำลังให้สู้กลับเขาแผดเผาจนสิ้นทุกสิ่ง
ทว่าในยามนี้ แม้จะรู้ถึงความอยุติธรรมของการกลั่นแกล้งที่เกิดขึ้นกับตนอย่างชัดเจน กลับไร้ซึ่งความรู้สึกทั้งเจ็บปวดและอาฆาต
เขาผู้ได้เป็นทั้งผู้ถูกกระทำและผู้กระทำ ยามนี้กลับรู้สึกราวกับเป็นเพียงผู้เฝ้าดูในวังวนเหล่านั้นในฐานะคนนอก
แค้นก็ได้ชำระแล้ว แม้ไม่สาสมใจแต่ก็ไม่อาจกระทำมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
เมื่อไม่อาจกระทำต่อได้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะยึดถือความรู้สึกเหล่านั้นไว้
บางทีในอนาคต เขาควรเก็บศัตรูไว้แล้วค่อยๆ ฆ่าทีละคน
เช่นนั้นอาจสาแก่ใจกว่า
เขาหยุดที่หน้าเรือนไผ่อันคุ้นตา
แม้ตนจะไม่ได้เข้าไปในเรือนนี้บ่อยนักเพราะเสิ่นชิงชิงรังเกียจเขาเกินกว่าจะเห็นหน้าเขาในเรือนไผ่เป็นประจำ แต่เขามักลอบมองเรือนนี้และผู้ที่พักอาศัยอยู่บ่อยครั้ง
คล้ายเห็นภาพเด็กน้อยลั่วปิงเหอเฝ้ามองผู้เป็นอาจารย์ยามที่อีกฝ่ายนั่งริมหน้าต่างระหว่างที่ตนทำความสะอาดทางเดินแทนศิษย์พี่ร่วมสำนัก
ราวกับสุนัขมองพระจันทร์
โหยหา ปรารถนา ชื่นชมแต่ไม่อาจเอื้อมสิ่งที่สูงถึงปานนั้น
เขาที่ยังเยาว์วัยไม่อาจเข้าใจความปรารถนาและความต้องการตัวเองในยามนั้น
บางทีกระทั่งในตอนนี้ เขาเองก็ยังไม่เข้าใจ
ไฟในเรือนนั้นยังสว่างอยู่
มีใครบางคนอยู่ในนั้น
เขาเดินเข้าไปเคาะประตูไม้ เฝ้ารอคนตอบรับ
เสียงกุกกักดังพักหนึ่ง ประตูเปิดออก
ใจเขาเต้นระรัว ความหวังที่ซุกซ่อนตัวอยู่ส่วนลึกในจิตใจแสดงตัวออกมา แสงไฟจากด้านในสะท้อนหน้าเขาพร้อมกับเงาที่ทาบบังแสงนั้น
เสิ่นชิวชิวใบหน้าสุขุมเยือกเย็นดังที่ควรเป็น ยามที่สายตาประมวลผลได้ว่าเป็นผู้ใดที่มาเคาะยามวิกาล ความรังเกียจจึงฉายชัดบนสีหน้า เอ่ยเสียงเรียบนิ่งแฝงร่องรอยเหยียดหยาม
“เดรัจฉานอย่างเจ้าถือดีอย่างไรมาเรียกข้าในเวลาเช่นนี้”
ลั่วปิงเหอไม่เคยสนใจตั้งชื่อหรือค้นหาความรู้สึกที่ตนมีต่อเสิ่นชิงชิว
เพียงแค่กระทำสิ่งที่ต้องการกับอีกฝ่าย ไม่คำนึงถึงสิ่งใด
แค้นเคืองที่คนตรงหน้าไม่เคยพูดดีด้วยจึงตัดลิ้น
คับข้องที่อีกฝ่ายไม่เคยทำดีด้วยจึงตัดแขนขาที่ไม่เคยอ่อนโยนกับตน
นึกชิงชังที่อีกฝ่ายแสดงอารมณ์ความรู้สึกให้เยวี่ยชิงหยวนทั้งที่ไม่เคยปรากฎริ้วอารมณ์อื่นนอกจากความรังเกียจให้เขา จึงทำลายศักดิ์ศรีและความเป็นมนุษย์ของคนตรงหน้าให้จมดิน
ฉุดกระชากเพื่อให้ได้ครอบครอง
ย่ำยีเพื่อให้ได้โอบกอด
ทั้งหมดเพียงเพื่อความสะใจ
เขาเข้าใจเช่นนั้น
