แฟนขอเราแต่งงาน แล้วเราก็ตอบตกลง แต่ก็อย่างที่คนเขาพูดกัน การแต่งงานแม่งไม่ใช่เรื่องของคนสองคน เพราะคนอื่นๆ ทั้งหลายทั้งแหล่ก็มักจะเสนอหน้ามาออกความเห็นมาให้คำแนะนำทั้งๆ ที่ไม่ได้ขอ คืองงมาก พวกเขาสับสนอะไรกันรึเปล่า ยุ่งไรด้วยอะ งง
ความสัมพันธ์ของเรากับแฟน (ต่างชาติ) เริ่มจากทินเดอร์ อย่างที่เราเคยบอกไปแล้ว เราจูนกันติดเพราะเรามีความคิดคล้ายๆ กันคือ ไม่อยากจัดงานแต่งงาน และไม่อยากมีลูก ต่างคนก็ต่างต้องการเพียงแค่คนอีกหนึ่งคนมาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกห่วยๆ ใบนี้ด้วยกันโดยพยายามกอบโกยความสุขให้ได้มากเท่าที่ทำได้
แต่เพราะปัญหาเรื่องวีซ่าตั่งต่าง มันทำให้เราสองคนต้องคิดถึงเรื่องแต่งงานกัน เพื่อให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้น เราควรจะจดทะเบียนสมรสกัน ก็คุยกันว่าจะจัดงานเลี้ยงไหม ไม่จัด แล้วผู้ชายก็ถามว่าตามธรรมเนียมไทยๆ ผู้ชายควรจะทำอะไรบ้าง เราก็บอกว่าแค่ไปขอเรากับพ่อ บอกพ่อเราว่าจะแต่งงานกับเรา ก็แค่นั้น ไม่ต้องอะไรเยอะแยะ พ่อชั้นไม่ใช่คนเยอะ ชั้นก็ไม่ชอบงานพิธีอะไรพวกนั้น เอาแค่เรื่องในบ้านชั้นพอ คนอื่นๆ ช่างมัน
เราคุยกันเรื่องนี้หลายครั้ง จนกระทั่งวันนึง แฟนเราก็ขอเราแต่งงานในคอนโดที่มีแค่เราสองคน ดีใจมากตอนนั้นที่นางตัดสินใจถูก ไม่ขอเราแต่งงานในที่สาธารณะ ถ้านางทำเราคงวิ่งหนีอะเอาจริงๆ -- หลังจากที่เราตอบตกลง เราก็เริ่มเครียดระยะที่ ๑ คือ เราจะบอกเพื่อนยังไงดี เราควรบอกตอนไหน แล้วเราควรบอกใครก่อนดี เราควรจะบอกในแชทส่วนตัว เราควรจะโทรบอกพวกมันรายคน หรือเราควรจะบอกในแชทกลุ่ม เออ แม่งเครียดว่ะ ทำไมต้องเครียดนี่ก็ไม่เข้าใจตัวเอง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทยอยบอกเพื่อนที่สนิททุกคนจนครบ ทุกคนก็ดีใจน้ำตาจะไหลกัน เออ ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
แล้วเราก็บอกพ่อ -- เราบอกพ่อแค่คนเดียว ไม่ได้บอกในไลน์กลุ่มครอบครัว ไม่ได้บอกแม่เลี้ยง ไม่ได้บอกใครอีกเลย เพราะแฟนเราบอกว่า นางขอกับพ่อเราคนเดียว ตอนนั้นแม่เลี้ยงไม่ได้อยู่ด้วย ก็เลยบอกแค่พ่อ พ่อก็ดีใจด้วยตามประสา เราก็บอกพ่อว่าเราจะจดทะเบียนนะ เพื่อความสะดวกในชีวิตของทั้งเราแล้วก็แฟน แล้วก็อาจจะต้องเปลี่ยนนามสกุล เพื่อให้มันง่ายในการระบุตัวตนผัวเมีย แล้วเราก็จะไม่จัดงานอะไรทั้งนั้น เราว่ามันไร้สาระ พ่อก็โอเค บอกว่าชีวิตเรา ทำสิ่งที่เราคิดว่าดี ทำสิ่งที่เราสบายใจ อย่าไปคิดอะไรเยอะ อย่าไปคิดไกล แล้วถ้าเกิดอะไรแย่ๆ ตามมาจากการตัดสินใจของเราในตอนนี้ก็อย่าไปเสียใจกับมัน เพราะมันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เราเลือกให้กับตัวเองแล้วในวันนี้ แต่ถามว่าเราเครียดไหม เราก็ยังเครียด
