03.01.2019 10:08
at Trondheim, Norway
17 years old - rainy day
วันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าสะดุ้งตื่นตั้งแต่ตีห้า ตั้งแต่ป่วยเราก็ตื่นเร็วแบบนี้ตลอด ตื่นมาเพราะปวดท้องเลยล้วนๆ ถึงอาการจะบรรเทาลงแล้วแต่ก็ไม่ค่อยรู้สึกดีซักเท่าไร
Chirstmas break ของที่นี่เพิ่งผ่านไป และกลับมาเปิดเทอมวันนี้วันแรก แค่เปิดมาก็มีแพลนในตารางเรียนเลยว่าวันนี้เราจะต้องเข้า oral discussion in group ของวิชา international english, โดยหัวข้อของวันนี้คือหนังสือ
The Hate U Give (by Angie Thomas)
เอาตรงๆคือเราอ่านหนังสือเล่มนี้ยังไม่จบ - เพิ่งอ่านได้แค่ครึ่งเล่มด้วยซ้ำ แต่เพราะวันนี้จะต้องใช้บทสรุปเพื่อต่อประเด็นตอนสอบปากเปล่า เลยใช้วิธีลักไก่อ่านเรื่องย่อในอินเตอร์เน็ตไปอย่างไม่มีทางเลือกนัก (หนังสือมีสี่ร้อยกว่าหน้า) จริงๆถ้ามีเวลาอีกสักสองสามวันน่าจะอ่านจบทัน คิดว่ากลับบ้านไปจะอ่านต่อให้จบ อย่างน้อยเพื่อความแฟร์ ถึงจะสอบไปแล้วก็ตาม
หลังจาก oral discussion พบว่ารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น ทั้งๆที่ก่อนมาโรงเรียนกลัวแทบแย่ว่าตัวเองจะคุยไม่รู้เรื่องบ้าง (ไม่มั่นใจในภาษาอังกฤษของตัวเองเลย) และจะพูดต่อประเด็นไม่ได้ แต่พอครูเริ่มปล่อยหัวข้อ ปล่อยคำถาม เราก็พบว่าเรามีคำตอบของตัวเองสำหรับทุกคำถามเลยนะ เรื่อง discussion และความคิด การวิเคราะห์เราว่าเราสอบผ่าน ถ้าจะติดคงติดที่สำนวนการใช้ภาษา / understanding ที่เราไม่สามารถสื่อให้คนฟังรับสารของเราได้อย่างเต็มที่มากกว่า
การที่เรารู้ภาษาอังกฤษแต่ไม่สามารถเอามาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนี่น่าหงุดหงิด
ต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นคนขี้เกียจที่จะฝึกสกิลการใช้ภาษา ทุกอย่างในตอนนี้เท่าที่สามารถสื่อสาร (communicate) ได้บ้างมาจากบุญเก่าทั้งน้้น ด้วยความที่เป็นคนชอบดูหนัง ดูซีรีย์ เลยมีคลังศัพท์และประโยคสื่อสารประมาณนึง แต่เทียบไม่ได้เลยกับคนที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว (fluent) และเป็นธรรมชาติ นี่คืออีกสิ่งที่สำคัญนอกจากสำเนียง (accent) และการออกเสียง (pronunciation) เพื่อนเราหลายคนสามารถทำได้ ซึ่งโคตรเจ๋งเลย
เราบอกตัวเองเสมอว่าการมาแลกเปลี่ยนควรจะให้อะไรกับเรามากกว่าการฝึกภาษา แต่กับการเก็บเกี่ยวความสามารถในการใช้ภาษานั้นก็สำคัญเหมือนกัน เรามองข้ามพ้อยท์นี้ไปไกลมาก จนสุดท้ายก็เกิดการละเลยอย่างเห็นได้ชัด เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก
สิริเวลารวมมาทั้งหมด 4 เดือนกับ 2 สัปดาห์แล้ว ภาษาอังกฤษเราขาดความมั่นใจลงเรื่อยๆ แต่เราไม่มีทางเลือกภาษาอื่นให้ใช้ รวมถึงภาษานอร์วีเจี้ยนที่ควรจะเริ่มเข้าใจและพูดได้บ้าง เราก็พูดออกมาไม่ได้ ต่างกับเพื่อนรอบตัวเราที่ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บางคนก็เริ่มพูดได้ตั้งแต่สองเดือนแรก บางคนก็เริ่มพูดได้แล้วในตอนครบสี่เดือน จนสุดท้ายเขาก็จะสามารถพูดกับโฮสได้โดยไม่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ แล้วเราล่ะ?