หากแต่ยามที่ได้สบดวงตาครบคู่ของคนตรงหน้าอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายแขนขาสมบูรณ์ไร้ตำหนิ แม้ไม่มีเสื้อคลุมและชุดชั้นนอกในเวลานี้ เสิ่นชิงชิวยังคงดูสง่างาม
เสิ่นชิงชิวยังดูมีชีวิต
และยังคงเป็นคนที่เขาโหยหาหลายสิ่งที่รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อาจมอบให้ราวกับคนโลภมาก
ภาพที่ถูกอีกฝ่ายกลั่นแกล้งและทำร้ายชัดเจนในความทรงจำ
ความเกลียดชังต่อคนตรงหน้านั่นมีอย่างไม่ต้องสงสัย
หากแต่…
“ลั่วปิงเหอ เจ้ากำลังทำอะไร” เสิ่นชิงชิวเผลอเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความตกใจ ความงุนงงแทนที่ความรังเกียจจนลืมตัว เหลือเพียงใบหน้าที่ยังคงเยือกเย็นเป็นนิตย์
ลั่วปิงเหอ ราชามารแห่งทั้งสามภพ กำลังคุกเข่าลงหน้าคนที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้พบอีก
คนตรงหน้าเขา แม้จะถูกเขาฆ่าเป็นร้อยพันครั้งก็ไม่อาจชดใช้บาปที่กระทำกับเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่งได้
เขาไม่มีวันให้อภัยอีกฝ่ายกับสิ่งที่ทำ
“ซะ..ซือจุน” เสียงเขาแหบแห้งกว่าที่จำได้
เสิ่นชิงชิวนิ่งเงียบอาจเพราะตกใจหรือรอคำตอบ เขาไม่อาจแน่ใจได้
“ข้าน่ะ อยากให้ท่านชมข้ามาตลอด”
“...”
“ข้าชื่นชมท่าน พยายามเพื่อท่าน แม้ท่านไม่เคยทำดีกับข้าแต่ท่านยังมองเห็นศิษย์ผู้นี้ตลอดแม้จะด้วยความเกลียดชัง ตะ..แต่ท่านก็ให้ข้ามากกว่าคนมากมาย”
“...”
“ท่านให้ตัวตนข้า ทำให้ข้าเป็นข้าในแบบที่ผู้ใดก็ไม่อาจทำได้”
ราวกับเห็นตัวเขาวัยเด็กทับซ้อนเอ่ยพูดคำพวกนั้นทั้งน้ำตา
เวลานี้ ลั่วปิงเหอคิดว่าเขาเข้าใจแล้ว
ตัวตนของเขาที่บิดเบี้ยวและว่างเปล่า ทั้งสุมด้วยความเกลียดชังและความปรารถนามากจนเเผดเผาเขาและคนที่เกี่ยวข้องทั้งเป็น
ทั้งหมดนั้นล้วนเกิดจากท่านที่ข้าชิงชังและต้องการยิ่งกว่าผู้ใด
เสิ่นชิงชิวเชยคางเขาด้วยพัดด้ามจิ่วประจำกาย สบตาที่ฉายถึงความโหยหา ความแค้น และอะไรบางอย่างที่ฝังลึกจนเอ่อล้นออกมาราวกับชาที่รินล้นถ้วย ไหลท่วมถาดและแผ่กระจายไปทุกที่ ไม่อาจกักเก็บได้
บางอย่างในแววตาเสิ่นชิงชิววู่บไหว ครู่หนึ่งปิงเหอคิดว่ามันคือรู้สึกผิด
เขามองผิด มันคือความคับแค้น
ลั่วปิงเหอถูกตบด้วยด้ามพัดของอีกฝ่าย
ช่างไม่ต่างอะไรกับครั้งที่เขาถูกสาดด้วยน้ำชา
“เจ้าสวะโง่งม! ยิ่งเจ้าเพียรพยายาม ยิ่งเจ้าทำทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบข้ายิ่งเกลียดเจ้าเท่านั้น เจ้าไม่ออกเชียวหรือ!”
