มันไม่ใช่เรื่องราวที่ดูซับซ้อนหรือหลายชั้นให้ต้องตีความกันมากมาย มันเป็นเพียงเรื่องของผู้ชายคนนึงที่ไม่เคยพูดคุยกับใครมานานนับปี แต่ไม่ใช่เพราะตัวเขาเองไม่มีใครคบ และก็ไม่ได้เป็นคนเก็บตัวที่วิ่งหนีสังคม แต่เพราะเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นตัวกำหนดชะตาให้เขาพูดออกมาได้เพียง 10 คำเท่านั้นในเวลาที่เหลือของชีวิต
ลองคิดดูว่าถ้าชีวิตต่อจากนี้ของคุณ จะพูดได้เพียงแค่ 10 คำ หากเกินคุณจะตายทันที คุณจะพูดคำว่าอะไร กับใคร และเวลาไหน คุณอาจต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่ชายคนนี้กลับสูญเสียไปถึง 3 คำ ให้กับการสั่งอาหารตามสั่ง และอีก 5 ในการเวลาทำงานของเขา .... เขาเหลืออีกแค่ 2 คำ
ห้ามตาย ...
แม้สิ่งที่ทำได้ในชีวิตปกติจะถูกตัดทอนลงไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตลำบากหรือรันทด การแสดงออกด้วยการพิมพ์หรือการเขียนก็ไม่ใช่ข้อห้าม การเริ่มบันทึกเป็นข้อความจึงเป็นอีกทางออกให้กับชีวิตของตนเองที่ต้องเปลี่ยนไป โดยการไม่พูดหรือสนทนากับผู้ใดเพื่อให้ตนเองยังมีชีวิตรอดต่อไป
บันทึกครั้งที่ 278 : 5 ตุลาคม 2580 / เวลาที่ 0540
.......... ตอนนี้ก็นั่งอยู่ตรงระเบียงห้อง เหมือนเดิม มุมเดิมๆ มองออกไปเห็นแสงไฟดวงยิบดวงย่อยของเมือง อย่างที่เคยบอกไว้ว่าตรงนี้จะเรียกมันว่า 'วิว' ก็ได้ แค่คงดูแปลกที่เวลาพูดถึง 'วิว' ควรจะเป็น landscape สวยงามตามสถานที่ท่องเที่ยว แต่เรากลับเรียกการรวมตัวของแสงไฟจากสิ่งก่อสร้างมากมายเหล่านี้ว่า 'วิว' มันก็แอบขัดใจ แต่ในเมืองได้แค่นี้ก็ดีละ เอาเป็นว่าชีวิตเรามีพื้นที่เอาไว้ถอนหายใจทิ้งไปวันๆมันก็ดีแค่ไหนละ เพราะทุกซอกมุมของถนนเดี๋ยวนี้มันก็มีแต่ตึก แถมได้ข่าวว่าตลาดสดที่สุดท้ายในกรุงเทพก็กำลังปิดตัวลง ทุกอย่างกลายเป็นห้างไปหมด ผู้คนต่างก็ดูแปลกตาไปยิ่งกว่าก่อน อย่างที่รู้ๆว่าตอนนี้ที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ของคนกรุงเทพแล้ว จริงๆก็พูดได้ว่าคนไทยเองก็มีไม่ถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ ความซับซ้อนของผู้คนในเมืองตอนนี้เรียกว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี จะเรียกว่ามั่วเลยก็ได้ ทั้งชนชาติ ทั้งเพศ ทั้งพันธุ์
เวลาที่ 0540
เอาจริงๆกว่าจะพิมพ์ถึงตอนนี้มันก็ไม่ใช่เวลา 0540 แล้ว เลยมาจนท้องฟ้าไม่ใช่สีม่วงเข้มแบบที่ตั้งใจจะอธิบายความรู้สึกตอนนั้น แค่อยากบอกว่า อืมมม... เออ ไม่รู้หวะ แค่คิดว่าเห็นว่าท้องฟ้าตอนนั้นมันเป็นสีม่วงไม่ใช่สีดำ แต่พยายามถ่ายยังไง ภาพแม่งก็ไม่ออกมาสวยแบบที่ใจเราต้องการ เหลือบมองนาฬิกาและนั่งคิดอะไรเล่นไปเรื่อย เผลอแปปเดียวท้องฟ้าก็สว่าง ฟ้าสีม่วงที่ชวนให้คิดอะไรเพลินๆก็จางหายไป ไม่ทันได้อยู่ด้วยกัน
เล่าเรื่อยเปื่อยไปแล้วก็กลับมาเขียนทบทวนเรื่องที่ลืมไม่ได้กันบ้าง วันนี้เช้า(ตื่นบ่าย)ทุกอย่างโอเค เมื่อคืน(นอนเช้า)หลับไม่ยากเท่าไหร่ ช่วงบ่ายๆฝนแม่งก็ตกเป็นพายุ พอฝนหยุดก็ลงไปกินข้าวร้านป้าเหวี่ยง ซึ่งวันนี้ก็โดนแกเหวี่ยงหนักกว่าเดิมเพราะลงมาตอนแกจะปิดร้าน หน้านี่อย่างขวิด