เราเคยถามเพื่อนอยู่ครั้งนึง
How can I say if I have no idea about what to say?
ทั้งๆที่เราก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าเราควรจะทำอย่างไร
ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี 2018 เราได้ลองเรียนภาษาจีนและญี่ปุ่นอีกสองภาษาด้วยในตอนนั้น (ก่อนมาแลกเปลี่ยน) ผลลัพธ์มันก็ออกมาอย่างเดียวกับในตอนนี้ เรารู้ว่าเราขาดอะไร และเราต้องทำอะไร แต่เราไม่ทำ - นั่นคือปัญหาของทุกการเรียนภาษา ไม่ว่าจะเรียนภาษาไหน มันไม่มีทางลัดเลย นอกจากคุณขยัน สม่ำเสมอ และพยายามกับมันจริงๆ ขนาดสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยภาษานอร์วีเจี้ยน เพิ่มปัจจัยในการกระตุ้นตัวเราเองก็แล้ว ถ้าเราไม่ผลักดันตัวเองให้ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครช่วยได้ ต่อให้สภาพแวดล้อมอำนวยแค่ไหนก็ตาม
พอรวมๆแล้วความคิดที่ว่าตัวเองไม่มีหัวด้านภาษาก็ยิ่งขยายใหญ่ บวกกับการขาดความกระตือรือร้น มันก็นำมาสู่การสูญเสียความมั่นใจ เริ่มตั้งคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบวนๆในหัว ช่วงสองสามวันที่ผ่านมาที่เต็มไปด้วยความคิดพวกนี้ทำให้เราเครียดและรู้สึกดาวน์มากๆ ไม่อยากคุยกับใคร ปฏิเสธทุกอย่าง
แต่สุดท้ายมันไม่มีอะไรดีขึ้น เราเลยกลับมาอยู่ที่จุดเดิม ทบทวนและหาทางออกกับมันไปวันๆ
เราคิดว่าเราควรจะเริ่มจากภาษาอังกฤษ แต่เราจะมีปัญหาเพราะมันจะยิ่งช้าลงถ้าเราทรานส์ภาษาสองภาษาในเวลาเดียวกัน นึกถึงคำแนะนำของรุ่นพี่คนหนึ่งที่บอกให้ต่อยอดจาก eng > nor ไปเลย อย่าให้มีภาษาไทยเป็นสเตปที่สามเพราะมันเสียเวลา
เราไม่รู้เลยว่ากำลังอยู่ตรงไหน เคว้งไปหมด
และทุกครั้งที่คุยกับโฮสซิส เขาพยายามให้เราได้ภาษา และตัวเขาเองก็เป็นตัวอย่างที่ดีในการเรียนภาษามากๆมาตลอด เราว่าเรานับถือเขาในจุดนั้นนะ อยากทำให้ได้แบบเขา และที่มากกว่านั้นคือเราไม่อยากทำให้โฮสแฟมผิดหวังในตัวเรา เรารู้สึกขอโทษอยู่ตลอดถึงจะไม่ได้พูดออกมา เพราะเรารู้ว่าเราช้า และเราดูไม่พยายามอะไรเลยเท่าไร
เมื่อสี่เดือนก่อน แปดเดือนก่อน และสิบสองเดือนก่อน เราทำอะไรอยู่นะ
รู้สึกแย่มากที่ตัวเองละเลยจุดนี้ โดยการบอกตัวเองว่าเราอยู่กับมันมาตลอดจนไม่คิดจะทำอะไร ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีพื้นฐานที่ดีพอ แต่ก็ไม่คิดจะขวนขวายหาอะไรเพิ่มเพื่อตัวเองเลย มันน่าเสียดายนะ กระทั่งกับภาษาที่เคยเรียนไปก่อนหน้านี้ก็เสียดายที่ตัวเองปล่อยโอกาสดีๆหลุดไป