เราไม่รู้ว่าเราควรจะจัดงานหรือพิธีรีตองอะไรไหม เพราะแบบ ไม่รู้ดิ พ่อบอกว่าไม่ต้องจัด แต่พ่อแค่พูดเพื่อให้เราสบายใจรึเปล่าวะ -- เราบอกเพื่อนร่วมงานก่อน ทุกคนยินดี ทุกคนให้คำแนะนำที่ดีเรื่องการจดทะเบียน การเปลี่ยนนามสกุล ที่ทำให้เราแอบเครียดนิดนึงว่ามันจะกระทบกับงานไหม แต่ทุกคนก็โอเค ตอบสิ่งที่เราถาม ไม่ยัดเยียดให้เราในสิ่งที่เราไม่ได้ถาม ไม่ถามอะไรเพิ่มจนน่าเกลียด ไม่เสือกอะเอาง่ายๆ
แล้วก็มาถึงคนที่ปัญหาเยอะสุด วุ่นวายสุด อะไรก็ไม่รู้ที่สุดในโลก -- หัวหน้า -- เราบอกหัวหน้าว่าเราจะจดทะเบียนกับแฟน เราจะเปลี่ยนนามสกุล มันจะมีปัญหากับเรื่องงานไหม หัวหน้าบอกว่าเปลี่ยนได้ ไม่มีปัญหาอะไร ถ้านางพูดแค่นั้นเรื่องก็จบ แต่ถ้านางพูดแค่นั้นมันก็ไม่ใช่นาง ระดับหัวหน้าเราแล้ว ต้องเยอะกับเราไว้ก่อน ถามยาวเลย ตั้งแต่จะจัดงานเมื่อไหร่ ที่ไหน ทำไรบ้าง แล้วอะไรยังไง ทำไมไม่จัด มันไม่ได้นะเจน เราเป็นลูกผู้หญิง แถมเป็นลูกคนเดียวด้วย ไม่ถามพ่อหน่อยหรอ (ถามแล้ว พ่อบอกตามใจเจน) เห้ย มันไม่ได้นะ ทำไมเป็นอย่างงี้ ผมต้องคุยกับพ่อเจนสักหน่อยและ ทำไมคิดกันแบบนี้ ลูกสาวทั้งคน แล้วเจนไม่เสียดายหรอ (เสียดายอะไร) เจนไม่อยากใส่ชุดเจ้าสาวสวยๆ ในงานแต่งงานหรอ (ไม่อะ) เจนไม่มีภาพงานแต่งงานตัวเองในหัวเลยหรอ ว่าแบบถ้าเจนแต่งงานจะจัดแบบไหน อะไรยังไง (ในหัวคือไม่จัดงานอะไรทั้งนั้น ไม่อยากใส่ชุดเจ้าสาว ไม่อยากจัดงาน ไม่อยากวุ่นวาย ไม่อยากเจอคนเยอะ ไม่อยากทรมานตัวเอง รำคาญ ไร้สาระ) แต่ผมว่าเจนต้องจัดหน่อยนะ พิธีเล็กๆ ก็ยังดี ทำบุญ ให้พระมาให้พร (ทำไมต้องให้พระมาให้พร ในเมื่อพ่อเจนให้พรก็พอแล้ว) แต่เราคนไทย มันต้องมีพิธี (เพื่ออะไรอะ) ญาติผู้ใหญ่จะได้รับรู้ เราจะมาจดทะเบียนเงียบๆ ไม่ได้ ต้องให้เค้ารับรู้ ให้เค้ามาร่วมยินดีด้วย
