or (a much longer) alternative title: When I said we should open up, I didn't mean bleed
วันนี้เป็นวันครบรอบ 1 ปีที่เสิ่นจิ่วและลั่วปิงเหอแต่งงานกัน
เสิ่นจิ่วย่องฝีเท้าแผ่วเบามาในครัว ลั่วปิงเหอหลับสนิทอยู่ในห้องนอนชั้นบน ฤทธิ์ยานอนหลับที่เขาใส่ในแก้วน้ำของผู้ชายคนนั้นได้ผลน่าพอใจทีเดียว แม้กว่าผู้ชายสารเลวคนนั้นจะนอนเขาต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวไปไม่น้อยก็ตาม
เขาเปิดแก๊สในครัว ตรวจสอบจนแน่ใจว่าทุกเตาถูกเปิดไว้ เขามีเวลาไม่นานให้หนีให้พ้นระยะระเบิด เขาสาวเท้าไปจนถึงหน้าประตูบ้าน กระหยิ่มยิ้มย่องกับชะตากรมของเจ้าเดรัจฉานนั่นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เอื้อมมือบิดลูกบิดประตูเพื่อหนีไปสู่อิสรภาพที่ปรารถนามาตลอด 1 ปี
แกร็ก
“...”
เขาเปิดประตูไม่ได้
เสิ่นจิ่วขมวดคิ้ว เหงื่อเริ่มผุดตามไรผม ความตื่นตระหนกแทรกซึมจิตใจ เขาลองบิดลูกบิดอีกรอบด้วยแรงที่มากขึ้นกว่าเดิม
ลูกบิดประตูไม่มีปฏิกิริยาราวกับมันมีหน้าที่ให้ประดับประตูเพื่อความสวยงามเท่านั้น
ฉันซื้อแกมาตั้งแพง แกจะอยู่เฉยๆไม่ทำงานให้คุ้มค่าเลยเหรอ
เขาเริ่มพยายามกระแทกประตูรุนแรงขึ้นตามความหงุดหงิดด้วยความร้อนรน จังหวะที่เขาพยายามเปิดประตูอีกครั้ง มืออุ่นของใครบางคนประกบมือเขาบนลูกบิด
เสียงนุ้มทุ้มเอ่ยข้างหู นำพาให้เขาเสียวสันหลังวูบ
“ภรรยาสุดที่รักทิ้งให้สามีนอนเหงาคนเดียวในวันครบรอบแต่งงาน ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือครับ”
เสิ่นจิ่วรักษาสีหน้าให้เรียบเฉยแม้ในใจจะแตกตื่นจนแทบหลุดร้อง
“ทำบ้าอะไรของนาย ปล่อยนะ” เขาเอ่ยอย่างหงุดหงิด เหลือบมองทางห้องครัวอย่างร้อนรน
“ไม่เอาน่ะ คิดว่าผมไม่รู้หรือไงว่าคุณจะทำอะไรน่ะ” ปิงเหอยิ้มเย็น เลื่อนมือจากที่กอบกุมมือเขามาจับแขน ออกแรงบีบจนเขานิ่วหน้า เขาพยายามผลักอีกฝ่ายออกแต่ไร้ผล
เวลากำลังจะหมดลง เขาไม่เหลือทางเลือกจึงหันไปเอ่ยกับสามีผู้มองเขาอยู่ “ฟังนะ ถ้าไม่รีบหนีไปจากที่นี่ตอนนี้เราจะตายกันหมด ฉันไม่ได้ล้อเล่น หยุดยิ้มเป็นคนบ้าแล้วเปิดประตูนี่ซะปิงเหอ”
อีกฝ่ายยิ้มกว้างจนเขารู้สึกขนลุกทั้งสรรพางค์กาย มือที่ไม่ได้จับแขนเขารั้งเอวเขาเข้าไปหา
เขาตวาด “นายอยากตายมากรึไง”
ถ้าโหยหาความอบอุ่นมากขนาดนั้นก็อยู่รอระเบิดไปคนเดียวสิ เจ้าเด็กบ้านี่
