หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน เจนปวดหัวจังเลยค่ะ
จริงๆ มันก็ไม่ได้เยอะหรอก เราแค่เยอะเอง ฮ่าๆๆ -- ก็จะแยกเล่าทีละเรื่องแล้วกัน เอาเรื่องไหนก่อนดี ติ๊กต่อกๆๆๆ เอาหาหมอจิตก่อนละกัน เพิ่งไปหามา เล่าง่าย ไม่ต้องนึกนาน แล้วอีกอย่างก็คือ ไม่มีอะไรมากมายให้เล่า
หาหมอจิตครั้งล่าสุด
ไปหาเพื่อเอายา แค่นี้จริงๆ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรไปบ่นให้หมอฟัง คือบ่นกับนักจิตไปหมดแล้ว (นอกจากนักจิตแบบที่เสียตังแล้วเราก็บ่นกับเพื่อนจากทินเดอร์ที่เป็นนักจิตทางแชตด้วยอีกทาง) ก็บอกหมอว่า
"เบื่อค่ะ แต่ไม่รู้เบื่ออะไร ช่วงเวลาที่เว้นว่างจากการเจอกันกับหมอก็ไปค้นฟ้าคว้าดาวหาที่ทำจิตบำบัดมาจนได้ นี่ก็ทำมาสองครั้งแล้ว บอกตามตรง ตอนนี้หนูงงกับตัวเองมาก"
แล้วหมอก็ถามว่า "นักจิตเค้าวางแผนจะบำบัดคุณยังไง" ...เอ้า แล้วนี่จะรู้ได้ไงอ้ะ
"หนูก็ไม่รู้ค่ะ เค้าไม่ได้บอก นัดแรกเค้าก็ให้เล่าเรื่องที่คิดว่าน่าจะเป็นปัญหา หนูก็เล่าไปจนหมดชั่วโมง ไม่รู้เล่าอะไรไปบ้าง ร้องไห้ซะส่วนใหญ่ แล้วเค้าก็บอกว่าอยากให้มาคุยกันอาทิตย์ละครั้ง แต่หนูไม่ไหว มันแพง หนูเลยขอสองอาทิตย์ครั้ง เค้าก็โอเค..."
"อือ ครั้งแรกมันต้องถามประวัติก่อน" หมอขัดขึ้นมา
"...พอครั้งที่สอง เค้าก็ไม่ได้บอกอะไรอีกนะ เค้าถามว่าหนูรู้สึกยังไง หนูบอกว่าหนูเบื่อ คุยไปคุยมา มันเข้าเรื่องงาน หนูเบื่องาน แต่พูดไปพูดมาหนูก็เอาเรื่องอดีตมาโยงกันมั่วไปหมด สรุปแทนที่จะคุยว่าทำไมถึงเบื่องาน หนูกลับไปพูดถึงเรื่องอื่นด้วย เค้าต้องคอยลากหนูกลับมาที่เรื่องงาน เค้าก็บอกว่าเค้าอยากแก้ปัจจุบันก่อน ลองดูว่าแก้ได้ไหม แล้วค่อยลงลึกไปเรื่องในอดีต แต่หนูก็รู้สึกว่าหนูแก้ปัจจุบันไม่ได้อะ หนูว่ามันพันกันมั่วไปหมดเป็นก้อนใหญ่ๆ ก้อนเดียว หนูแยกมันออกมาเป็นเรื่องๆ ไม่ได้"
"อือ จริงๆ มันก็เกี่ยวพันกันไปหมดแหละ" แล้วหมอก็ยิ้ม ยิ้มอะไร ยิ้มทำไม งง
