ตอนนี้เวลา 18.28 น.ของวันที่ 13 ตุลาคม 2560....
เราเจอแฮชแทคในโซเชียลว่า 'ทำอะไรอยู่ตอน1ทุ่มตรง วันที่13 ตุลาคม 2559....'
วันนั้นจำได้ยังทำงานที่เก่า บ.ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง...รู้ข่าวมาตั้งแต่ช่วงบ่ายแล้ว จริงๆถ้าจะย้อนเราคุยกับเพื่อนในคืนวันที่ 12 เพื่อนบอกว่าอาการท่านแย่ เราได้แต่ภาวนาขอให้ท่านดีขึ้น หายประชวรไวๆ...
ก่อนนอนคืนนั้นสวดมนต์ ตั้งจิตขอให้พระองค์ดีขึ้น....
เช้ามามีข่าวต่างๆทะลักเข้ามาในหูราวกับน้ำในตู้ปลาเริ่มมีรอยรั่ว น้ำค่อยๆซึมหยดออกมา....
ตอนนั้นมีเพื่อนที่ทำงานสื่อ เริ่มพูดถึง หลายคนรอบตัวเริ่มพูดถึง ทุกคนเหมือนจะมั่นใจว่ามีอะไร
แต่ไม่อยากพูด...ราวกับมีลูกธนูคอยติดตามเราอยู่ ตอนนั้นเราพยายามสงบใจอย่างที่สุด
เราว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรากลัวและกลบมันเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ เราเคยคิดว่าวันนึงถ้ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น..จะเป็นยังไงนะ?
เรานั่งทำงานต่อไปเรื่อยๆ จนมีประกาศที่แน่ชัดแล้วว่าจะมีการประกาศจากสำนักพระราชวังเวลา 1 ทุ่มตรง...เราเริ่มมั่นใจแล้ว แต่ก็ยังกลบไว้ เหมือนจิตมันสั่งว่า ไม่มีอะไรหรอกอาจจะเป็นประกาศว่าท่านอาจจะต้องอยู่โรงพยาบาลอีกสักพัก หรือท่านทรงมีอาการอ่อนเพลียมาก...แต่เราว่าในใจลึกๆเรารู้ว่ามันคืออะไร แต่จิตใจตอนนั้นมันเหมือนโดนอีกส่วนหนึ่งกดทับเอาไว้...โลกที่ไม่ใช่โลกแห่งความจริงที่เท้าเราติดพื้นอยู่.....
5โมงเย็น....
เราเริ่มมีอาการลุกลี้ลุกลนบอกไม่ถูก ในใจมันร้องว่าอยากให้ถึง1ทุ่มเร็ว เราอยากรู้ว่าจะประกาศอะไร
แต่ก็มีอีกเสียงบอกว่ ไม่....เราจะทำยังไงดี มันตีกันอย่างบอกไม่ถูก ซึ่งเราก็ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน..
มันเป็นอาการที่บอกไม่ถูก...อ่านแล้วเหมือนจะดูโอเวอร์ไป แต่เรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ...อาการนี้เราจำได้แม่น ทั้งๆที่เราจะเป็นคนลืมง่ายมากรายละเอียดนี่แทบจะจำไม่ได้...แต่เหตุการณ์นั้นเรายังจำไม่ลืม...
6โมง45 เราเลิกงาน...
แต่เรายังทำงานต่อ เพราะปกติจะเลิกงานช้าออกไปนิดหน่อยประมาณ5-20นาที...เพราะไม่อยากไปเบียดกับคนบนรถไฟฟ้า...วันนั้นเรานั่งตามองไปที่นาฬิกาบ่อยมาก...อาการตอนนั้นเหมือนไม่ใช่ตัวเราเอง.....
1 ทุ่มตรง...