ทักษะภาพรวม listening กับ reading ของเราค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ที่โอเค ไม่ร้อยเปอร์เซ็น แต่เราสามารถเข้าใจ content ได้ในระดับนึง และสองอย่างนี้เป็น skill ที่ improve จากการรับสื่อ ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง หรืออ่านหนังสือ (เราอ่านหนังสือภาษาอังกฤษน้อยมาก ไม่เคยจบสักเล่ม น่าตลกดี ความอดทนค่อนข้างต่ำไปนิดหน่อย แต่ตั้งใจว่าหลังจากนี้จะอ่านให้มากขึ้น) แต่ทักษะ speaking และ writing ค่อนไปทางอาการน่าเป็นห่วง (ในความเห็นของเรา)
ตั้งแต่มาเรียนที่นี่เราได้ทำอะไรหลายอย่างที่เป็น english platform มากขึ้น ทำให้เราได้เห็นตัวเองมากขึ้น คนรอบตัวเราเก่งมาก และความเก่งของเขามันเป็น standard - ความรู้สึกส่วนตัวของคนที่หมิ่นเหม่จะเป็นเพอร์เฟคชันนิสต์อย่างเรา เวลาเราทำอะไร เรามักจะตั้งเป้าให้ตัวเองได้มากกว่า standard อยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้เราค้นพบว่าตัวเองอยู่ต่ำกว่า standard ไปมาก ถึงจะไม่แย่ก็ยังดีไม่พอ
เราปลอบใจตัวเองแต่ก็กดดันตัวเองในเวลาเดียวกัน
ย้อนแย้งแต่มันก็จำเป็นต้องทำ
เราได้รับผลคะแนน writing assignment อยู่ที่เกรด 3 จาก 6 - กะประมาณได้ราวๆ 50% นั่นแหละ
อันนี้เมื่อวานเห็นแล้วนอยด์มาก เพราะเราค่อนข้างมั่นใจกับงานชิ้นล่าสุด (ที่เขียนสรุปภายใน 5 ชั่วโมง ที่เลือก analyse เพลงและ compare ภาพการ์ตูนไป) ตอนส่งน่ะมั่นใจ กลับมาอ่านอีกทีดันรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าไปหน่อยกับการแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้ง
ตอนที่เราวิเคราะห์เพลง Imagine ในข้อสอบ Writing ก็เป็นปัญหาแบบเดียวกัน กลับไปอ่านแล้วรู้สึกว่า comment ของเรามันเถียงหัวชนฝาไปหน่อย บวกกับพายเรือวนในอ่าง พูดแต่คำเดิมๆ ประโยคเดิมๆ โดยไม่อธิบายความคิดให้ชัดเจนและเป็นรูปเป็นร่าง ดังนั้นคะแนนก็สมเหตุสมผลแล้ว
เราพบว่าเรามีความคิดเห็นที่สวนทางกับเนื้อหาของสิ่งต่างๆอยู่บ่อยครั้ง เมนชั่นถึงหนังสือ The Hate U Give ก็เช่นเดียวกัน เรายอมรับในความเก่งของนักเขียนที่สามารถบอกเล่าออกมาได้ดี แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่อินนอกจากพ้อยท์ของเรื่องที่เข้าไม่ถึงแล้ว ยังมีความคิดเห็นที่สวนทางในเรื่องมุมมองของนักเขียนที่ซ่อนไว้อย่างแนบเนียนใน mindset ของตัวละคร - แต่พอเข้า discussion เราไม่สามารถแสดงความคิดเห็นที่สวนทางออกมาได้เลย เพราะถ้าเราเกริ่นแล้วไม่มีคำพูดที่ฟังเข้าท่า จะกลายเป็นเราไม่เข้าใจบริบทของเรื่องไปทันที