แล้วหมอก็ถามว่าสรุปแล้วเราเบื่ออะไร เราบอกว่าเราไม่รู้ เหมือนมันจะเบื่อเรื่องงาน แต่พอหมอถามว่าเรื่องงานเกิดอะไรขึ้นหรอ เราก็นั่งนึกสักพักแล้วก็ตอบไปว่าไม่มี คือจริงๆ มันก็มี แต่ที่ตอบหมอไปว่าไม่มีก็คือมันไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ไง มันก็ปัญหาเดิมๆ ที่เราต้องเจอจากงานที่เราทำ แต่รวมๆ แล้วมันทำให้เราเบื่อ มันทำให้เรารู้สึกตื่นมาตอนเช้าแล้วไม่อยากลุกไปทำงาน เราตื่นเช้านะ ตีห้าครึ่ง หกโมงเราก็ตื่นแล้ว แต่มันไม่อยากลุกอะ นอนไถโทรศัพท์อยู่บนเตียงจนถึงเวลาที่เราคิดว่าต้องลุกแล้วว้อย ไม่งั้นจะสายนะว้อย เราถึงได้ลุก มาถึงที่ทำงานก็ทำงานที่ด่วนๆ ก่อน พอทำเสร็จก็นั่งเอ้อระเหยไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาเลิกงาน แล้วก็กลับบ้าน เล่นนั่นนี่ โหลดหนังสือมาอ่าน อัพบล็อก ทำทุกอย่างที่ไม่ใช่งานที่เหลืออยู่ -- เราจะทำงานเมื่อมันใกล้เดดไลน์แล้วเท่านั้น คือเราทำเสร็จทันเวลาตลอดไง เลยยังไม่เปลี่ยนนิสัย ฮ่าๆ เลยจะดูเหมือนว่าง เราทำงานเสร็จทันเวลาหมดนะ แต่ก็รู้สึกผิดที่นั่งว่างอะ เข้าใจเราปะ -- เออ แล้วหมอก็พิมพ์ใส่ประวัติไปว่า "รู้สึกเบื่อชีวิต แต่ไม่รู้สาเหตุ" ขำหมอ ตรงไปปะ
คราวนี้หมอพูดยาวว่าการทำจิตบำบัดมันมีผลวิจัยมาแล้วว่ามีผลเทียบเท่ากับกินยา คือค่าใช้จ่ายพอๆ กัน ถ้ากินยา มาหาหมอและค่ายาต่อครั้งก็จะไม่แพงเท่ากับจิตบำบัด 1 ครั้ง แต่จิตบำบัด ถึงจะแพงแต่ถ้าคุณมาทำประจำแล้วมันได้ผล คุณก็ไม่ต้องกินยาอีก สรุปแล้วก็ค่าใช้จ่ายพอๆ กัน จิตบำบัดมันก็แค่ดูว่าจ่ายต่อครั้งแพง อย่างที่เมกาก็ 200 เหรียญ ในหัวเรานี่แบบ 200 เหรียญคือเท่าไหร่วะ แต่ก็ไม่อยากขัดหมอ ก็เออออไป ค่อยมากูเกิลทีหลังก็ได้ว่าเท่าไหร่ หมอบอกแพงก็แพงตามหมอไป ฮ่าๆๆ -- เราบอกหมอว่าเรากะจะมาทำที่ศิริราชแหละ แต่ช่วงรอนัดดันหา knowing mind เจอก่อน ราคารับได้ สถานที่โอเค เลยเลือกไปที่นั่นแทน เพราะก่อนหน้านี้เราหาที่อื่นมา ราคาแบบทะลุเพดานไปเล้ยยย เว่อวังสุดอะไรสุด -- หมอก็บอกว่า จริงๆ หมออยากให้เราทำอาทิตย์ละครั้ง มันจะดีกว่า หมอบอกสองอาทิตย์ครั้งมันน้อยไป มันต่อไม่ติด ก็ประมาณว่าถ้าไหวก็จ่ายเถอะ ไรงิชะ อือ เราก็คิดอยู่แหละว่าอาทิตย์ละครั้งน่าจะดีกว่า แต่อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 1,500 เดือนนึงก็ 6,000 คือแบบ *กลืนน้ำลาย ... ปาดเหงื่อ* ขอเราจ่ายเบี้ยประกันหมดก่อนนะ เราจะคิดอีกที แต่จงรู้ไว้เถิดว่าเราอยากไปทุกอาทิตย์ เราแค่ยังทำใจไม่ได้ที่จะต้องเอาเงินเที่ยวเล่นไปจ่ายค่านักจิตหมด