“ถ้าภรรยาของผมอยากให้ผมตายมากขนาดนั้น ผมเป็นสามีแบบไหนกันที่จะปฏิเสธภรรยาตัวเองได้...” ปิงเหอโอบกอดเขา เอ่ยกระซิบราวคู่ชู้ลักลอบพบกัน “...แต่ว่า ภรรยาที่ดีไม่ควรปล่อยให้สามีตายคนเดียวนะครับ วันนี้เป็นวันครบรอบงานแต่งงานของเรา ไม่สู้เรา...” จุมพิตที่ใบหู “มาตายด้วยกันจะดีกว่า เหมือนคำสาบานวันแต่งงานของเราไงครับ แม้ความตายก็ไม่อาจพราก ดีมั้ยครับ” ขบเม้มบริเวณเดิมราวกับจะเน้นย้ำคำสุดท้าย “ ที่รัก ”
ความคิดก่อนที่จะได้ยินเสียงระเบิดดังเข้าในโสตประสาทเสิ่นจิ่วคือ ‘ดีบ้านแกสิ’
แสงสว่างวาบกระจายทุกที่พร้อมกับร่างที่ถูกกระชากตามแรงระเบิด หูอื้ออึงจนมึนงง
สิ่งสุดท้ายที่เสิ่นชิงชิวรับรู้คือแรงกระแทกกับของแข็งบางอย่าง ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะดับวูบ
เขายังรู้สึกตัวอยู่ หลังยังสัมผัสได้ถึงพื้นหญ้าคันยุบยิบ แวบแรกเขาคิดว่าเขาอยู่ในนรก เขาเลิกเพ้อฝันถึงสวรรค์นานแล้ว ความร้อนของไฟที่เขารู้สึกได้ก็ดูจะเข้ากับนรกดี หากยามลืมตาขึ้นมากลับยังเห็นบ้านที่เขาอยู่มา 1 ปีเต็มกำลังลุกไหม้โชติช่วงอยู่ เสิ่นชิงชิวยันตัวขึ้นมาสำรวจตัวเอง
เขายังไม่ตาย ไม่เพียงเท่านั้น รอยแผลตามร่างกายก็ไม่ปรากฏให้เห็น เขายังสวมเสื้อผ้าในสภาพสมบูรณ์ครบถ้วนไม่ต่างจากตอนที่ลงมาเปิดเตาแก๊สเลยด้วยซ้ำ
เสียงครางอย่างเกียจคร้านของใครบางคนดังอยู่ไม่ห่างไกล
“....”
ลั่วปิงเหอในสภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดีทุกประการลืมตามาสบกับเขา
“....”
“....”
ต่างคนต่างตกใจอีกฝ่ายชั่วขณะจนลืมความเกลียดชังกันและกันไป
นี่มันเรื่องบัดซบอะไรกัน!?
หลังจากเหตุการณ์นั้น ทั้งคู่พยายามทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองร่วมมือกันเป็นอย่างดี ในที่สุดสองสามีภรรยาก็พบข้อสรุปสองข้อ
ประการแรกคือ บ้านพวกเขาและทรัพย์สินในนั้นหายไปกับระเบิดจนหมด แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่ากังวล ประกันจ่ายครอบคลุมอุบัติเหตุ ‘แก๊สรั่ว’ ให้เต็มจำนวน ถึงจะอย่างงั้น ต่อให้ไม่จ่ายลั่วปิงเหอก็มีอสังหาริมทรัพย์และเงินในบัญชีมากพอที่จะไม่เดือดร้อนกับเหตุการณ์เล็กน้อยเช่นนั้น
สามีของเสิ่นชิงชิวมักใช้เงินและอำนาจเเก้ปัญหา เขาใช้วิธีการเดียวกันนั้นบีบบังคับเสิ่นจิ่วให้แต่งงานกับเขา แต่ตอนนี้นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ
พวกเขาย้ายมาอยู่ในบ้านหลังนึงย่านชานเมือง พวกเขาเลือกที่อยู่ห่างไกลผู้คนเพื่อให้ได้ข้อสรุปข้อที่สอง
เขาทั้งคู่ไม่สามารถตายได้
พวกเขารู้ได้หลังจากการทดลองมากมายแม้ไม่อาจหาคำอธิบายที่แน่ชัดได้