เขานิ่งอึ้ง แก้มเริ่มรู้สึกหนึบชา เขาตกใจเสียงตวาดของเสิ่นชิงชิวมากกว่าที่ถูกตบเสียอีก ผมเขาถูกกระชากให้เงยหน้าสบตา
“เหตุใดต้องยึดติดกับข้าถึงเพียงนี้ ฆ่าข้าก็ฆ่าไปแล้ว! เหตุใดจึงไม่ปล่อยให้วิญญาณข้าอยู่กับความสงบ”
เสิ่นชิวชิวน้ำตาไหลอาบแก้มดูจะเป็นเพราะความรุนแรงของการระเบิดอารมณ์มากกว่าโศกเศร้า ความเหนื่อยหน่ายในความแค้นและการมีชีวิตฉายชัดในแววตา
อ่า เขานึกถึงการอัญเชิญวิญญาณที่เขาทำนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อปลุกอีกฝ่ายมาทรมานซ้ำ
เขามองเห็นตัวเองในแววตาเสิ่นชิงชิว เงานั้นสั่นสะทกจนผิดรูปร่างด้วยน้ำที่เอ่อในดวงตาอีกฝ่าย
เขายิ้ม เริ่มรู้สึกถึงเลือดที่มุมปาก
“เพราะข้าไม่อยากอยู่ในโลกที่ไม่มีท่าน”
ซือจุนของข้า
ณ ที่แห่งนี้ ข้าได้ทำสิ่งที่ไม่อาจแก้ไขได้กับท่านไปหรือยัง
หากไม่แล้ว ข้ายังเป็นศิษย์ที่ท่านชิงชังและริษยาอยู่หรือไม่
แขนขาท่านยังครบถ้วน ท่านยังมีชีวิตอยู่ดั่งวันวาน
แต่แววตาท่านกลับไร้ความริษยาข้า ท่านทำสีหน้าที่ข้าไม่อาจเข้าใจ
เสิ่นชิงชิว ข้าไม่คุ้นเคยกับเจ้าในยามนี้เลย
ราวกับล่วงรู้ความปรารถนาในจิตใจ เสิ่นชิงชิวเหยียดยิ้มขมขื่น
“เดรัจฉานน่ารังเกียจ ดีแต่ปรารถนาสิ่งที่เจ้าไม่คู่ควร”
ภาพทั้งหมดดำมืด
ลั่วปิงเหอลืมตาขึ้นมาพบกับความสว่างสดใสของท้องฟ้าฤดูใบไม้ผลิ เสียงนกร้องดังในโสตประสาต คลื่นชีวิตมากมายของคนบนชิงจิ้งเฟิงโอบล้อมร่างกายเขา
ด้ามพัดจิ่วเคาะกระทบศีรษะเขา
“ชาเหวยซือเย็นหมดแล้ว เหตุใดจึงยังไม่รีบไปเปลี่ยนอีก”
เขานิ่งอึ้งอยู่กับที่
ก่อนจะได้สติแล้วกุลีกุจอเปลี่ยนน้ำชา มองเห็นมือตัวเองเต็มตาจึงตกใจ ระหว่างต้มชาจึงมองดูเงาสะท้อนของตัวเองในโอ่งใส่น้ำของโรงครัว เขายามนี้อายุราวสิบเจ็ดสิบแปด ช่วงเวลาที่เขาควรจะอยู่ในห้วงอเวจี
เมื่อชงชาเสร็จจึงรีบยกไปให้เสิ่นชิงชิวที่นั่งอยู่บนม้านั่งในป่าไผ่ วางถาดชาไว้ข้างเสิ่นชิงชิวแล้วนั่งคุกเข่าลงที่พื้นข้างเคียง
“ซือจุน ชาได้แล้วขอรับ”
เสิ่นชิงชิวเหลือบมองเขา หยิบชาขึ้นมาดื่ม ไม่กล่าวสิ่งใด