(หมายเหตุ: กูเกิลมาแล้ว 200 เหรียญก็ประมาณ 6,000 บาท)
หมอถามว่ายังรู้สึกอยากตายอยู่ไหม เราบอกไปว่ามันก็รู้สึกไม่อยากอยู่แหละ ตอนที่เบื่อๆ เซ็งๆ พอมันเบื่อมากๆ มันก็เบื่อชีวิต แล้วมันก็ลามไปว่าไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากตายไปให้พ้นๆ แต่ตอนนี้เราอยู่ในช่วงที่เรางงตัวเองมากกว่า ไม่รู้เพราะทำจิตบำบัดมารึเปล่า มันแบบไม่รู้สิ งงๆ ฟุ้งๆ ยังไงก็ไม่รู้ หมอถามถึงเรื่องที่เราฝันเยอะ เราก็บอกว่ามันก็ฝันแหละ แต่ฝันร้ายๆ ก็ไม่ค่อยมี แต่มันก็มีเวลาที่ไม่ได้กินยา prazosin ก็อธิบายหมอไปว่า
"บางทีหนูง่วงหนูก็นอนเลย หนูขี้เกียจลุกไปกินยาแล้ว คิดว่าควรพยายามนอนแบบไม่กินยาให้ได้ก็เลยไม่ได้กินทุกวัน" ... "แต่ยาต้านเศร้ายังกินทุกวัน"
แล้วหมอก็บอกว่า "งั้นผมให้ยาตัวเดียวนะ"
"หะ ตัวไหนนน"
"ตัวตอนเช้าสองเม็ดไง"
"อ่าว แล้วยากันฝันหนูล่ะ"
"ลดความดันอะหรอ"
"ใช่ค่ะ"
"อ่าว เห็นคุณบอกว่าไม่กินแล้ว"
ว้อยยย นี่หมอฟังกูพูดปะเนี่ยยยย "กิน หนูยังกินอยู่ แค่ไม่กินบางวัน มีแต่ยานอนหลับที่แทบจะไม่ได้กิน"
"อะ โอเค งั้นเอาไปสองตัว" ... "ผมนัด อืมมมม ก่อนปีใหม่ละกัน คุณไม่ไปไหนใช่ไหม มาได้ไหม"
"ไม่ไปค่ะ"
"หลังปีใหม่ผมว่ามันจะนานเกินไป ไม่ดี"
"ค่ะ"
"แล้วนี่คุณไปขอวีซ่าอีกครั้งรึเปล่า"
"ไม่ได้ไปค่ะ"
"คุณจะไม่ไปขอแล้วใช่ไหม"
"ขี้เกียจอะ เบื่อ"
"ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ต้องเสียตังไปเมกา"
"แต่หนูว่าอีกสักพักแฟนหนูมันก็ต้องมาเว้าวอนให้หนูไปสมัครอีก อีกไม่นาน"
"อันนั้นก็ค่อยว่ากัน"
แล้วหมอก็เมินเราเพื่อไปพิมพ์ลงคอมต๊อกแต๊กๆๆๆ แล้วก็บอกลากัน
เออ หมอบอกด้วยว่าให้เราหาสิ่งที่เราชอบทำ สิ่งที่เราทำแล้วเรามีความสุข แบบรู้สึกสนุกไปกับมัน เราบอกหมอว่าเราเคยชอบอ่านหนังสือมาก แต่ตอนนี้รู้สึกไม่อยากจับหนังสือเลย อยากอ่านนะ แต่ก็รู้สึกไม่อยากอ่านอะ มันยังไงก็ไม่รู้ เหมือนออกกำลังกายอะ รู้ว่ามันจะทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองแต่เราก็ไม่อยากทำ ขี้เกียจ เบื่อ นั่นนี่
"มันก็ต้องฝืนมั่งแหละผมว่า" ... "แรกๆ มันก็ไม่อยากทำ ก็ต้องฝืนตัวเองให้ทำ"
สาธุ
ไม่รู้จะพูดหรือตอบอะไร ก็สาธุไปละกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in