ตอนเด็ก ๆ เราเคยคิดมั้ยว่าโตขึ้นเราจะเป็นยังไง เรียนอะไร และจะทำงานอะไร เอาเข้าจริง ตอนเด็ก ๆ สิ่งที่เราคิดวันต่อวันคงเป็นเรื่องที่ว่า เลิกเรียนวันนี้กลับบ้านแล้วจะทำอะไรดีนะ จะออกไปวิ่งเล่นกับเด็กแถวบ้าน นอนดูการ์ตูนจากม้วนวีดีโอที่เราดูประจำ หรือจะตามพ่อไปที่ทำงานเพื่อดูพ่อฝึกอาทหารดีนะ ตอนเด็ก ความคิดของเราในแต่ละวันมันก็วน ๆ เวียน ๆ อยู่แค่นี้แหละ ไม่เล่นก็กิน ไม่กินก็เล่น ก็เด็กนิหว่าจะให้คิดอะไรมากมาย
หลังจากการใช้ชีงิตแบบเด็ก ๆ ไปวัน ๆ จู่ ๆ วันหนึ่ง ที่โรงเรียนก็จัดกิจกรรมแนะแนวการศึกษาต่อให้เด็กนักเรียนในระดับ ม.ต้น ที่จะเรียนต่อ ม.ปลาย แต่ด้วยความที่เป็นเด็กชอบเสือกตอนนั้นก็แอบเนียนไปนั่งฟังรุ่นพี่ที่เรียน ม.ปลาย มาแนะแนวพี่ ๆ ม.ต้น กับเขาหน้าตาเฉย ตอนนั้นเราคงเป็นเด็ก ป.6 คนเดียวของระดับชั้น ที่แอบแทรกซึมเข้าไปนั่งกับบรรดาพี่ ม.3 หน้าตาสุดแสนโหดร้าย
ด้วยความเสือกของเราในวันนั้นเอง ทำให้เราได้ยินชื่อของมหาวิทยาลัย "ธรรมศาสตร์" เป็นครั้งแรก ความรู้สึกตอนนั้น น่าจะเหมือนกับทีอาโป
ในกังฟูแพนด้า เจอกับ 5 ผู้พิทักษ์เป็นครั้งแรก พอมานั่งนึงดูตอนนั้นเราก็รู้จัก "จุฬาฯ" เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แล้วทำไมถึงดูไม่ตื่นเต้นไปกับจุฬาเลยวะ เหตุผลโง่ ๆ ง่าย ๆ ที่อธิบายได้ ณ เวลานั้น คงเป็นเรื่องของสี "แดง" และ "เหลือง" เพราะตอนนั้นกำลังบ้า Power Ranger ขบวนการนักรบไดโนเสาร์เป็นอย่างมาก
และชื่นชอบสีแดง "ไทแลนโนเลนเจอร์ เรด " สีเหลือง "ไทเกอร์เรนเจอร์ เยลโล" เป็นอย่างยิ่ง ส่วนสีชมพู "ปูเทร่าเรนเจอร์ พิงค์" (ตอนนั้นจะว่าเราเป็นพวกเหยียดเพศก็ได้นะ) นั้นเรารู้สึกไม่ชอบเอาเสียเลย ดังนั้นด้วยอารมณ์ของเด็ก ป.6 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มีสีแดงและเหลืองเป็นองค์ประกอบสำคัญ จึงกลายมาเป็นมหาวิทยาลัยในดวงใจ นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา (ตอนนั้นยังไม่รู้เลย ว่ามหาวิทยาลัยคืออะไรวะ)
พอผ่านพ้นจาก ป.6 ขึ้น ม.1 ช่วงเวลานั้นเป็นจุดพลิกผันของชีวิตไม่น้อย เพราะจากเด็กอ้วนใส่แว่น ที่เกรดห่วยเฉียดนรก ต้องพยายามทุกอย่างเพื่อนถีบตัวเองให้กลายเป็นเด็กที่ดูฉลาดสมกับหน้าตา (คือช่วงนั้นหน้าตาดูฉลาด แต่เสือกโง่) เราเลยตั้งใจเรียน เรียน เรียน และก็เรียน จนกระทั่ง ม.2 จากเด็กห้องสุดท้ายของชั้น ม.1 ก็ถูกถีบให้ไปอยู่ห้อง King ของระดับชั้นจนได้ (555555555 หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง) และหลังจากนั้นเราก็ทำกิจกรรมทุกอย่างที่ทางโรงเรียนมี นับตั้งแต่เป็นประธานนักเรียน ประธนาชมรมกระจายเสียงของโรงเรียน ประธานค่ายพุทธศาสนา ฯลฯ เรียกได้ว่าทำทุก ๆ อย่างยกเว้นเรื่องเรียน กระทั่งเกรดทุกวิชาตอนท้ายเทอมออกมาย่ำแย่หมด ยกเว้นวิชาสังคม ครูประจำชั้นเลยบอกว่า