นี่คือข้อเสียของการที่ขาดคลังศัพท์และความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา แต่แค่ส่วนหนึ่ง เพราะการวิเคราะห์ของเราก็ไม่สมบูรณ์และเฉียบขาดมากพอด้วย ทำให้ตอนเขียนออกมามันดูสับสนและวุ่นวาย ขนาดตัวเองยังไม่เข้าใจตัวเอง คนอ่านไม่มีทางเข้าใจเราได้เลย
พอพูดถึง writing แล้วนึกถึง essay แรกที่เขียน เกี่ยวกับวลีหนึ่งในหน้าหนังสือ
writing นี้ก็ได้ 3+ ไม่ห่างกันเท่าไร แต่เราได้มีโอกาสคุยกับครูที่คอมเม้นท์งาน และเขาบอกว่าภาษาของเรามีติดตรงการแบ่งประโยค - นิสัยนี้ติดจากการใช้ภาษาไทยโดยส่วนตัว (เพราะภาษาไทยของเราค่อนข้างเยิ่นเย้อและใช้คำอ้อมเก่ง) พอเราไปเขียนเป็นอังกฤษที่มีรูปแบบสั้นกว่าภาษาไทย มันเลยเป็นความเยิ่นเย้อและว่างเปล่า เกิด gap ระหว่างเนื้อหาไปหมด ง่ายๆคือมันเต็มไปด้วยคำที่ useless ไม่มีความหมาย ไม่มีผลกระทบต่อภาพรวม รกไปหมด อ่านแล้วจับใจความไม่ได้
ครูขีดเส้นใต้และมาร์คจุดแก้ไขไว้ให้เยอะมาก พอคุยกันและเราได้อธิบายส่วนที่เขาไม่เข้าใจ meaning บนหน้ากระดาษที่เราจะสื่อ, จำได้ว่าครูพูดว่าพอเราอธิบายแล้วเข้าใจนะ แต่พออ่านแล้วมันไม่เวิร์คเท่านั้นเอง ข้อสรุปกับตัวเองของเราคือ ถ้าเราเขียนตามที่พูดลงไป เกลาให้มันกระชับ เน้นๆที่เนื้อหาไม่เกริ่นเวิ่นเว้อมันก็คงจะออกมาดีกว่านี้ล่ะมั้ง?
บางทีพ้อยท์ของการเรียนภาษาอาจจะอยู่ที่การละทิ้งความเคยชินที่ติดมาจากภาษาแม่ด้วยก็ได้ เพราะเราก็เผลอใช้ไวยากรณ์อังกฤษในการสร้างประโยคภาษานอร์วีเจี้ยน - ผลที่ตามมาคือมันประหลาดมาก เพราะคนนอร์ชเขาไม่พูดกันแบบนี้ มันเรียงลำดับประโยคต่างกัน ไวยากรณ์ต่างกัน ไม่ใช่สมการที่จะแทนค่าได้ง่ายๆ
จริงๆเปเปอร์นี้ตั้งใจจะพูดเรื่องวิชาภาษาอังกฤษที่นี่ แต่กลายเป็นตะกอนความคิดเรื่องการเรียนภาษาไปเฉยเลย คิดว่าถ้าไม่ขี้เกียจก็อยากบันทึกทุกอย่างที่เจอมาตลอดสี่เดือนเก็บไว้อ่าน รวมถึงความคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน เผื่อว่าวันหนึ่งที่เราหลงทาง เราจะกลับมาอ่านแล้วหาตัวเองเจอในโลกกว้างๆใบนี้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in