"จะเอาอะไร!" ป้าแกตะคอกมา กูนี่สวนกลับเลย
"เห้ย นี่กูมาจ่ายเงินซื้อข้าวมึงแดกนะเว้ย กูไม่ได้ขอแดกฟรี"
(สวนในใจนั่นแหละ กูจะพูดได้ที่ไหนหละ) ทำได้แค่ชี้นิ้วไปที่แกงจืดฟักหมูสับ แล้วชูเป็นเลขหนึ่ง
"คือกินอย่างเดียว" ป้าเหลือบตากึ่งถามกึ่งกวนส้นตีน
"เออออ อย่างเดียวกูก็จะกินไม่หมดอยู่ละสัส ข้าวมึงก็ให้เยอะอย่างกับตักให้หมูแดก"
(คิดในใจเหมือนเดิม) ได้แต่พยักหน้าเพราะคิดว่าจะรีบแดกและรีบออกจากร้านให้ไวที่สุด
และก็ตามเดิมรอดมาอีกหนึ่งวัน ช่วงนี้เหมือนเดิมจริงๆ คือ ไม่ได้เจอใคร ไม่ได้คุยกะใคร ก็ดูไม่น่ากลัวที่จะต้องเผลอพูดอะไรออกไป คิดถึงบางคนไม่อยากให้หายไปจากชีวิต แต่จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตายรึเปล่าก็ยังไม่รู้ ตอนนี้แค่รู้สึกเหนื่อย ทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย แม้บางยังทีคิดว่า เราจะอยู่ไปเพื่ออะไรกันแน่ ชีวิตแม่งมีไปเพื่ออะไร หรือก่อนหน้านี้ที่อยากพูดจะเป็นจะตาย แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าหากได้กลับไปมีอิสระในการพูดเหมือนเดิมอีกครั้งก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
.... ความคิดวกวน สับสน แต่ก็แค่บางช่วงเท่านั้น
:::: พอละ เอาเป็นว่าวันหลังค่อยมาเขียนดีกว่า
เขาตัดสินใจจบความคิดของตัวลง ค่อยๆพับจอ Laptop ลงจนจอปิดสนิท สายตามองออกไปยังท้องฟ้าที่เขียนถึงอีกครั้ง มันเริ่มสว่างแต่คงยังไม่เรียกว่าเช้า เขาคิดในใจว่ามันเป็นเรื่องที่ตลกดีที่บ้านเมืองจะเจริญแค่ไหนตอนเช้าก็ยังคงได้ยินเสียงไก่ขัน รวมไปถึงเสียงจิ้งจกร้องอีกด้วย ไก่ขันไกลๆก็ยังได้ยิน แต่จิ้งจกเนี่ยมันไม่น่าอยู่ไกลเรา ใช่มั้ย?
เขาค่อยๆเงยหน้าและเลื่อนสายตาขึ้นไปยังมุมของเพดาน เขาไม่อยากเชื่อตัวเองเลยว่าชีวิตคนเราต้องมาเห็นภาพอะไรที่ไม่สมควรในเวลาแบบนี้ เขาดันไปเห็นจิ้งจกคู่หนึ่งที่กำลังมีเพศสัมพันธ์กันอย่างเมามัน ตัวสั่นเทิ้ม รวมถึงเสียงคราง (คงจะเป็นของตัวเมีย) ได้เล็ดออกมาเป็นเสียงที่แทงจิตใจของความเป็นมนุษย์ของเขา สายตาของเขาดันวิ่งไปประทะสายตาของทั้งคู่ เพียงเสี้ยววินาทีก็เหมือนหยั่งรู้จิตวิญญาณและความรักที่จิ้งจกทั้งสองมีให้กัน แม้จะรีบหลับตาและสะบัดหน้าหนีเร็วแค่ไหนภาพที่ทั้งคู่ร่วมรักจะตราติดดวงตาของเขาไปเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันลืม สายตาคู่นั้นจะเป็นของขวัญชิ้นโบว์ดำสำหรับคนที่เกลียดจิ้งจกแบบยอมตายเช่นเขา ความรู้สึกจากด้านในพลุ่งพล่านเป็นความอัดอั้นที่ถูกส่งต่อมาสู่อวัยวะอย่างรวดเร็ว มือยกบัง หัวสะบัด หน้าเหยเก ปากเบะอยากอ้วก พร้อมหายใจสูดลึกเต็มปอด โพร่งออกมาเป็นลม
"เหี้ยยยยยยยยยยยยย..."
(มันไม่ใช่แค่ลมหวะ อ้าว ...)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in