ครู : เกรดห่วยทุกวิชา มีดีแค่สังคม สงสัยต้องเข้าเรียนธรรมศาสตร์ซะละมั้งแกนะ
หลังจากครูพูดจบ เราก็หันกลับไปถามครู อะไรครับธรรมศาสตร์ จะให้ผมไปบวชพระหรอ ครูก็ตอบกลับมาว่า
ครู : บวชพระพ่อมึงสิ
ครู : ธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศสายสังคมเว้ย
ครู : แต่ฉันว่าโง่ ๆ อย่างแกทำไม่ได้หรอก
หลังจากครูพูดจบ เราเลยหันไปยิ้มมุมปากให้ ช้า ช้า และบอกครูไปว่า
กู : คอยดูนะครู เดี๋ยวผมจะเข้าคณะที่ดีที่สุดในธรรมศาสตร์ให้ครูดู
หลังจากวันนั้น เด็กที่เอาแต่ทำกิจกรรม ก็เอาแต่ทำกิจกรรมเหมือนเดิม (ถุ๊ยยยยยยย) แต่ก็ตั้งใจเรียนในหลาย ๆ วิชาเพิ่มขึ้นนะ ช่วงนั้นจำได้ว่าเริ่มหาข้อมูลแล้วว่าเราควรจะเข้าคณะอะไรของธรรมศาสตร์ดี และต้องเป็นคณะที่
(1) ไม่ธรรมดาไก่กาอาราเร่
(2) ต้องเป็นคณะที่ดูเทห์
(3) ต้องเป็นคณะที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ
(4) ต้องเป็นคณะที่คนธรรมดา ๆ ไม่เรียนกัน
ผ่านจาก ม.ต้น เข้าสู่ ม.ปลาย เราก็ตัดสินใจเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ เพราะยังไม่รู้ว่าจะต้องเข้าเรียนคณะอะไรเพื่อจะตอบโจทย์ (4) ข้อที่ตัวเองตั้งเอาไว้ได้ ก็เลยเลือกสายวิทยาศาสตร์เอาไว้ก่อน เผื่อจะเรียนหมอได้บ้าง แต่เหมือนชะตาเล่นตลก เรียนสายวิทย์เทอมแรก ติด 0 เคมีเลยกู (คงไม่รอดแน่ทางนี้) ดังนั้นจึงดั้นด้นหาข้อมูลของคณะต่าง ๆ ในธรรมศาสตร์จาก โจทย์ทั้ง (4) ข้อที่ตั้งเอาไว้ และแล้วหวยก็มาออกที่คณะ"รัฐศาสตร์"เพราะคำตอบจากรุ่นพี่คนหนึ่ง ที่เราถามพี่เขาว่า
เรา : อยากเรียนธรรมศาสตร์อะพี่ แต่อยากได้คณะที่มันเด่น ๆ ประหลาด ๆ ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครอยากเหมือน
รุ่นพี่ : รัฐศาสตร์เลยมึง ครบตามที่มึงต้องการ อ่อ รัฐศาสตร์ สาขา "ปกครอง" ด้วยนะ
หลังจากคำพูดของรุ่นพี่ท่านนั้นสิ้นสุดลง เราก็บันทึกเอาชื่อของ "คณะรัฐศาสตร์" สาขา "การเมืองการปกครอง" เอาไว้ในหัว และแอบหัวเราะในใจ (หึหึหึ ทำหน้าโกง ๆ คณะนี้แหละมึง คริคริ) คณะนี้สินะ ที่เหมาะกับเรา และช่วงเวลาตลอด 3 ปีของชีวิต ม.ปลาย อีเด็กแว่นอ้วนนี่ก็ไม่คิดห่าอะไรอีกเลย นอกจากทำไงถึงจะเข้า รัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ได้ เรียกได้ว่าต้อนนั้นขยันอ่านหนังสือสังคม รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย พุทธศาสนา ประวัติศาสตร์ ไสยศาสตร์ อ่านแม่งหมดทุกศาสตร์ ลงแข่งแม่งทุกรายการ ไปมันทุกสนาม เพื่อเพิ่มพูนความรู้ที่จะใช้ในการเข้ารัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นความหายนะของชีวิตมาก เพราะถามใครก็ไม่มีใครรู้ว่ารัฐศาสตร์ เรียนอะไร สอบเข้ายังไง ช่วงนั้นเวป เด็กดี ยังไม่เข้มข้นเท่าตอนนี้ ทำให้อะไรที่ใครบอกว่าใช้สอบ เนื้อหาไหนที่บอกว่าต้องอ่าน หนังสือเล่มไหน ที่ใคร ๆ บอกว่าต้องดู นี่ก็กวาดทุกเล่ม อ่านทุกอัน กระทั่งมีรุ่นพี่ที่เร่ยนรัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์มาบอกว่า ตอนสอบเข้า มันออกความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ สังคม ประวัติศาสตร์ การเมือง ปรัชญา และมีข้อสอบเรียงความด้วย พอได้ยินคำแนะนำของรุ่นพี่ท่านั้น เราก็คิดนะ ว่าอีห่า หนังสือที่กูต้องอ่านไม่ได้ลดลงเลย ไม่ลดลงไม่พอกูต้องมาฝึกเขียนเรียงความอีก ห่านป่า
แต่เราก็อดทน ทำ ทำ ทำ และทำมาตลอด (เสือกไปล้อ อ.ยักษ์ อีกนะมึง) จำได้ว่าช่วงเวลาก่อนสอบ 6 เดือน ลองเอาข้อสอบเก่า ๆ มานั่งทำทุกวันหลังเลิกเรียน เป็นเวลา 2 ชั่วโมงทุกวัน ทำมันซ้ำ ๆ อยู่แบบนั้น ทุกวัน และ 3 เดือนหลังก่อนช่วงสอบ ก็ลองฝึกเขียนเรียงความ โดยหาหัวข้อจากเวปบ้าง จากหนังสือบ้าง หรือเอาหัวข้อจากพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์บ้าง ด้วยการฝึกเขียนหัวข้อละ 2 หน้า ภายในเวลา 1 ชั่วโมง เหมือนกับเวลาสอบจริง ๆ เราก็ทำ ทำ ทำ และทำมาตลอด กระทั่งถึงวันที่ต้องเดินทางมาสอบที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต วันนั้นจำข้อสอบได้อย่างขึ้นใจ ว่าข้อสอบแบบ 4 ตัวเลือกนั้น ใน 60 ข้อมีข้อสอบที่เคยออกมาแล้ว 2 ข้อ และข้อสอบเรียงความก็ไม่ได้ยากอะไร หลังจากใช้เวลาในห้องสอบ 2 ชั่วโมงจนครบตามที่ทางคณะกำหนด เราก็ออกมาจากสนามสอบด้วยจิตใจเบิกบาน และรีบกดโทรศัพท์ไปหาพ่อ และบอกพ่อไปว่า
เรา : พ่อสอบเสร็จแล้ว เตรีมเงินจ่ายค่าเทอม ค่าหอ ค่ากินรายเดือน ค่าชุดนักศึกษาไว้ได้เลย เพราะยังไงก็ติดแน่นอน (ตอนนั้นไม่ได้คิดเลย แล้วถ้าไม่ติดละมึง หน้าแหกกระจายเลยนะ)
และแล้ววันประกาศผลสอบก็มาถึง จำได้ว่าช่วงเวลานั้นมีเรื่องต้องตัดสินใจมากมาย เพราะกว่าธรรมศาสตร์จะประกาศผลสอบก็นานโคตร ๆ ทำให้เราต้องเลือกสละสิทธิ์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่ไปสอบมาและฟลุ๊กติดไป 5 ที่ เพื่อจะเอาที่สุดท้ายก็คิอรัฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ และแล้วผลการสอบก็ออกมาว่า เราเป็นผู้สอบผ่านการคัดเลือก มีสิทธิ์เข้าสอบสัมภาษณ์ อารมณ์ตอนนั้นรู้สึกเหมือน อมฮอนสูตรเย็นสดชื่นและยืนแก้ผ้าอยู่กลางสายฝนที่โหมกระหน่ำ ความรู้สึกมันช่างดีอะไรอย่างนี้ และแล้วความตั้งใจของเราก็เป็นผล ตอนนั้นดีใจจนไม่คิดอะไรต่อ แต่ หึหึหึ หารู้ไม่ไอ้หนู ชีวิตของเองกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
อ่อเกือบลืมแนะนำไป ว่าธรรมศาสตร์คืออะไร มีที่มาที่ไปอย่างไร เพื่อไม่ให้เสียเวลา เอาวีดีทัศน์ไปดูกันเลยก็แล้วกัน พากษ์เสียเองนักเลงพอ
https://youtu.be/QaGUFVqq9sk
>>>>> โปรดติดตามตอนต่อไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in