การทดสอบครั้งแรกเริ่มขึ้นที่ทันทีที่ลั่วปิงเหอเอ่ยถึงข้อสงสัยนี้ เสิ่นชิงชิวกระดกไวน์ราคาแพงรวดเดียวหมด แล้วจึงทุบแก้วในมือจนฐานรองกลายเป็นหนามแหลม และ...เอ่อ แทงไปที่คอลั่วปิงเหออย่างไม่ลังเล
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่นาที
คนถูกฆาตรกรรมต่อหน้าต่อตาแน่นิ่งทั้งจากความตกใจและการเสียเลือด แต่ครั้นเมื่อเจ้าเดรัจฉานน้อยของเสิ่นจิ่วพร้อมอ้าแขนรับความตาย แผลกลับหายไปดื้อๆเช่นเดียวกับเลือดที่เจิ่งนองทั่วพื้น แม้เศษแก้วจะยังอยู่ในมือเสิ่นจิ่วก็ตาม
ลั่วปิงเหอลืมตาขึ้น เลิกคิ้วเป็นคำถามมองภรรยาสุดที่รักของตนที่ทำเพียงแค่ยักไหล่
“ถึงฉันจะไม่คิดว่านายจะตาย แต่ฉันก็ยังอยากลองอยู่ดี”
“....”
การพิสูจน์ทฤษฎีครั้งต่อไปของพวกเขาเริ่มขึ้นทันทีหลังจากนั้น ลั่วปิงเหอลุกไปบีบคอบางของคนที่ยั่วโมโหเขาหลายครั้งเหลือเกินในหลายวันมานี้ ร่างโปร่งใต้ร่างถูกเงาเขาปกคลุมราวกับเงามัจจุราช ภรรยาของเขาดิ้นขลุกขลักตามสัญชาติญาณ แม้กระนั้นแววตาอีกฝ่ายยังคงท้าทาย ริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างขบถ ก่อนจะแน่นิ่งไม่ต่างจากปิงเหอเมื่อครู่
เขาคลายมือแต่ยังกอบกุมลำคออีกฝ่ายไว้ หอบหายใจจากการออกแรงและเฝ้าคอย
เสิ่นชิงชิวแอ่นร่างกายสูดเอาอากาศที่ขาดไปจากปอด สบตาลึกล้ำกับเงาสะท้อนตัวเองในดวงตาผู้เป็นสามี
ลั่วปิงเหอไม่อาจรู้ได้ว่ายามที่สบตากัน เสิ่นชิงชิวมองเห็นสิ่งใดเพราะการกระทำของภรรยาเขาหลังจากนั้นทำให้เขาถึงกับสะดุ้ง
เสิ่นจิ่วหัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับบางอย่างในจิตใจขาดผึงพร้อมโอบคอคนตรงหน้าโน้มเข้าใกล้
พวกเขาจูบกัน
ดูดดื่มชวนลุ่มหลงไม่ต่างจากครั้งแรกสำหรับปิงเหอ แขนขาคนใต้ร่างเลื้อยพันโอบเกี่ยวเขาราวกับดอกไม้ล่อแมลงให้ติดกับ
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการ(พยายาม)ฆ่ากันทุกครั้งที่มีโอกาสของทั้งคู่
_____________________________________________________________________________________________________
Talk
ไม่รู้ว่าจะงงกันหรือเปล่า เสิ่นจิ่วกับลั่วปิงเหอเป็นคู่แต่งงานที่รักกันปานจะฆ่ากันให้ตาย(...) แต่ดันไม่ตายและตายไม่ได้กันเลยต้องอยู่กันต่อไป เพราะอะไรถึงไม่ตาย ขออุ๊บไว้ก่อนนะคะ อาจจะมีตอนต่อหรือไม่มีอันนี้ยังไม่แน่ใจ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ <3
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in