จากที่ก็เครียดในระดับนึงอยู่ก่อนแล้ว มาเจอคนนี้ คือเครียดแบบสุดๆ ไปเลยจ้า แบบเราควรจะทำไงดีวะ เราควรจะฟังเขาไหม แต่เราก็ไม่อยากจัดงาน เราไม่ชอบ แต่ผู้ใหญ่ล่ะ ญาติล่ะ แล้วพ่อจะแอบน้อยใจไหม เราลูกสาวคนเดียว มีกันอยู่สองคน แต่ก็แบบ ใช่ว่าเราจะแต่งแล้วย้ายไปอยู่อีกประเทศ เราก็ยังอยู่ไทย ยังทำงานเดิม ยังไปๆ มาๆ ยังเจอหน้ากันได้อยู่ ก็แค่ย้ายออกมาอยู่คอนโดแฟน ซึ่งเอาจริงๆ เราก็ทำมาเป็นปีแล้ว เอาจริงๆ ก็แค่จะจดทะเบียนแล้วเปลี่ยนนามสกุลแค่นี้ ทุกอย่างคงเดิม ทำไมทุกคนต้องทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่
วันก่อนเราหาหมอจิต เราบ่นกะหมอเรื่องนี้ หมอก็บอกเหมือนเดิมคือ หัวหน้าคุณเค้าเป็นห่วงคุณ แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องไปทำตามสิ่งที่เค้าแนะนำ ให้รู้ว่าที่เค้าพูดเค้าเป็นห่วง คุณอยากทำอะไร ถ้าไม่มีใครเดือดร้อน ทำ อยากจัดงานไหม ไม่อยาก ก็ไม่ต้องจัด แต่เนื่องจากหาหมอจิตอะเนอะ มีเวลาคุยน้อย ก็บ่นได้นิดๆ หน่อยๆ เราก็เก็บเอาความอัดอั้นมาบ่นกับนักจิตต่อ ซึ่งก็เจอกันหลังจากนัดหมอไม่กี่วัน
เล่าทั้งหมดให้ฟัง เราเห็นสีหน้าอันเหนื่อยใจของนักจิต ดูมันเป็นเรื่องงี่เง่าอะ ตลก พูดๆ เล่าๆ ไปก็เหมือนเดิม วนๆ อยู่ในอ่าง ไม่รู้จะทำไง เค้าแนะนำไรมา เราก็แต่ แต่ แต่ แล้วถ้าอย่างงั้น อย่างงู้น อย่างงี้ เราว่านักจิตก็คงอยากเอาที่อัดเสียงฟาดหัวเราเต็มแก่ แบบ เจน แก สติ! แต่สุดท้ายเราก็จากกันด้วยดี ไม่มีการใช้ความรุนแรง แม้พี่เอกจะหน้าตาเหนื่อยหน่าย แต่โดยรวมแล้วพี่เขาบอกว่าเราดีขึ้น หมอก็บอกว่าเราดีขึ้น
คือถ้าถามเรา เราว่าเราดีขึ้น ถามว่าวัดจากอะไร หรือดูจากอะไร อันนี้ตอบไม่ได้ รู้แต่ว่าเราจัดการกับตัวเอง กับความรู้สึกได้ดีขึ้น ไม่ดิ่งง่าย ไม่โกรธง่ายเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ยังโกรธง่ายอยู่ กังวลน้อยลง แต่ก็ยังกังวลอยู่ ซึ่งทั้งสองท่านก็บอกตรงกันว่า ความกังวลมันไม่หายไปไหนหรอก มันอยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับมันยังไง เค้าแอบคุยกันใช่ไหม ทำไมพูดเหมือนกัน
พี่เอก นักจิตของเราก็บอกว่า ให้ถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นบททดสอบว่า ที่เราคิดว่าเราโอเคขึ้น ดีขึ้น จัดการกับตัวเองได้อะไรได้เนี่ย พอมีเรื่องเข้ามา เราสามารถจัดการกับมันได้ไหม มันทำให้เราแย่ลงไหม มันทำให้เรากลับไปโศกเศร้าขุ่นมัวเหมือนเดิมหรือเปล่า
"คุณเจนนี่แคร์หัวหน้าคุณมากๆ เลยเนอะ" พี่เอกพูดออกมา นี่ก็ปฏิเสธไม่ออก คือก็แคร์อะ แต่ก็อยากกระโดดบีบคอด้วยอะ เข้าใจอารมณ์นี้ไหม แบบ ว้อยยยยยยย อะไรนักหนาวะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in