เราปิดคอมพิวเตอร์แล้ว...แต่ผจก.ที่ร้านเอาโทรทัศน์เครื่องเล็กมาเปิด เราได้ยินประกาศแต่ไม่ได้เดินไปดู การได้ยินเหมือนแว่วๆ แต่พอจับใจความได้...เราเก็บของ ความรู้สึกตอนนั้นบอกไม่ถูก จะเสียใจก็ยังไม่เชิง จะไม่รู้สึกเลยก็ยังไม่ใช่....เหมือนไม่รู้สึกอะไร เราไม่รู้เป็นเพราะเหมือนร่างกายมันหลอกตัวเองอยู่หรือเปล่านะ เราเดินออกมาห้องน้ำ ข้างนอกเหมือนโดนดึงปลั๊ก...ห้างที่มีชีวิตชีวา
คนหายไปแทบร้าง...เราได้ยินเสียงคนร้องไห้กระซิกๆ...เป็นครั้งแรกแบบในหนังสือบรรยาย...บรรยากาศรอบข้างมันหดหู่โดยไม่รู้ตัว ห้างใหญ่ทั้งห้างเงียบเชียบ...ได้ยินเสียงคนเดินเบาๆ
เสียงประตูลิฟท์เปิด เสียงรถเข็น....บางคนหยุดยืนเป็นหย่อมๆ ต่างคนต่างก้มหน้ามองมือถือตัวเอง...
เหมือนเวลามันหยุดหมุนจริงๆ.....
...เราเก็บของแล้วไปกินข้าวตอนเย็น...ไม่ใช่การสังสรรค์...ไม่ใช่การยินดี....ไม่ใช่การโศกเศร้า
เรากับเพื่อนอีก3คนเดินไปร้านอาหารโดยไม่ได้พูดอะไรกัน จากอีกห้างไปสู่อีกห้างตอนนั้นเราไม่รู้ว่าเพื่อนรู้สึกอย่างไร แต่เราเหมือนหูดับ เหมือนในหนังที่เดินมาแล้วเราเห็นแต่ภาพ แต่ไม่มีเสียง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ณ ตอนนั้น....
เราเดินไปแค่เพียงสถานีรถไฟฟ้ากั้น...ทางเดินที่ปกติ5นาทีถึง ทำไมรู้สึกมันค่อนข้างนานจัง...ความรู้สึกแบบในหนังสือที่ชอบบรรยายคงเป็นแบบนี้มั้ง.... เราทั้ง4คนไปร้านอาหารญี่ปุ่นร้านประจำ สั่งอาหารง่ายๆ เรามองรอบๆทุกคนรู้สึกอย่างไรนะ...ทุกคนดูปกติ แต่บรรยากาศโดยรอบมันไม่ใช่...เหมือนทุกคนกำลังซ่อนอะไรเอาไว้อยู่ เราได้แต่พูดกันว่าเสียใจ แต่ไม่มีท่าทีจะร้องไห้ เรารู้สึกอึดอัดในอก....
เราขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้าน บนรถเงียบเชียบมาก ไม่มีใครร้องไห้...มีแต่คนดูมือถือ เราเหมือนหลงมาต่างมิติ เรามองทุกคนรอบๆตัวเรา ไม่มีใครมองเรา เหมือนไม่มีใครเห็นเรา รถไฟฟ้าตอนนั้นเงียบ เราไม่กล้าหายใจดัง...ไม่รู้ทำไม
คืนนั้นเราอาบน้ำเสร็จในโซเชียลพูดถึงผู้ประกาศข่าวนั้น....เราลองเปิดดู ตอนที่เขาพูดถึงพระนามท่านแล้วลงท้ายว่า
"สวรรคตแล้ว...."
คำว่าใจหายแว๊บมันคงเป็นแบบนี้ มันเสียวอยู่ในอก แล้วออกจะชาๆ...เราไม่ได้ร้องไห้....แต่รู้ศึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก คืนนั้นเราปิดไฟอย่างเร็วแล้วเข้านอน
แต่ในหัวและตาของเราสว่างยิ่งกว่าไฟในห้องปกติ...อยากนอน...แต่ก็นอนไม่หลับ มันรู้สึกโหวงๆในอก...
"จริงเหรอ? นี่คือเรื่องจริงเหรอ? นี่คือสิ่งที่วิ่งอยู่ในสมอง...เรายังเห็นท่านอยู่เลยนะ...จริงเหรอ?"
คืนนั้นหลับไปตอนไหนไม่แน่ใจเพราะพยายามข่มตาให้หลับเราภาวนาในหัวว่า พุทโธ ทำสมาธิให้ใจมันเงียบ.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in