ลั่วปิงเหอนั่งมองเสิ่นชิงชิวไปเรื่อยๆ อีกฝ่ายไม่แสดงสีหน้ายินดีหรือรังเกียจ ปล่อยให้เขานั่งมองไป
ทั้งสองนั่งอยู่ในความเงียบ เสียงลมพัดผ่านใบไผ่ เสียงนกร้อง และเสียงแว่วของลูกศิษย์ชิงจิ้งเฟิงซักซ้อมวิชาทั้งต่อสู้ ถกเถียงวิชาการ เล่นดนตรีแว่วมาตามสายลม
“นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการหรือ”
เสิ่นชิงชิวเอ่ยถามเสียงเรียบ ถ้วยชาวางในมือ สายตามองออกไปยังที่ที่ลั่วปิงเหอไม่รู้จัก
อ่า ข้าได้ทำเรื่องนั้นไปกับท่านแล้วหรอกหรือ
ท่านในยามนี้จดจำเรื่องราวเหล่านั้นได้ สิ่งที่ถูกกระทำจากเราทั้งคู่ไม่สามารถลบล้างแม้แต่ในที่แห่งนี้งั้นหรือ
เสิ่นชิงชิวของข้า ในเมื่อเราไม่อาจกลับไปยามที่ทุกอย่างยังเป็นเช่นเดิมได้
เช่นนั้น เราเสแสร้งเช่นนี้ต่อไปได้หรือไม่
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ท่านจะไม่อาจให้อภัยข้าได้
เช่นนั้น ได้โปรดให้ข้าอยู่ตรงนี้อีกสักพักเถิด
เขาลืมตาขึ้นมาพบกับความว่างเปล่า ความมืดในห้องนอนอันกว้างขวางรู้สึกอ้างว้างเกินไป ทุกอย่างดูโล่งเกินไป เงียบเกินไปเมื่อเทียบกับชิงจิ้นเฟิง ผนังห้องนอนสะท้อนเพียงความไร้ชีวิตชีวาไม่ต่างจากโลงศพใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องผ่านหน้าต่าง เสียงหายใจแผ่วเบาของภรรยาคนนึงของเขาดังอยู่ข้างกาย เขาหลับตาลง รู้สึกถึงตัวตนที่มาปรากฎกายในจิตสำนึกของมารฝันที่ไม่เอือนเอ่ยสิ่งใดอย่างผิดวิสัย ราชาสามภพลืมตาขึ้นอีกครั้ง ถอนหายใจ
เขาลุกขึ้นจากเตียง เดินไปยังห้องของหนิงอิงอิง
ร่างบอบบางของหนิงอิงอิงหลับใหลอย่างเป็นสุขแม้เขาจะไม่ได้ร่วมนอนเคียงข้าง เขานอนลงบนเตียงด้านที่ว่าง โอบกอดร่างของภรรยาแน่น
“อาลั่ว” นางพึมพำอย่างง่วงงุน กระนั้นก็ยังกอดเขาตอบ
“อืม” เขาตอบรับ ฝังใบหน้าลงในซอกคอขาว
“ฝันร้ายหรือ” มือนิ่มนวลลูบหลังเขาเบาๆ
เขาไม่ตอบ ซุกหน้าสูดกลิ่นกายของคนในอ้อมกอด พยายามหากลิ่นไผ่ที่คุ้นเคยเพียงเพื่อพบแต่กลิ่นเครื่องหอมที่เขาโปรดปรานไม่ต่างจากภรรยาอีกคนที่หลับใหลบนเตียงเขาในยามนี้
จริงสินะ
เป็นเพียงฝันตื่นนึงก็เท่านั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in